สวัสดีค้าบบ ห่างหายไปงานเลยกับการรีวิวของ วันนี้เรามีหุ่นยนต์ดูดฝุ่นตัวท๊อป ฟังก์ชั่นเต็มทั้งดูดฝุ่นทั้งถูพื้นจากแบรนด์ Roborock มารีวิวฮะ ซึ่งถ้าใครที่ติดตาม LivingPop มาก่อนหน้านี้ น่าจะเคยเห็นทีมงานเองเนี่ยก็ซื้อหุ่นยนต์ Roborock มาใช้เองอยู่ก่อนแล้วเหมือนกัน เคยเอามารีวิวในเว็บเมื่อประมาณเกือบ 2 ปีที่แล้ว ในตอนนั้นยังเป็นรุ่น S5 สั่งมาใช้เองจาก Shopee สมัยที่ยังไม่มีตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยเลย ค่อนข้างแฮปปี้พอสมควร แล้วก็ป้ายยาต่อไปหลายต่อหลายคนอยู่ เพื่อนๆ บ้าง คนที่บ้านบ้าง จนมี Roborock S6 ไว้ใช้ที่บ้านไปอีกหนึ่งเครื่อง
มาวันนี้ครับ ในที่สุดทาง Roborock เค้ามีผู้แทนจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว และก็ได้ส่งหุ่นยนต์ดูดฝุ่น S6 MaxV รุ่นท๊อปสุดของเค้าที่เก่งขึ้น ฉลาดขึ้น มีกล้อง Ai ช่วยในการตรวจจับสิ่งของด้วย มาให้ทางเราลองใช้กัน จะดีมั้ย เก่งกว่าเดิมแค่ไหน เดี๋ยวเราจะมาเล่าให้ฟังกันฮะ ^ ^
จุดเด่น Roborock S6 MaxV
- ทุกอย่างสั่งงานได้ผ่านแอป ซึ่งแอปก็ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน
- ระบบแผนที่ห้องของ Roborock แม่นมาก ทำงานแบบ real time ใช้งานได้จริง
- มีกล้องคู่หน้า ช่วยหลบหลีกสิ่งของในห้อง
- มีฟังก์ชันถูพื้น และสามารถใส่น้ำทิ้งไว้ในเครื่องได้ ไม่ต้องเติมบ่อย
- ฟังก์ชั่นครบ ในราคาหมื่นปลายๆ
ทำไมมีต้องหุ่นยนต์ดูดฝุ่น??
หลายๆ คน หลายๆ บ้าน อาจจะมีคำถามในใจว่า เอ๊ะ แค่กวาดบ้าน ถูบ้าน แค่นี้ก็ทำเองได้นี่นา ทำไมต้องเสียเงินซื้อหุ่นยนต์มาทำความสะอาดด้วย จำเป็นขนาดนั้นเลยหรอ จริงๆ ต้องบอกว่าสำหรับผมเอง คิดว่ามันเป็นเครื่องที่มาช่วยทำงานที่คนไม่จำเป็นต้องทำมากกว่าฮะ นึกภาพว่าแทนที่เราจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ไปนั่งทำงาน ดูหนัง ฟังเพลง ไปข้างนอก กลับต้องเอาเวลามากวาดบ้าน ถูบ้าน ไม่รวมว่าสำหรับบางคน (เช่นตัวทีมงานเองเนี่ยแหล่ะ) กว่าจะฉุดตัวเองขึ้นมาทำงานบ้านได้ ลำไยบ้าง รำฉุยฉายก่อนบ้าง รอประธานตัดริบบิ้นบ้าง กว่าจะได้กวาดถูแต่ละที
ซึ่งหุ่นยนต์เค้าไม่โอ้เอ้ ไม่บ่น ไม่เบื่อครับ แถมขยันด้วยจะใช้งานวันละกี่รอบก็ได้ เถียงไม่ได้ ไม่มีกดปุ่มแล้วบอกว่า แปปนึง ขออีก 10 นาที 555555 ดังนั้นการโยนงาน routine ที่น่าเบื่อไปให้หุ่นยนต์ที่ขยันทำทุกวันแทนเนี่ยแหล่ะฮะ คือจุดเด่นของตัวน้องหุ่นยนต์เค้าเลย ยังไม่นับว่าถ้าวันไหนไม่อยู่ ไม่ว่าง บ้านของเราก็ยังสะอาดเหมือนเดิมด้วยนะ
หุ่นยนต์ทุกวันนี้ราคาจับต้องได้มากขึ้นแล้วนะ!
ถ้าย้อนไปหลายปีก่อน หุ่นยนต์ดูดฝุ่นในไทยน่าจะยังไม่มีคนใช้เยอะเหมือนทุกวันนี้ ด้วยราคาของตัวหุ่นยนต์เองด้วย และความสามารถต่างๆ ที่ยังไม่ค่อยฉลาดมาก แต่ตอนนี้บอกเลยว่าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นราคาลงมาจากแต่ก่อนมากครับ แถมอัดเทคโนโลยีกันมาแน่นมาก ใช้งานได้จริงในราคาที่จับต้องได้แล้ว ไม่ได้เป็นแค่ของเล่นคนมีเงินเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งก็มีให้เลือกหลายระดับราคาเลย อย่างทุกวันนี้หลักหมื่นต้นๆ กลางๆ หลายแบรนด์นี่ก็มีฟังก์ชั้นพื้นฐานที่ควรจะมีเกือบครบแล้ว หรืออย่าง Roborock S6 MaxV ที่เป็นตัวท็อปของแบรนด์ ฟีเจอร์แน่นๆ เลย ก็ยังมีราคาอยู่แค่ที่ประมาณ 17,xxx – 18,xxx ไม่ทะลุ 2 หมื่นครับ
ด้วยระดับราคาประมาณนี้ก็น่าจะทำให้ใครที่เริ่มๆ สนใจดูพวกหุ่นยนต์มาช่วยทำความสะอาด ตัดสินใจกันง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะทีเดียว
แล้ว Roborock คือใคร?
ถ้าพูดถึง Roborock หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นชื่อ แต่จริงๆ Roborock นี่ก็เป็นบริษัททำหุ่นยนต์ดูดฝุ่นโดยเฉพาะที่เป็นเจ้าใหญ่เจ้านึงจากจีนเลยครับ ซึ่งบริษัทได้รับเงินลงทุนจาก Xiaomi โดยตรง และเป็นคนผลิตหุ่นยนต์ดูดฝุ่นให้กับ Xiaomi ด้วยตั้งแต่ในปี 2016 หุ่นยนต์ดูดฝุ่นใน Mi Store ประเทศไทยรุ่นแรกที่วางขายก็ผลิตโดย Roborock เนี่ยแหล่ะครับ (รุ่นนี้คนก็พูดถึงกันเยอะนะ กับระบบ mapping วาดแผนห้องที่ค่อนข้างล้ำกว่าใครในสมัยนั้น ขายดีด้วย ทีมงานก็โดนตกเพราะอ่านรีวิวรุ่นนี้มาอีกทีเหมือนกัน)
หลังจากนั้น Roborock ก็เริ่มออกสินค้าในแบรนด์ตัวเอง แล้วเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ ออกรุ่นใหม่ๆ ออกมา อย่าง Roborock S5 ที่เราเคยรีวิวไป จนมาถึง S6 MaxV ที่เราพูดถึงอยู่ในรีวิวนี้
แต่ต้องบอกว่าสินค้าของ Roborock เองก็ยังมีความเป็น Xiaomi แบบที่ทุกคนคุ้นเคยอยู่ครบถ้วนเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน้าตาที่สวยงามเรียบง่าย ความล้ำของฟีเจอร์ การใช้งานผ่านแอปที่ฉลาด ใช้งานไม่ยาก รวมไปถึงเรื่องของราคาไม่จับต้องได้
จริงๆ แล้วหุ่นยนต์ของ Roborock แอดเข้าแอป Mi Home ได้เลยนะ กดใช้งานหุ่นยนต์ผ่านแอพของ Mi ได้เลย คนที่ใช้ของ Xiaomi มาน่าจะคุ้นเลยกับแอพนี้กันดี แต่ Roborock เองก็มีแอปแยกต่างหากเหมือนกัน ฟังก์ชั่นการทำงานแทบจะเหมือนกันครับ แต่บางฟีเจอร์ใหม่ๆ จะมาในแอพ Roborock ก่อนเท่านั้นเองครับ แต่ถ้าจะใช้ร่วมกับ automation กับอุปกรณ์อื่นๆ ของ Xiaomi ก็ใช้ในแอพ Mi Home ครับ
มาเริ่มแกะกล่องกัน
เขียนมาซะยาว ยังไม่ถึงตัวเครื่องซักที เรามาแกะกล่องดูของข้างในกันแบบสั้นๆ ก่อน ก่อนจะไปพูดถึงฟีเจอร์การใช้งานกัน ในกล่องเค้าก็จะมีอุปกรณ์ให้ดังนี้ครับ
- ตัวเครื่องหุ่นยนต์ดูดฝุ่น
- แทนชาร์จ
- สายไฟเสียบปลั๊ก
- ถาดรองกันพื้นเปียกสำหรับแท่นชาร์จ
- คู่มือ
- ถาดและผ้าสำหรับใส่ในโหมดถูพื้น
- อะไหล่ฟิลเตอร์กรองฝุ่นอีก 1 ชิ้น
ก็ถือว่ามีอุปกรณ์มาพอสมควร ใครไม่ครบตามนี้ก็ลองพลิกๆ กล่องดูก่อนนะครับ ข้างในของเยอะ 555
เริ่มต้นใช้งาน
สำหรับการใช้งาน/ตั้งค่าต่างๆ จะใช้คู่กับแอปในโทรศัพท์มือถือเป็นหลักเลย เพราะตัวเครื่องเองเค้าจะมีแค่ 3 ปุ่มเท่านั้นครับ คือมีแค่ให้เอาไว้กดทำความสะอาด กดกลับไปชาร์จที่แท่น หรือกดเปิดโหมด spot cleaning ที่ให้เราสามารถยกหุ่นไปวางที่ที่ต้องการทำความสะอาดแล้วทำความสะอาดแค่บริเวณใกล้ๆ
แต่การใช้งานหลักทั้งหมดจะอยู่ในแอปของ Roborock เลย ซึ่งการใช้งานก็ไม่ยากครับ เริ่มต้นจากการ add device แล้วทำไปตามขั้นตอน โดยเครื่องจะให้เรากรอกรหัส Wi-Fi ของบ้านเราก่อน แล้วให้เราสลับมือถือไปเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่ปล่อยมาจากหุ่นยนต์ดูดฝุ่นอีกทีนึง หลังจากนั้นพอเชื่อมต่อเรียบร้อย ก็สามารถกด Use now ได้เลย อ่ออ การใช้งานเชื่อมต่อกับแอปนั้น บ้านของเราจะต้องมี Wi-Fi ที่เป็น 2.4GHz ด้วยนะครับผม
สำรวจแผนที่ห้อง
ใครที่คิดว่าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นมันจะเดินไปมั่วๆ เรื่อยๆ แบบ screensaver ในเครื่องเล่น DVD ต้องบอกว่าสมัยนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้วครับ
ในการทำงานของ Roborock S6 MaxV จะสร้างแผนที่ห้องของเราขึ้นมาเลยเพื่อใช้ในการทำความสะอาด ในการเปิดใช้งานครั้งแรก ตัวเครื่องจะทำการสแกน และสำรวจห้องเราไปเรื่อยๆ พร้อมกับความทำความสะอาด โดยการเดินของน้องจะไล่ไปตามกำแพงรอบมุมห้องก่อน เมื่อรู้หน้าตาและขนาดของห้องแล้วก็ค่อยกลับมาเก็บทำความสะอาดตรงกลาง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าไปครบทุกห้องครับ
แล้วน้องรู้ได้ไงว่าตรงไหนเป็นอะไร อยู่ตรงไหนของห้อง?? ตัวน้อง Roborock เองเค้าก็จะมีเซนเซอร์อยู่หลายตัวครับ ได้แก่
- กล้องคู่ ReactiveAI จับวัตถุด้านหน้า + อินฟราเรดสำหรับใช้งานกล้องตอนกลางคืน
- แผงกันชนด้านหน้าเพื่อรับรู้การกระแทก (ที่เป็นแผงหน้าใหญ่ๆ)
- เซนเซอร์วัดระยะห่างจากผนัง ที่ด้านข้างกันชนทั้ง 2 ฝั่ง
- Cliff Sensor ใต้ตัวเครื่อง 4 จุด เอาไว้วัดระยะใต้เครื่อง ป้องกันการตกบันได
- LiDAR ที่ด้านบน จะหมุนไปรอบๆ ตลอดเวลาเพื่อ scan พื้นที่ห้องและสิ่งกีดขวางรอบๆ
- เซนเซอร์จับการชนด้านบนตัวเครื่อง เผื่อการมุดที่ต่างๆ แล้วติด อย่างเช่นใต้โซฟา
- เซนเซอร์วัดการหมุนของล้อ ไว้จับระยะทางการวิ่ง
- เซนเซอร์วัดการกดของล้อ ให้เครื่องหยุดทำงานเวลาถูกยก + รู้ว่าเวลาเดินขึ้นพรมเพื่อเข้าโหมด carpet
- Gyroscope, Accelerometer และ Electronic Compass ทำให้รู้การหมุน รู้ทิศ รู้การเคลื่อนไหวของตัวหุ่นยนต์เอง
- เซนเซอร์ตรวจจับแท่นชาร์จ สำหรับการกลับที่ชาร์จ
เมื่อรวมเซนเซอร์ทั้งหมดนี่เข้าด้วยกัน ตัวเครื่องก็จะสามารถสร้างแผนที่ห้องออกมาได้แบบแทบจะเป๊ะๆ เลยครับ แล้วระหว่างเวลาที่เครื่องทำความสะอาดอยู่ก็จะรู้หมดว่าอยู่ตรงไหนของมุมห้อง
รู้แผนที่ห้องแล้ว จะช่วยอะไร??
ต้องบอกว่าระบบสร้างแผนที่ห้อง เป็นจุดเด่นนึงของหุ่นยนต์ Xiaomi/Roborock ที่คนจะพูดถึงบ่อยๆ เลยครับ คือมันค่อนข้างฉลาด ใช้งานได้จริง แล้วช่วยให้การใช้งานของเราสะดวกมากขึ้นจริงๆ ตั้งแต่ทีมงานซื้อมาใช้เมื่อเกือบ 2 ปีก่อนจนถึงปัจจุบันก็เห็นการอัพเดทฟีเจอร์เข้ามาเรื่อยๆ ตอนนี้เรียกได้ว่าฟีเจอร์น่าเกี่ยวกับการ mapping ห้องแน่นพอตัวละ เราลองมาดูกันทีละข้อว่าระบบแผนที่มันช่วยอะไรในการทำความสะอาดบ้าง
แต่ก่อนอื่นอย่าลืมเข้าไป Setting > Manage Maps แล้วเปิดโหมด Map Saving ก่อนนะ
1. ติดตามการทำงานได้ตลอด
บ้านใครที่มีหลายๆ ห้อง เราก็สามารถดูได้เลยว่าน้องทำความสะอาดตรงไหนของบ้านไปแล้วบ้าง ตอนนี้ไปดูดฝุ่นห้องไหนอยู่ โดยในแอปจะขึ้นตำแหน่งของน้องแบบ Real Time พร้อมทั้งเส้นทางการทำงานทั้งหมดของน้องว่าเดินไปไหนมาบ้าง
2. ทำงานไวขึ้นและแม่นยำ
ข้อดีข้อแรกเลยคือพอรู้แผนที่ก็ไม่ต้องทำงานแบบคนหลับตาทำครับ พอรู้แล้วว่าตำแหน่งห้องเป็นยังไง ทีนี้เครื่องก็จะวางแผนการเดินได้เลยว่าจะไปทางไหน ยังไงบ้าง ประหยัดเวลาในการทำงานได้ นอกจากนี้การทำความสะอาดก็จะมั่นใจได้ว่าหุ่นยนต์ได้ไปทุกส่วนทุกซอกมุมของบ้านจริงๆ เพราะเห็นพื้นที่ทั้งหมด
และสำหรับใครที่บ้านใหญ่มากๆ จนแบตอาจจะไม่พอสำหรับการทำความสะอาดทั้งบ้าน (ซึ่งแบตก็ใช้งานได้เกิน 2 ชั่วโมงอยู่แล้วนะ) พอเครื่องรู้แผนที่รู้ขนาดบ้าน เมื่อแบตใกล้หมดแต่ยังทำความสะอาดไม่ครบก็จะกลับมาชาร์จแบตก่อน แต่ก็ไม่ต้องรอเต็มครับ เพราะหุ่นยนต์รู้อยู่แล้วว่าเหลือพื้นที่ที่ต้องทำความสะอาดอีกเท่าไหร่ พอชาร์จจนได้ไฟมากพอก็จะออกไปทำต่อเลย ช่วยประหยัดเวลาในการรอชาร์จได้อีกด้วยครับ (แต่ส่วนใหญ่แบตก็น่าจะพออยู่แล้วแหละ)
3. แบ่งห้องต่างๆ ให้เลย
หลังจากที่หุ่นยนต์ทำความสะอาดรอบแรกเสร็จ แอปก็จะประมวลผลออกมาแล้วตีให้ว่าบ้านเรามีห้องอะไรบ้าง โดยดูจากตำแหน่งของประตู หรือ ช่องทางเดินระหว่างข้ามไปทำความสะอาดโซนต่างๆ แต่ถ้าแอปแบ่งให้ไม่ถูกต้อง เราก็ยังสามารถเข้าไปแก้ได้อยู่ดีนะ
โดยพอน้องรู้ว่าบ้านเรามีห้องไหนยังไงบ้าง การทำงานของน้องคือจะค่อยๆ ทำความสะอาดให้เสร็จไปทีละห้องครับ ไม่ทำงานข้ามห้องไปมา ทำให้ทำความสะอาดห้องได้รวดเร็ว และในการใช้งานเราสามารถสั่งให้ไปทำความสะอาดเฉพาะบางห้องก็ได้ หุ่นยนต์ก็จะไปแค่ห้องนั้นๆ และโปรแกรมการทำงานให้แต่ละห้องแตกต่างกันได้ เช่นห้องนอนให้ดูดเบาๆ ก็พอ ส่วนห้องนั่งเล่นเล่นดูดแรงสุดพร้อมถูพื้นไปด้วยเลย และเลือกลำดับได้ด้วยนะว่าจะให้ทำห้องไหนก่อนหลัง
4. กั้น Zone ห้ามเข้า สร้าง Virtual Wall
เชื่อว่าทุกบ้านก็น่าจะต้องมีโซนรก ที่ไม่อยากให้หุ่นยนต์เข้าไปยุ่ง อย่างห้องของทีมงานเองเนี่ย ก็จะมีชั้นหนังสือวางใต้โต๊ะกลางโซฟา ที่มันอยู่ระดับพื้น หุ่นยนต์เดินขึ้นมาได้ หรืออย่างห้องน้ำที่ระดับมันไม่ต่างจากพื้นห้องมาก step ประมาณ 3 ซม. ถ้าเปิดประตูปกติน้องก็จะเดินลงไป (แต่ก็สูงเกินกว่าจะออกมาได้ น้องติดส้วมมม แต่ถ้าพื้นสูงอย่างบันไดแบบนี้น้องจะไม่เดินลงนะครับ มีเซนเซอร์อยู่)
กรณีนี้ถ้าเป็นยุคเก่าๆ เค้าก็จะมีขายแท่นวาง virtual wall สองฝั่ง เป็นกำแพงที่มองไม่เห็น เอาไว้วางบริเวณที่ไม่อยากให้หุ่นยนต์เดินเข้าไป แต่พอมีโหมดแผนที่แล้ว เราก็สามารถวาดได้เลยครับ อยากให้ตรงไหนเป็นกำแพงก็ลากเส้นเลย หรือจะวางปิดเป็นโซนๆ ก็ได้ แค่นี้หุ่นยนต์ก็จะคิดว่าเป็นกำแพง แล้วไม่เข้าไปยุ่งแล้ว
5. บ้านหลายชั้นก็รองรับนะ
สำหรับใครที่มีบ้านหลายชั้น แล้วยังไม่อยากซื้อหุ่นยนต์ดูดฝุ่นหลายตัว Roborock เค้าก็มีระบบแผนที่แบบ Multi Level มาให้นะครับ โดยเราจะสามารถเซฟแผนที่ได้สูงสุด 4 ชั้น สร้างพื้นที่ No-go เซ็ตห้อง เซ็ตโปรแกรมการทำความสะอาดแต่ละห้องของแต่ละชั้นได้เลย พอยกไปชั้นไหน เครื่องจะ detect แผนที่ของแต่ละชั้นให้อัตโนมัติเลย แต่ต้องขออภัยที่ไม่ได้ทดสอบฟีเจอร์บ้านหลายชั้นให้ เนื่องจากทีมงานอยู่คอนโดที่มีชั้นเดียวฮะ
6. อยากให้น้องไปไหน จิ้มแผนที่ไปเลย
บางทีเราอาจจะมีที่ที่เลอะเป็นจุดๆ อยากให้หุ่นยนต์มาทำความสะอาดเฉาะบางส่วน ไม่ต้องทำทั้งห้อง เราสามารถลาก Spot Cleaning เฉพาะโซนในแผนที่ได้ด้วยนะครับ น้องก็จะมาทำความสะอาดเฉพาะโซนนั้นๆ สามารถตั้งให้ทำวนไปสามสี่รอบก็ได้ก่อนนะกลับ
หรือถ้าอยากเจอน้อง แต่ไม่อยากเดินไปหาน้องเอง เค้าก็มีโหมด Pin & Go ให้ปักหมุดในแผนที่บ้าน เดี๋ยวน้องก็จะออกมาหาตามหมุดที่ปักเอง เอาไว้เผื่อเรียกน้องมาเทฝุ่นออก หรือ maintenance เช็ด ถูกตัวเครื่อง/เซนเซอร์
หรือถ้าใครยังจะบังคับหุ่นยนต์เองเป็นรถบังคับเลย ก็มีโหมด Joystick ให้
คร่าวๆ ก็จะประมาณนี้ครับสำหรับโหมดแผนที่ของหุ่นยนต์ Roborock S6 MaxV แต่ว่าความสามารถยังไม่หมดแค่นี้ จุดขายของรุ่นนี้เลยคือกล้อง ReactiveAI คู่หน้าของเค้าครับ
กล้องคู่ ReactiveAI ไม่ใช่แค่รู้ว่าใกล้ชน แต่รู้ว่าของที่จะชนคืออะไร
ปกติถ้าเป็นรุ่นก่อนๆ เวลาจะรู้ว่าอะไรอยู่ข้างหน้า หุ่นยนต์จะใช้ LiDAR ในการสแกนระยะห่างวัตถุ ร่วมกับการทำงานของกันชนด้านหน้าครับโดยพอใกล้จะชนกับกำแพงหรือวัตถุ เครื่องจะเดินเข้าไปชนเบาๆ แล้วเปลี่ยนทิศทาง แต่ของบางอย่างในห้อง ก็ไม่ควรเข้าไปโดนเข้าไปยุ่งเลยมากกว่า อย่างรองเท้า หรือปลั๊กไฟ อันนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปลองชนดูก่อนเนอะ แล้วถ้ามีแค่ sensor กับ LiDAR ในการวัดระยะห่างจะรู้ได้ไงว่าวัตถุที่กำลังเดินไปหาคืออะไร
เลยเป็นที่มาของการมีกล้องคู่ ReactiveAI เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้ครับ เป็นกล้องคู่ที่ใช้ AI ในการตรวจจับสิ่งของต่างๆ ที่หุ่นยนต์กำลังเดินไปหา แล้วเครื่องก็จะประมวลผลว่า ควรจะเข้าไปหาดีไหมนะ อย่างถ้าเป็นกำแพง หรือขาโต๊ะ ก็จะเดินเข้าไปเลย แต่ถ้าเป็นวัตถุอย่างอื่น เครื่องก็จะเก็บภาพมาวิเคราะห์แล้วว่าคืออะไร อาจจะเป็นวัตถุที่ดูคล้ายรองเท้า คล้ายปลั๊กไฟ คล้ายที่ชั่งน้ำหนัก เครื่องก็จะทำการหลบหลีบสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้ โดยในตัวเครื่องจะมีชิปประมวลผล Qualcomm® APQ8053 8 Core ทำหน้าที่ประมวลผลภาพเหล่านี้ให้ เหมือนเป็นคอมเล็กๆ เครื่องนึงเลย
แล้วทำไมต้องเป็นกล้องคู่ อันนี้ก็จะเหมือนกับในมือถือยุคใหม่ๆ การที่มีกล้อง 2 ตัว จะช่วยให้สามารถคำนวนความลึก ความอยู่ใกล้ไกลของวัตถุเพิ่มเติมได้ เหมือนใน iPhone ที่ใช้กล้อง 2 ตัวในการถ่ายหน้าชัดหลังเบลอนั่นเองครับ แล้วในตอนกลางคืน ถ้าหากปิดไฟหมด กล้องก็ยังสามารถจับภาพในที่มืดได้เนื่องจากจะมีอินฟราเรดอยู่ที่กล้องด้วยครับ
ในการใช้งานจริง โหมด ReactiveAI เวิร์คขนาดไหน??
ต้องบอกว่าเหมือนมาเป็นฟังก์ชั่นที่มาช่วยการเก็บกวาดห้องสมบูรณ์ยิ่งขึ้นฮะ ถ้าเทียบกับหุ่นรุ่นที่ไม่มี มันจะมีบางครั้งที่เราถอดรองเท้าเดินในบ้านไว้ หุ่นไม่รู้ ก็จะดันไปเรื่อยๆ บางทีอาจจะไปจบอยู่ใต้โซฟา ใต้เตียงบ้าง หรือบริเวณที่เป็นปลั๊กไฟ เครื่องเดินไปชนปลั๊กที่หลวมๆ อยู่หลุดบ้าง พอมี ReactiveAI ก็ช่วยให้หลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลย
แต่ถามว่า AI สามารถจับวัตถุได้ถูกต้อง 100% เป๊ะๆ เลยมั้ย ก็ไม่ถึงกับ 100% ขึ้นอยู่กับหน้าตาของวัตถุครับ ให้ความถูกต้องประมาณ 70% แล้วกันฮะ ถ้าหน้าตาวัตถุไหนแปลกๆ หน่อย AI ก็อาจจะยังดูไม่ออกว่าวัตถุคืออะไรบ้าง แต่ถ้าวัตถุกีดขวางอันไหน AI เจอแล้วงง ก็จะขึ้นว่าเป็น Unknown Item แต่ถึงจะเป็น Unknown น้องก็จะยังจะหลบให้เหมือนกันนะ หลักๆ ก็คืออะไรแปลกๆ ก็จะพยายามหลบให้ครับ
สำหรับบ้านใครที่เลี้ยงสัตว์ ตัว S6 MaxV เค้าจะมีโหมด Pet Detail มาให้ด้วย ปรับการทำงานของ AI ให้ระวังยิ่งขึ้น ในโหมดนี้จะสามารถตรวจจับอึ๊น้องหมาน้องแมวได้ เจอวัตถุอะไรประหลาดอะไรก็จะพยายามไม่เข้าไปยุ่งมากกว่าปกติ แต่การประสิทธิภาพการทำความสะอาดก็อาจจะลดลงกว่าโหมดปกติเล็กน้อยครับ
Remote Viewing ดูภาพที่บ้านจากนอกบ้าน
นอกจากกล้องหน้าเครื่องจะใช้ตรวจจับสิ่งของ ตัว Roborock S6 MaxV ยังมีลูกเล่นที่สามารถเอากล้องหน้ามาให้เราสำรวจบ้านตอนที่เราไม่อยู่ได้ด้วยอีกนะ โหมดนี้จะคล้ายๆ กับเล่นเกมอยู่เลยฮะ คือจะเปิดกล้องแล้วมีปุ่มบังคับหุ่นยนต์ไปที่ต่างๆ ในบ้านได้ แถมสามารถส่งเสียงพูดจากมือถือ ไปออกลำโพงด้วย เผื่อใครเอาหุ่นยนต์เดินไปคุยกับหมาแมวจากนอกบ้าน แต่โหมดนี้ถ้าเปิดกล้องเมื่อไหร่ ตัวเครื่องก็จะมีเสียงเตือนบอกที่เครื่องด้วยตลอดเวลาเหมือนกันนะครับ เอาไว้แจ้งคนในบ้างที่กำลังถูกกล้อง remote view ดูอยู่ ให้รู้ว่ามีการถ่ายภาพ เพิ่มความเป็นส่วนตัวให้ด้วยเช่นกัน
โหมดถูบ้าน มีถังน้ำแล้ว
นอกจากการกวาดและดูดฝุ่นปกติ แน่นอนว่าใน Roborock S6 MaxV ยังมีฟังก์ชั่นในการถูพื้นมาให้ด้วย โดยในรุ่นนี้จะมีถังน้ำขนาดที่ถือว่าค่อนข้างใหญ่พอตัว ติดกับด้านหลังของตัวเครื่อง สามารถถอดออกมาเติมน้ำแล้วใส่กลับเข้าไปได้ ส่วนเมื่อไหร่ที่เราต้องการถูพื้น ตัวเครื่องก็จะมีแผงสำหรับถูพื้นรูปร่างคล้ายๆ ครึ่งวงกลมมาให้เสียบที่ด้านหลังตัวเครื่องครับ ซึ่งถ้าใส่ปุ๊บเครื่องก็จะเข้าโหมดถูให้ออโต้ แต่ถ้าถอดออกก็จะเป็นโหมดปกติ ในโหมดถูตัวเครื่องก็จะเดินเน้นให้การถูพื้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยในรุ่นนี้จะไม่ได้เป็นระบบน้ำหยดเหมือนรุ่นเดิมๆ แล้วครับ แต่จะมีปั๊มสำหรับควบคุมได้เลยว่าจะใช้น้ำเยอะ น้ำน้อย เลือกแต่ละห้องให้เหมาะกับสภาพพื้นของแต่ละห้องได้ด้วย น้ำหนึ่งถังตาม spec สามารถใช้ได้สูงสุดประมาณ 200 ตารางเมตรครับ
หลังจากลองใช้งานจริง ถือว่าถูเก็บฝุ่นได้โอเคครับผม ความเปียกถ้าตั้งน้ำสูงสุดนี่ก็พื้นเปียกพอประมาณเลย เหมาะกับการใช้ถูเก็บฝุ่นต่างๆ ที่บางทีการดูดฝุ่นอาจจะไม่หมดครับ เอามาใช้สักอาทิตย์ละครั้งสองครั้งงี้ เน้นงานถูที่เป็นกิจวัตร แต่ถ้าจะเน้นถูเอาสิบแรงขัดขจัดคราบบนพื้น หรือถูหลังปาร์ตี้เสร็จไรงี้อาจจะหนักเกินไปสำหรับน้อง
ผ้าถอดซักได้ มีให้ 1 ชิ้น สามารถซื้อเพิ่มได้
ฟังก์ชั่นอื่นๆ
นอกจากฟังก์ชั่นหลักๆ ที่ก็ถือว่าเยอะมากๆ แล้ว ตัวหุ่นยนต์เองก็ยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่เราอาจจะไม่ได้พูดถึงอย่างละเอียดด้วยครับ เช่น
- Carpet Mode เพิ่มแรงดูดเป็นระดับสูงสุดอัตโนมัติเมื่อขึ้นบนพรม
- Schedule ตัวเวลาการทำงานอัตโนมัติ ให้ทำทุกวัน หรือแค่บางวันในสัปดาห์ได้ เลือกเวลาและโหมดการทำงานได้
- โหมด Do not disturb ตามช่วงเวลา ลดการรบกวน เสียงพูดของเครื่องจะเบาลง
- มีหน้าดูข้อมูลอายุการใช้งานพวกอุปกรณ์ที่มีอายุขัยต่างๆ เช่นฟิลเตอร์ แปรงปัด
- ดูประวัติการทำความสะอาดย้อนหลังในวันก่อนๆ ได้
- Siri Shortcuts สามารถเพิ่มให้สั่งงานผ่าน Siri เช่นบอกว่า Hey Siri, Start the robot หุ่นยนต์ก็จะเริ่มทำงาน
- แชร์หุ่นยนต์ให้มือถือคนอื่นๆ ได้ กรณีที่บ้านอาจจะมีคนอยู่หลายคน
- มี Notification แจ้งเตือนการเริ่มทำงาน/ทำงานเสร็จผ่านในมือถือ
- เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล ระบบจะไม่เก็บข้อมูลภาพหรือข้อมูลวีดีโอห้องเราไว้ในเซิฟเวอร์
- มีเสียงภาษาไทยแล้วนะ เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุจะได้เข้าใจเวลาเครื่องร้อง
การใช้งานโดยรวม
ขอพูดในมุมของคนที่เปลี่ยนมาใช้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นมาประมาณ 2 ปีก่อนนะครับ บอกเลยว่าตั้งแต่มีหุ่นยนต์ดูดฝุ่นก็ไม่ได้กวาดห้องอีกเลยครับ ให้หุ่นยนต์กวาดถูเอา ทุกวันนี้ที่ห้องไม่มีไม้กวาดด้ามยาวๆ แล้วครับ มีแต่แปรงอันเล็กๆ เผื่อกวาดอะไรนิดหน่อย เทียบพื้นห้องที่หุ่นยนต์ทำงานทุกวัน กับห้องที่ไม่ได้กวาดไม่กี่วันอันนี้ความรู้สึกต่างกันแน่นอนชัดเจน
ส่วนการถูพื้นทั้งห้องนี่ก็แทบไม่ได้ถูเลยเช่นกัน จะมีก็แต่ห้องครัวซึ่งอยู่บริเวณส่วนหน้าห้องของคอนโด ที่เดินใส่รองเท้าเข้ามาถอดในห้อง กับทำอาหารต่างๆ ที่อาจจะมีคราบหกลงพื้น น้ำมันเอย ซอสเอย ต่างๆ เครื่องซักผ้าใต้เคาท์เตอร์ครัวบางทีก็เทน้ำยาหยดลงพื้นบ้าง ซึ่งส่วนนี้ก็ต้องยอมรับว่าบางทีระบบถูยังเอากับคราบขนาดนี้ไม่อยู่ครับ ยังต้องมาเช็ดคราบที่ฝังที่พื้นเอง ซึ่งก็อย่างที่บอกไปนั่นเองครับ ว่าหุ่นยนต์จะเน้นการทำความสะอาดเบาๆ แต่บ่อยๆ เน้นทำทุกวันให้ห้องไม่มีฝุ่น แต่ถ้างานหนักๆ ก็ต้องเป็นมือเรานั่นเอง ซึ่งมันก็นานๆ ครั้งมากๆ ครับที่ต้องมาทำเอง
สภาพฝุ่นในห้องปิด หลังจากใช้มา 2 อาทิตย์ ตัวเครื่องมีแถมแปรง+มีดสำหรับมาเอามาทำความสะอาดเครื่อง ตัดสิ่งที่มาพันกับเครื่องด้วยครับ
และถ้าพูดถึง Roborock S6 MaxV ตัวนี้ก็มีการพัฒนาการทำงานให้สมบูรณ์ขึ้นในหลายๆ ด้านเลย กล้องคู่หน้าตรวจจับสิ่งของได้จริง หลบให้จริง ไม่ได้ดันรองเท้าแล้ว ถึงจะมีบ้านที่เจอของหน้าตาแปลกๆ แล้วอาจจะไม่รู้จัก แต่ก็ถือว่าทำงานได้ดีครับ โหมดถูบ้านอันนี้ก็พัฒนาขึ้นจากของเก่า มีถังให้ใส่น้ำ ปรับความชุ่มในการถูได้ ซึ่งจากรุ่นเดิมใส่น้ำหนึ่งครั้งจะถูครั้งเดียวก็หมดแล้ว ตัว S6 MaxV เปิดแบบน้ำเยอะสุดก็ยังใช้น้ำไปแค่ประมาณ 1 ใน 3 ครับ ดังนั้นบ้านใหญ่ๆ น่าจะถูได้ทั้งบ้านสบายๆ คิดว่าโหมดถูพื้นใช้งานได้จริงจังขึ้นกว่ารุ่นที่แล้วที่รู้สึกว่าเหมือนมาเป็นของแถม
ส่วนการใช้งานด้านอื่นๆ อย่างระบบแผนที่อันนี้คงไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เพราะเป็นจุดเด่นมาแต่ไหนแต่ไร ฟังก์ชั่นต่างๆ เหมือนถูกคิดมาแล้ว ข้อนี้ทำได้ดีอยู่ละ พลังดูดของเครื่องก็ถือว่าพอเพียงสำหรับหุ่นยนต์ที่เน้นทำความสะอาดทุกวัน ไม่เคยรู้สึกว่าห้องไม่สะอาดเดินแล้วเจอฝุ่น ขนาดแบตที่มีมาให้ก็ถือว่ามากพอแล้วสำหรับการใช้งานแต่ละวัน ห้อง 35 ตร.ม. ของทีมงาน ใช้แบตไปแค่ประมาณ 10 – 15% เองครับ ดังนั้นบ้านพื้นที่เยอะก็น่าจะหายห่วง
พูดถึงแต่ข้อดี เดี๋ยวจะหาว่าอวยเกินไปหรือเปล่า อ่ะ มาถึงข้อเสียกันบ้างครับ ก็ต้องบอกว่าสำหรับบ้านใครที่ของเยอะ อาจจะต้องจัดเล็กน้อยนะ เพราะอะไรที่เป็นเส้น เชือก สายไฟ พวกนี้น้องยังเข้าไปพันในเครื่องได้อยู่ อาจจะต้องเก็บๆ บ้านก่อนไม่ให้รกมาก ถึงจะ detect ปลั๊กไฟได้ แต่สายไฟบนพื้นที่เป็นเส้นๆ ยังไม่ได้นะครับผม (หรือทางแก้อีกอย่างก็คือต้องกั้นโซนที่รกมากจริงๆ ไม่ให้น้องเข้า) ใครที่มีพรมเช็ดเท้าเป็นผ้าสูงๆ อันนี้ก็ยังไม่ค่อยถูกกันพอสมควร คือน้องขึ้นพรมได้นะ แต่ด้วยความเบาของพรมเช็ดเท้าบางแบบเลยทำให้บางทียังไม่ทันขึ้นพรมก็เลื่อนแล้ว กลายเป็นจากจะขึ้นพรมมาลากพรมเดินเล่นแทน แนะนำให้เปลี่ยนเป็นพรมเช็ดเท้าแบบบางหน่อย ที่เป็นพื้นยาง อันนี้ก็จะเรียบร้อยครับ ของทีมงานซื้อมาจาก ikea หลังจากเปลี่ยนก็ไม่มีปัญหา
ข้อต่อมาคือระบบถูพื้นไม่มีสถานะบอกว่าตอนนี้น้ำในถังมีปริมาณเท่าไหร่ อันนี้ต้องไปดูที่ตัวเครื่องเอา ถ้ามีเซนเซอร์บอกว่าน้ำเหลือเท่าไหร่ผ่านในแอพก็จะสะดวกขึ้นครับ และสุดท้ายที่หุ่นยนต์ดูดฝุ่นส่วนใหญ่น่าจะเป็นเหมือนกันก็คือมันจะมีบางซอกบางมุมเล็กๆ ในบ้านที่เครื่องเข้าไม่ถึง อันนี้ก็แนะนำซื้อเครื่องดูดฝุ่นมือถือตัวเล็กๆ หลักร้อยก็ได้ครับ มาเก็บฝุ่นตามซอกต่างๆ หรือหาผ้ามาเช็ดทำความสะอาดเอาครับ
สรุป
สำหรับตัวทีมงานเองก็บอกได้ว่าแฮปปี้กับการมีหุ่นยนต์ดูดฝุ่นมากครับ ไม่รู้สึกเสียดายเงินเลยที่เปลี่ยนมาใช้หุ่นยนต์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคนด้วยนะฮะ ถ้าโจทย์คืออยากหาตัวช่วยทุ่นแรงทำงานบ้าน ส่วนตัวคิดว่าเวิร์คครับ ช่วยได้เยอะจริง
Roborock เองก็มีหุ่นยนต์หลายรุ่นหลายราคาแต่ใครที่มองหาหุ่นยนต์ดูดฝุ่นดีๆ ซักตัว spec แน่นๆ ฟังก์ชั่นครบๆ แต่คุ้มค่าในราคาจับต้องได้ Roborock S6 MaxV ในราคาแค่หมื่นปลายๆ ไม่น่าทำให้ผิดหวังครับ
สั่งซื้อและดูข้อมูลเพิ่มเติมของ Roborock S6 MaxV ได้ที่ Shopee
รีวิวนี้ ได้รับการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ในการรีวิวจาก Roborock Thailand