ถ้าลองถามคน 100 คน ว่าอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยทำความสะอาดบ้านอย่างแรกที่คนจะนึกถึงคืออะไร มั่นใจว่าส่วนใหญ่จะนึกถึงหุ่นยนต์ทำความสะอาดกันก่อนใช่ไหมครับ แต่วันนี้ เราจะพามารู้จักกับอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่เป็นตัวช่วยให้การทำความสะอาดบ้านเป็นเรื่องง่าย กับ
“เครื่องล้างพื้น Roborock Dyad Pro”
เครื่องล้างพื้นรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Roborock ที่จะเป็นตัวช่วยให้การทำความสะอาดพื้น เป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องออกแรงเยอะ และทั้งดูดฝุ่นและถูพื้นเสร็จได้ภายในทีเดียว ไม่ต้องทำหลายรอบ
ซึ่งเครื่องประเภทนี้ บางคนอาจจะเริ่มรู้จักกันอยู่แล้ว แต่บางคนก็อาจจะยังไม่ค่อยคุ้นเคยมาก เดี๋ยว LivingPop จะขอพาเพื่อนๆ ไปรู้จักเครื่องประเภทนี้กันให้มากขึ้นครับ ว่าเค้าทำอะไรได้บ้าง แล้วช่วยงานอะไรเราได้บ้าง
“เครื่องล้างพื้น” คืออะไร??
เครื่องที่ทั้งดูดฝุ่น และถูพื้น พร้อมกันในทีเดียว ช่วยให้งานกวาดถูบ้านเป็นเรื่องง่าย และทำทีเดียวจบ!!
ต้องบอกว่าเครื่องล้างพื้น เป็นเครื่องที่เพิ่งจะมานิยมเพิ่มขึ้นในยุคหลังๆ นี่เองครับ หลายคนเลยอาจจะยังไม่ได้คุ้นเคยกับสิ่งนี้มาก จากแต่ก่อนที่เราใช้เครื่องดูดฝุ่น ดูดตามพื้น แล้วค่อยถูพื้นอีกที แต่เครื่องล้างพื้นจะรวมเอาฟีเจอร์ต่างๆ มาไว้ในตัวเดียวกันเลย ไม่ว่าจะเป็นดูดฝุ่น ถูพื้น โดยที่เราแค่เติมน้ำเข้าไป เครื่องจะฉีดน้ำถูพื้นให้เอง และรวมไปถึงซักผ้าถูให้ แถมบางตัวจบท้ายด้วยการเป่าผ้าแห้งให้อีก
เรียกได้ว่าแค่หยิบออกมาถู เสร็จงานเอาไปวางเดี๋ยวน้องเค้าก็คลีนตัวเอง เราแค่ใช้งาน กับเอาน้ำเสียไปทิ้งเวลาเต็มแค่นั้นเลย คอนเซปต์หลักๆ ของการใช้งานก็จะเป็นประมาณนี้ครับ โดยเครื่องนี้เค้าก็จะเน้นที่งานพื้นโดยเฉพาะ ดังนั้นไม่ว่างานเบา งานหนัก ตัวนี้จะดีไซน์มาเพื่องานทำความสะอาดพื้นพวกนี้เลยครับ
แล้วถ้าเทียบกับอุปกรณ์อย่างอื่นล่ะ?
เราลองมาดูกันว่า ข้อดีของอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านแต่ละอย่าง ต่างกันอย่างไรบ้าง..
ไม่ต้องไปที่ไหนไกล เอาแค่ Line Up อุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านของ Roborock เอง ที่มีทั้งหุ่นยนต์ดูดฝุ่น และเครื่องดูดฝุ่น แต่ละอย่างหน้าที่หลักมันต่างกันอย่างไร จากที่ทีมงานใช้อุปกรณ์ตัวอื่นๆ ของ Roborock ด้วยเหมือนกัน ขอเล่าให้ฟังคร่าวๆ เพื่อให้เห็นภาพครับ
เครื่องดูดฝุ่นแบบไร้สาย
ตัวนี้จะเน้นดูดฝุ่นโดยเฉพาะ แต่ก็ทำได้หลายอย่างครับ เปลี่ยนหัวได้ ไม่ว่าจะเป็นดูดฝุ่นพื้น ดูดฝุ่นตามซอก ดูดฝุ่นในอุปกรณ์เล็กๆ เช่นในเคสคอมพิวเตอร์ ซอกคีย์บอร์ด ของบนชั้นวาง ซอกผ้าม่าน ต่อท่อดูดไปดูดขอบเพดาน หรืออย่างตัว Roborock H7 ที่ทีมงานใช้ ตัวนี้จะแรงพอสมควร ก็จะมีหัวลูกกลิ้ง สำหรับดูดไรฝุ่นต่างๆ บนที่นอน/โซฟาได้ด้วยครับ
และด้วยความตัวเล็ก น้ำหนักตัวที่ไม่มาก อุปกรณ์ประเภทนี้ก็จะยกไปดูดนู่นนี่นั่นค่อนข้างสะดวก เก็บงานฝุ่นตามซอกตามขอบได้ หรือยกไปใช้นอกบ้าน ไปดูดในรถได้ แต่ส่วนใหญ่ก็จะออกแบบสำหรับฝุ่นที่เป็นแบบแห้งครับ จะไม่เหมาะกับการเอาไปดูดน้ำหรือของเหลวนะ
หุ่นยนต์ดูดฝุ่น
ตัวนี้จะเน้นงานพื้นโดยเฉพาะ ฟีเจอร์ของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นในตลาดเดี๋ยวนี้ก็มีค่อนข้างหลากหลายครับ ตั้งแต่ดูดฝุ่นอย่างเดียว มีถูพื้นได้ มีซักผ้าให้ ไปจนถึงเติมน้ำ/เก็บฝุ่นออกจากตัวเครื่อง ระดับราคาก็จะแตกต่างกันไป อย่างตัวที่ทีมงานใช้อยู่จะเป็น Roborock S7 MaxV ตัวนี้ฟีเจอร์ก็ค่อนข้างที่จะครบที่สุดตัวนึงเลย
ซึ่งพอบอกว่าสามารถดูดฝุ่น/ถูพื้นได้ ฟีเจอร์ฟังดูก็จะคล้ายๆ เครื่องล้างพื้นใช่ไหมครับ แต่จริงๆ ก็มีจุดต่างกันอยู่ อย่างที่เรารู้กัน หุ่นยนต์เค้าก็จะมีข้อดีในแง่ที่เดี๋ยวถึงเวลาที่ตั้งไว้ น้องเค้าก็ออกเดินไปทำความสะอาดทั้งบ้านเอง เสร็จก็กลับมา เราไม่ต้องทำอะไรเลย
แต่ก็จะมีข้อจำกัดเล็กน้อยตรงที่ถ้างานทำความสะอาดหนักๆ ก็อาจจะไม่ได้สะอาดในครั้งเดียว เพราะด้วยดีไซน์เครื่องประเภทนี้ที่เน้นให้น้องออกมาทำงานบ่อยๆ เป็น Routine ครับ เหมือนเป็นการทำความสะอาดประจำวันมากกว่า ส่วนบ้านที่เป็น Step เล่นระดับก็จะมีข้อจำกัดคือเจ้าหุ่นเหล่านี้เดินขึ้นลงขั้นบันไดเองไม่ได้ครับ
เครื่องล้างพื้น
สำหรับเครื่องล้างพื้น ความสามารถหลักที่เป็นจุดขายคือสามารถดูดฝุ่น พร้อมกับถูพื้นได้ในเวลาเดียวกัน โดยตัวเครื่องจะทำมาเพื่อทำความสะอาดพื้นโดยเฉพาะอย่างเดียวเลยครับ
ซึ่งถ้าใครมองในเรื่องการทำความสะอาดพื้นแบบสะอาดหมดจดสุดๆ ในบรรดา 3 ตัวที่พูดถึง ตัวนี้เค้าก็จะยืนหนึ่งในเรื่องการทำความสะอาดพื้นครับ ได้ตั้งแต่ความสกปรกระดับนิดหน่อยถึงระดับมหันตภัย (พูดเว่อไปไม๊ 555555 เอาเป็นว่าเผลอทำชามอะไรคว่ำในครัว อุปกรณ์ประเภทนี้เอาอยู่ครับ)
แต่ว่าด้วยฟีเจอร์ที่เน้นทำความสะอาดแบบค่อนข้างหนักหน่วง ทั้งดูด ทั้งถู ก็จะมาพร้อมกับขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นและน้ำหนักตัวที่เยอะขึ้นมาครับ ดังนั้นอาจจะไม่ได้ถือตัวปลิวได้แบบเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย (เดี๋ยวเรามาพูดถึงการใช้งานอีกที) และถ้าเทียบกับพวกหุ่นยนต์ ตัวนี้เราก็ยังต้องคุมเครื่องเอง แต่ก็จะยกไปนู่นนี่ได้ง่ายกว่า สำหรับบ้านมี Step มีขั้นบันไดเยอะครับ
“จริงๆ อุปกรณ์ทั้ง 3 อย่างก็ตอบโจทย์ต่างกันออกไป”
จะเห็นว่าอุปกรณ์แต่ละประเภท ก็จะมีจุดเด่น ตอบโจทย์ที่แตกต่างกันออกไปครับ ก็เลยอยากให้เห็นภาพกันคร่าวๆ ก่อนว่าอุปกรณ์ทั้ง 3 ตัวนี้ จุดประสงค์ในการใช้งานจริงๆ เค้าต่างกันยังไง ทำไมยี่ห้อเดียวกันถึงมีเครื่องหลายแบบให้เลือก
แต่ถ้าถามว่าซื้ออะไรดี อันนี้ก็จะตอบยากเพราะก็อยู่ที่ว่า Lifestyle แต่ละคนต้องการแบบไหนครับ
มารู้จักกับ Roborock Dyad Pro
เครื่องล้างพื้นตัวใหม่ล่าสุดจาก Roborock ฟีเจอร์แน่น ทั้งดูด ถู ซักผ้า เป่าแห้ง
มาถึงพระเอกของเราในวันนี้ครับ กับเครื่องล้างพื้น Roborock Dyad Pro เกริ่นนำไปซะยาวเลย ตัวนี้จะเป็นเครื่องล้างพื้นรุ่นที่ 2 ของทาง Roborock แล้วครับ หลังจากที่ปีก่อนหน้านู้นได้วางขาย Roborock Dyad ที่เป็นเครื่องล้างพื้นตัวแรกไป
ความแตกต่างของรุ่นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาก็มีหลายอย่างครับ เช่นมอเตอร์แรงขึ้นแรงดูดเพิ่มขึ้น, ใช้งานได้นานขึ้น, ทำความสะอาดได้ดีกว่าเดิม, เชื่อมต่อแอปได้, น้ำหนักเบาลง, มีระบบเป่าแห้ง ตัว Dyad Pro ก็เลยจะเป็นเหมือนรุ่นที่พัฒนาเก็บจุดต่างๆ ของรุ่นที่แล้วมาปรับปรุงครับ
จุดเด่น Roborock Dyad Pro
- ดูดฝุ่น ถูพื้น ล้างพื้นในเครื่องเดียว ใช้งานแบบทีเดียวจบ
- ไร้สาย มีแบตในตัว ชาร์จ 1 ครั้งใช้ได้สูงสุดประมาณ 40 นาที
- ระบบ 2 Roller ช่วยกันทำความสะอาด
- มีระบบซักผ้าในตัว ซักเสร็จเป่าแห้งให้ ผ้าไม่บูด
- มีช่องใส่น้ำยาทำความสะอาดพื้น คำนวณการใช้งานออโต้
- มีเซนเซอร์วัดความสกปรกที่พื้น พร้อมจอบอก
- เชื่อมต่อกับแอป Roborock ในมือถือได้
แกะกล่อง Roborock Dyad Pro
สิ่งที่เราจะได้ หลังจากที่ซื้อ Dyad Pro คือในกล่องเค้าจะมีเครื่องพร้อมกับตัว Dock ที่ใช้ทำความสะอาด/เป่าลมร้อนมาให้ด้วยเลย ตัวนี้ไม่ต้องซื้อเพิ่มแยกครับ และก็จะมีอุปกรณ์อื่นๆ มาให้ด้วย อย่างเช่นฟิลเตอร์สำรองอีก 1 ชิ้น (ในเครื่องมีมาให้แล้ว 1 ชิ้น) มีแปรงปัดฝุ่น ไว้กำจัดสิ่งสกปรกที่ติดตามซี่ตามซอก
ตอนเปิดกล่องมาจะเจอตามนี้ครับ
ตัวเครื่อง
ส่วนแรกที่ใหญ่ที่สุดจะเป็นตัวเครื่องพร้อมหัวดูดครับ เป็นชิ้นส่วนที่ติดกันเลย ซึ่งชิ้นส่วนต่างๆ เช่นกล่องใส่น้ำดี, น้ำเสีย ฟิลเตอร์ต่างๆ รวมไปถึง Roller ที่หัวดูดจะถูกใส่มาให้เรียบร้อยแล้วครับ
ด้ามจับ
ตัวด้ามจับจะเป็นชิ้นส่วนเดียวของเครื่องที่ถูกแยกออกมา ก่อนเริ่มใช้แค่เสียบน้องลงไปที่ตัวเครื่องหลักก็ใช้งานได้แล้วครับ
ฐานส่วนที่เป็นระบบเป่าลมร้อน/ซักผ้า
ตัวฐานจะแยกเป็นสองส่วนครับ ส่วนแรกจะเป็น Dock ส่วนที่มีงานระบบ ทั้งระบบเป่าแห้งและระบบชาร์จไฟครับ ข้างใต้จะมีช่องสำหรับเสียบอะแดปเตอร์ครับ ช่วยซ่อนสายไม่ให้รกตา
ฐานด้านหน้า (ตรงนี้เอาไปล้างน้ำได้)
ฐานด้านหน้าจะเป็นส่วนที่ใช้ในการซักผ้าครับ รวมถึงเป็นส่วนที่มีการเป่าลมให้ผ้าแห้งหลังจากซักผ้าเสร็จ ตรงนี้จะเป็นส่วนที่มีความสกปรกได้หลังจากใช้งานไปนานๆ เลยสามารถถอดออกไปล้างน้ำได้ครับ
คู่มือ
ในกล่องจะมีคู่มือมาให้ครับ เป็นคู่มือภาษาไทย แต่ถ้าทำหายก็ยังสามารถดูคู่มือออนไลน์ผ่านในแอป Roborock ได้นะ
อะแดปเตอร์ไฟ
อะแดปเตอร์ไฟ ความยาวสายให้มาพอประมาณ ซึ่งถ้า Dock อยู่ใกล้ๆ กับปลั๊ก จะสามารถซ่อนสายไฟไว้ใต้ Dock ได้ครับ
ฟิลเตอร์สำรอง
ฟิลเตอร์กรองฝุ่นจริงๆ จะอยู่ในเครื่องมาให้ 1 ตัวอยู่แล้วครับ แต่จะมีสำรองมาให้อีกหนึ่งชุดด้วย
แปรงปัดฝุ่น
ชิ้นสุดท้าย จะเป็นแปรงสำหรับทำความสะอาดตัวหัวดูดครับ เพื่อทำความสะอาดในซอกต่างๆ
เริ่มต้นใช้งาน
ประกอบร่างแปปเดียว ก็เริ่มใช้งานได้เลย
สำหรับการเริ่มต้นใช้งานก็ไม่ยากครับ หลักๆ ก็จะเป็นการเริ่มประกอบร่างส่วนต่างๆ ที่แยกชิ้นมาเข้าด้วยกันก่อน อย่างตัว Dock ที่แยกเป็น 2 ชิ้น และใส่ด้ามจับเข้ากับตัวเครื่อง
การใช้งานเครื่องจะเป็นการใช้งานคู่กันกับ Dock ตลอดครับ เมื่อทำความสะอาดเสร็จ Dock จะทำหน้าที่ในการชาร์จและทำความสะอาด Roller (เสียบสายชาร์จตรงเข้าเครื่องไม่ได้นะ) ดังนั้นถ้าจะยกไปใช้บ้านอื่น อย่าลืมเอา Dock ไปด้วยนะครับ
นอกจากนี้ตัว Roborock Dyad Pro เค้าจะสามารถเชื่อมต่อกับแอปในมือถือได้ด้วยครับ เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้เลย ดังนั้นแนะนำว่าในตอนเริ่มใช้งานก็ทำการเชื่อมต่อเครื่องเข้าแอปตั้งแต่แรกไปเลย
ซึ่งวิธีเชื่อมต่อก็ไม่ยากครับ สามารถ Scan QR Code ที่อยู่บนตัวเครื่อง แล้วทำตามขั้นตอนในแอปได้เลย เครื่องจะใช้สัญญาณ Wi-Fi แบบ 2.4GHz ในการควบคุม ในแอปเราสามารถตั้งค่าต่างๆ ของตัวเครื่องได้ละเอียดขึ้นครับ แต่ถ้าไม่อยากใช้แอป ตัวเครื่อง Dyad Pro ก็มีปุ่มต่างๆ สำหรับการใช้งานพื้นฐานที่ค่อนข้างครอบคลุมอยู่แล้ว เผื่อใครไม่สะดวก หรือผู้ใหญ่ที่บ้านไม่อยากเรียนรู้ ก็กดปุ่มเอาที่ตัวเครื่องได้ครับ
เติมน้ำใส่เครื่อง
น้ำจะถูกใช้สำหรับทั้งตอนถูพื้น และซักผ้าหลังจากใช้งาน
อย่างที่บอกไปว่า Roborock Dyad Pro ตัวนี้จะทั้งดูดฝุ่น ทั้งถู ภายในตัวเดียวเลย ดังนั้นการใช้งาน เครื่องก็จะให้เราเติมน้ำใส่เข้าไปในเครื่องก่อน โดยมีถังสำหรับเติมน้ำอยู่ เราสามารถแกะออกมาเติม เสร็จแล้วก็ใส่กลับเข้าตัวเครื่องได้ ความจุของถังอยู่ที่ประมาณ 900ml ครับ แต่ถังนี้ใส่แค่เฉพาะน้ำเปล่าอย่างเดียวนะครับ
ไม่ต้องผสมน้ำยาล้างพื้นเอง
มีระบบจ่ายน้ำยาแบบออโต้
ไฮไลท์ของรุ่นนี้อยู่ตรงที่เค้าจะมีตลับสำหรับใส่น้ำยาล้างพื้นแยกต่างหากจากถังน้ำดี สำหรับใครที่อยากถูพื้นแบบใช้น้ำยา เราแค่เทน้ำยาทิ้งไว้ในตลับนี้ครับ
เดี๋ยวที่เหลือเครื่องจะคำนวนให้เองว่าการถูพื้นแต่ละครั้งของเรา ถูแรงแค่ไหน ต้องใช้น้ำยาเท่าไหร่ แล้วจัดการปั๊มน้ำยามาใช้อัตโนมัติตอนที่เราใช้งานทำความสะอาดพื้น (เหมือนเครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ๆ เลย ที่แค่เติมน้ำยาซักผ้า/ปรับผ้านุ่มทิ้งไว้ เดี๋ยวเครื่องคิดให้เองว่าต้องใช้เท่าไหร่)
ซึ่ง Roborock ก็แนะนำเป็นน้ำยาถูพื้นของ Roborock ที่ทำร่วมกับ OMO ตัวนี้ขวดละ 399 บาท ได้ขนาด 480ml ตัวนี้จะเป็นน้ำยาที่ช่วยทำความสะอาดรวมถึงฆ่าเชื้อโรค สามารถใช้กับเครื่องล้างพื้น รวมไปถึงหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีระบบถูพื้นได้ด้วยครับ
สำหรับตัวน้ำยาเทใส่ตลับครั้งนึง ก็สามารถใช้งานได้ค่อนข้างนานครับ Roborock เคลมไว้ว่าตลับนึงสามารถใช้ได้ 600 นาทีหรือเท่ากับน้ำ 20 แทงก์ในโหมด Eco แต่ในการใช้งานจริง เท่าที่ลองใช้มาเป็นโหมด Auto ที่จะใช้น้ำยามากกว่า ก็ถือว่ายังอยู่ได้นานเช่นกันครับ ทำความสะอาดหลายรอบก็ยังไม่หมดตลับ
หัวดูด/ถูแบบ Roller คู่ จุดเด่นของ Roborock
2 Roller ช่วยกันถูและเก็บฝุ่นเข้าตัวเครื่อง พร้อมแรงดูด 17,000Pa
มาดูเรื่องของการดูดกันบ้างครับ สำหรับ Roborock Dyad Pro จะใช้หัวดูดฝุ่นและ Roller ถูพื้นเป็นตัวเดียวกันครับ
คือในการทำงานรอบนึง ตัวเครื่องเค้าจะได้ทั้งดูดฝุ่นและถูพื้นพร้อมกันในรอบเดียวไปเลย
Roller คู่
จุดเด่นของเครื่องล้างพื้น Roborock ที่แตกต่างจากเจ้าอื่น คือเค้าจะมี Roller สำหรับทำความสะอาดมา 2 ตัว หมุนกลับด้านกันครับ ก็จะช่วยให้การเก็บฝุ่นเข้าเครื่องทำได้ดีขึ้น
ลักษณะของตัว Roller ที่ทำหน้าที่ถูพื้น ถ้าลองจับดูด็จะนุ่มๆ ครับ ในตอนทำความสะอาดเครื่องก็จะฉีดน้ำ ตัว Roller ตรงนี้ก็จะทำหน้าที่เป็นเหมือนผ้าถู และเก็บฝุ่นต่างๆ เข้าไปให้เครื่องดูด ดูดฝุ่นและเศษสกปรกต่างๆ เข้าไปในเครื่องนั่นเองครับ
ซึ่งตัว Roller ตัวนี้จะมีความเร็วในการหมุนอยู่ที่ 500 รอบต่อนาที
ตอนใช้แค่วางและลากเบาๆ
ส่วนที่ด้านหลังของหัวดูดจะมีล้อมาให้อีก 2 ตัวครับ การใช้งานเนี่ย เราก็แค่วางไว้กับพื้นเฉยๆ แล้วลากไปเลยครับ ไม่ต้องยก ดังนั้นน้ำหนักของตัวเครื่องก็จะไม่ได้มีผลมากในตอนใช้งานครับ
ซึ่งถ้าเรากดเปิดการทำงาน แค่วางเครื่องไว้กับพื้นเฉยๆ การหมุนของ Roller ก็จะช่วยลากเครื่องไปกับพื้นด้วยครับ เราไม่ต้องดัน เครื่องก็จะช่วยเดินไปข้างหน้าให้เองด้วย ส่วนเรื่องของการคุมทิศทางก็สามารถทำได้ง่าย แค่บิดข้อมือ เครื่องก็จะเลี้ยวไปในทิศทางตามที่เราบังคับแล้วครับ เข้าซอกต่างๆ ได้
ทำความสะอาดได้เกือบติดขอบ
ส่วนการเข้าซอกต่างๆ ตัวนี้เคลมไว้ว่าสามารถเข้าได้ชิดขอบสุดประมาณ 1 มิลลิเมตรครับ ซึ่งที่ด้านข้างทั้ง 2 ของหัวดูด เค้าจะมีล้อเล็กๆ เอาไว้ให้สามารถลากไปกับขอบผนังแบบไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนทั้งกับผนังและตัวเครื่องด้วย
ส่วนที่บริเวณหน้าของตัวเครื่อง เค้าจะมีสวิทช์เปิดปิดแผง เอาไว้ให้เราเลือกได้ครับว่าตอนที่ฉีดน้ำให้กระจายมากน้อยแค่ไหน
มอเตอร์แรง ได้แรงดูด 17,000Pa
สำหรับตัวมอเตอร์มีแรงดูดที่ค่อนข้างแรงพอสมควร อยู่ที่ 17,000Pa ซึ่งถ้าเทียบกับหุ่นยนต์ดูดฝุ่น แรงจะอยู่ที่ 2,500-6,000Pa ครับ ตัวนี้ก็จะเน้นงานดูดที่จริงจังขึ้น จากการลองใช้งานก็ทำความสะอาดได้หมด (มีรีวิวการใช้งานจริงอยู่ด้านล่างครับ)
ซึ่งถ้าเรามาเทียบกับเครื่องดูดฝุ่นที่เป็นเครื่องดูดฝุ่นโดยเฉพาะเลย พวกนั้นเราอาจจะเห็นความแรงอยู่ที่หลัก 25,000Pa ก็มี แต่ต้องบอกว่าตัวนี้ออกแบบสำหรับงานดูดพื้น ถูพื้นโดยเฉพาะ ตัวมอเตอร์อยู่ใกล้กับหัวดูด ไม่ต้องต่อท่อ ซึ่งเมื่อรวมกับตัว Roller คู่ที่ช่วยเก็บฝุ่น ความแรงระดับนี้ก็เก็บงานได้สบายๆ ครับ
หน้าจอแสดงผล
บนตัวเครื่องจะมีหน้าจอแสดงผลมาให้ด้วยครับ หลักๆ ก็จะบอก % แบตเตอรี่ที่เราใช้งานอยู่ ว่าเหลือมากน้อยแค่ไหน และบอกได้ว่าเรากำลังอยู่ในโหมดการทำงานอะไร
แต่ไฮไลท์ของจอตัวนี้ คือเค้าจะทำงานร่วมกับ Sensor ที่หัวดูดฝุ่นครับ คือเค้าจะสามารถ Detect ได้ว่าพื้นแต่ละจุดที่เราเลื่อนผ่านเนี่ย สะอาดมากน้อยแค่ไหน แล้วแสดงออกมาบอกบนจอเลย ถ้าแดงมากก็แปลว่าสกปรกมาก
ซึ่งถ้าในงานในโหมด Auto เนี่ย ตรงไหนที่พื้นสกปรกมาก เครื่องก็จะเพิ่มแรงในการทำความสะอาด รวมไปถึงใช้น้ำเพิ่มให้ด้วยครับ
ซักผ้าและเป่าแห้งให้
หลังจากใช้งานเสร็จ เอากลับมาวางที่ Dock เครื่องจะซักผ้าที่ Roller ให้ พร้อมเป่าแห้ง
ตัวเครื่องจะไม่ใช่แค่ทำความสะอาดพื้นบ้านให้ครับ แต่ยังมีฟังก์ชั่นทำความสะอาดผ้าถูพื้นให้ด้วย เท่ากับว่าการใช้งานจริงๆ เราแค่เติมน้ำ หยิบมาใช้ วางคืนที่เดิม เอาน้ำไปทิ้ง ที่เหลือเดี๋ยวเครื่องจะจัดการให้เลย
ซึ่งการซักผ้าเนี่ยเค้าจะทำงานร่วมกันกับ Dock ที่เป็นแท่นชาร์จครับ มาดูตัว Dock กันก่อน ตัวนี้จะเป็นพลาสติก 2 ชิ้นครับ ชิ้นหน้าสามารถถอดล้างได้เวลาเกิดความสกปรก ส่วนชิ้นด้านหลังจะเป็นตัวงานระบบ มีตัวเสียบชาร์จและระบบเป่าผ้าให้แห้ง ซึ่งการซักผ้า เราแค่เอาเครื่องมาวางครับ แล้วกดปุ่มบนตัวเครื่องให้ซักผ้า เครื่องก็จะทำความสะอาดผ้าถูพื้นบนแท่นนี้เอง
ซึ่งเราสามารถแวะเอาเครื่องมากดซักผ้าระหว่างการถูบ้านได้ครับ เผื่อเวลาเอาไปถูบริเวณที่สกปรกมาก ก็เอามาซักก่อนสักรอบแล้วค่อยไปถูต่อ หรือถ้าเป็นการซักผ้าหลังทำความสะอาดเสร็จ ถ้าวางเครื่องทิ้งไว้ เครื่องก็จะเข้าโหมดเป่าผ้าแห้งให้ต่อครับ ป้องกันผ้าเหม็นอับจากการหมกให้เปียกๆ ทิ้งไว้
การทำงานของระบบเป่าแห้งนี่ก็จะไม่เน้นรวดเร็วมากครับ เน้นเป่าไปเรื่อยๆ เป็นหลักชั่วโมงอยู่เหมือนกัน แต่ก็จะทำงานแบบเงียบๆ เสียงการเป่าแทบไม่ดังครับ แต่ถ้าเรารีบ เค้าก็จะมีโหมดเป่าแห้งแบบเร็วให้ จะใช้เวลาในการเป๋าอยู่ที่ 1 ชั่วโมงครับ
เอาน้ำเสียไปทิ้ง
น้ำเสียหลังจากถูพื้น/ซักผ้า จะถูกเก็บอยู่ในเครื่อง ไว้เททิ้งหลังใช้งานเสร็จ
ที่ถังตรงกลางของตัวเครื่อง ตรงนี้จะเป็นถังเก็บน้ำเสียจากที่เราทำความสะอาดบ้านและตอนที่เครื่องซักผ้าถูให้ครับ ทั้งฝุ่นและน้ำเสียจะอยู่รวมกันเลย ขนาดถังพอประมาณไม่ใหญ่มาก ถ้าเต็ม เวลาใช้งานเครื่องก็จะร้องเตือนบอกเราว่าถึงเวลาเอาน้ำไปเททิ้งครับ
ซึ่งในการใช้งานปกติ จะเน้นให้ไปทิ้งเลยหลังจากที่เราทำความสะอาดและเครื่องซักผ้าให้เสร็จ เพราะน้ำค่อนข้างจะสกปรก ถ้าทิ้งไว้นานจะเน่าเหม็นได้ครับ
มาดูการใช้งานจริงกันบ้าง
พูดถึง Spec และความสามารถไปแล้ว เราลองมาดูการใช้งานจริงๆ กันบ้างครับ
เล่ามาถึงตรงนี้ น่าจะเห็นภาพฟีเจอร์ต่างๆ ของเครื่องกันประมาณนึงแล้ว แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ “แล้วการใช้งานจริงล่ะ จะเป็นอย่างไร” จะเวิร์คเหมือนกับที่ Spec บอกเอาไว้หรือเปล่า ทีมงานก่อนจะมาเขียนรีวิวก็เทสอยู่หลายอย่างเลยครับ เดี๋ยวเรามาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
ทดสอบทำความสะอาดหนักๆ
สำหรับพื้นบ้านทั่วไป ตัวนี้เอาอยู่สบายอยู่แล้ว และด้วยความที่ตัวเครื่องเกิดมาเป็นเครื่องล้างพื้นที่ถูพร้อมกับดูดฝุ่นโดยเฉพาะ เราเลยจะลองกับสถานการณ์ถ้าเราทำอะไรซักอย่างหกในครัวดูครับ
เราลองมาดูจากการใช้งานแรกคับ คือใช้เครื่องทำความสะอาดไข่ที่แตกอยู่ที่พื้น ทีมงานลองปาไข่ใส่พื้นไป 3 ฟองแล้วใช้ Roborock Dyad Pro มาทำความสะอาด พบว่าแค่ถูไปสามสี่ทีไข่ที่กระจายอยู่บนพื้นก็หมดเกลี้ยงแล้วครับ
สามารถทำความสะอาดได้อย่างรวดเร็ว แต่ไข่เค้าก็จะมีความหนืดๆ ของเค้าใช่ไหมครับ ดังนั้นในการทำความสะอาดเนี่ย ไข่จะหมดไปในทีแรก แต่ก็จะมีความมันความหนืดติดผ้าถูอยู่ ดังนั้น ถ้าเจองานหนักประมาณนี้ หลังจากถูเสร็จรอบแรกก็เอาเครื่องไปกดซักสักรอบนึงก่อนครับ แล้วหลังจากนั้นก็เอามาถูเก็บพวกคราบเมือกหนืดๆ ออกอีกที แค่นี้พื้นก็จะสะอาดเกลี้ยงแล้วครับ
แต่ถ้าอยากอัพ Level ขึ้นไปอีก ทีมงานก็ได้ลองมาม่าด้วยเช่นกัน แต่ลองแบบใส่เต็มที่เลย เป็นแบบบิ๊กแพ็ก ใส่ทั้งเครื่องปรุง ทั้งน้ำมัน ใส่ไข่ลวก พร้อมหมูสับและเต้าหู้อีก
ทำเสร็จแล้วลองเอามาเทที่พื้น เพื่อทดสอบการทำความสะอาด ก็เช่นกันครับ สามารถทำความสะอาดได้อย่างรวดเร็ว ทั้งดูดเส้นและน้ำซุปเข้าไปตั้งแต่แรกเลย แต่ด้วยความที่เริ่มมีเต้าหู้มีไข่ลวก ชิ้นจะเริ่มใหญ่ขึ้น ถ้าถูเฉยๆ บางทีจะเป็นการดันก้อนพวกนี้ไปข้างหน้า อาจจะต้องมีการยกด้านหน้าขึ้นนิดนึง พอพวกไข่และเต้าหู้เข้ามาข้างใต้เครื่อง พอเข้ามาใต้เครื่องได้ก็จะโดน Roller กวาดหมด พรึบบบ หายไปแล้วครับ (ดูตัวอย่างได้ในคลิปด้านล่างเลย)
และก็เช่นเคยเหมือนกันตอนทำความสะอาดไข่ที่แตก คือมาม่าเค้าก็จะมีความมันของน้ำซุปของเค้าอยู่ ก็เอาไปซักผ้าถูสักรอบ แล้วค่อยมาถูเก็บอีกทีก็เรียบร้อยครับ ดังนั้นเรื่องแรงดูดและพลังการทำความสะอาดค่อนข้างหายห่วง ถ้าทำอะไรหนักๆ หกตัวนี้เก็บงานให้ได้สบายครับ
ทดสอบทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง พื้นที่ 300 ตารางเมตร
สำหรับการทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง เราก็จะเจอพื้นที่ต่างๆ ของบ้านที่แตกต่างกันออกไปครับ อย่างพื้นที่ชั้นล่างทั้งหมดของบ้านทีมงานจะเป็นหินอ่อน การใช้งานจะเปิดโหมด Auto เครื่องก็สามารถทำความสะอาดได้อย่างไม่มีปัญหา แค่ลากเครื่องไปเรื่อยๆ พื้นก็สะอาดแล้วครับ เผลอๆ สะอาดกว่าถูเองด้วย ให้แรงให้เบาสั่งได้ คนถูไม่มีบ่นว่าเมื่อย
จากพื้นที่ชั้นล่างประมาณ 100 กว่าตารางเมตร จะมีบางห้องที่เครื่องจะทำงานหนักหน่อย อย่างเช่นห้องครัวครับ อันนี้ต้องเปิดโหมด Max เลย เพราะค่อนข้างสกปรกจากคราบน้ำมันต่างๆ และคราบค่อนข้างฝังแน่น
เทียบก่อนและหลังใช้ทำความสะอาดห้องครัว
ในด้านการทำความสะอาดคราบฝัง ก็ต้องบอกว่าถ้าอันไหนเป็นคราบระดับที่ถูออก ตัวนี้ทำความสะอาดได้สบายมาก แต่ก็จะมีคราบบางประเภท ที่ฝังจนเป็นระดับที่ต้องขัด ตัวนี้ก็อาจจะไม่ได้ถึงกับเป็นเครื่องขัดพื้นครับ ซึ่งพื้นที่บ้านชั้นล่าง 100 กว่าตารางเมตร เปิดโหมด Auto เป็นส่วนใหญ่ และมีโหมด Max ในห้องครัว ทีมงานเติมน้ำเปล่าไปทั้งหมด 2 ครั้ง ซักผ้า 2 ครั้ง ส่วนน้ำทิ้งก็เท 2 ครั้งด้วยกันครับ และน้ำที่ออกมาก็เข้มข้นใช้ได้เลย ซึ่งหลังจากลองใช้เองและให้คนที่บ้านลองใช้ก็ค่อนข้างแฮปปี้ครับ ด้วยความที่ใช้งานง่าย เบาแรงถูพื้นลง และได้บ้านที่สะอาดกว่าเดิม
หลังจากทำความสะอาดชั้นล่างเสร็จ พบว่าแบตเหลืออีกประมาณ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ครับ ใช้เวลาทำความสะอาดประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถือว่าไม่หนีจากที่เคลมไว้ เพราะมีเปิดโหมดแรงสุดระหว่างใช้ด้วย
ดังนั้นในเรื่องของเวลาการใช้งาน ทีมงานมองว่าทำความสะอาดบ้านทั้งชั้น แบตเหลือๆ สบายๆ ครับ ต่อให้บ้านใหญ่กว่านี้อีกเป็นไซส์ 400-500 ตารางเมตร แบตก็เยอะพอสำหรับทำความสะอาดทั้งชั้นในครั้งเดียวได้สบาย แต่ถ้าจะทำ 2 ชั้นต่อเนื่อง บ้านของทีมงานจะไม่พอครับ แต่ถ้าบ้านหลังเล็กหน่อย แล้วเป็นโหมด auto หมดก็อาจจะได้แบบเฉียดฉิว เอาเป็นว่าเน้นทำทีละชั้นกำลังดีครับ
ส่วนชั้น 2 ของบ้านทีมงานจะเป็นพื้นไม้ปาเก้ครับ อันนี้ทีมงานใช้เป็นโหมด Auto จากที่ใช้น้ำก็จะไม่ได้แฉะมากครับ ดังนั้นถ้าห่วงเรื่องไม้โดนน้ำจะบวม คิดว่าไม่น่ามีปัญหาครับ แต่ถ้ากังวลสำหรับพื้นบางประเภท อย่างเช่นลามิเนตเครื่องก็ยังมีโหมด Eco ที่จะใช้น้ำน้อยอยู่ครับ หรือโหมดดูดฝุ่นอย่างเดียวก็มีให้เลือกเช่นเดียวกัน
ใครในบ้านก็ใช้ได้
แต่ในการใช้งานเราไม่ต้องแบกน้ำหนักเครื่องเลยครับ เพราะแค่วางไว้กับพื้นเฉยๆ แล้วให้เครื่องทำงานไป ซึ่งลูกกลิ้งของเครื่องที่ทำการถูพื้นจะช่วยพาเครื่องวิ่งไปข้างหน้าด้วยอีกแรง เราแค่คุมทิศทางเท่านั้นเองครับ การเปลี่ยนทิศก็แค่บิดข้อมือไปมา ตัวหัวดูดก็จะไปตามแล้ว ดังนั้นการใช้งานค่อนข้างง่ายครับ ใครในบ้านก็ใช้งานได้
น้ำหนักตัวเครื่อง Roborock Dyad Pro จะอยู่ที่ประมาณ 5 กิโล (ไม่รวมน้ำที่เติมในเครื่องนะครับ ถ้ารวมน้ำด้วยก็จะอยู่ที่ 5 กิโลปลายๆ) ข้อดีคือน้ำหนักของเครื่องทั้งหมดจะลงที่พื้น ดังนั้นตรงนี้เราไม่ต้องยก และก็จะใช้เป็นแรงกดในการถูพื้นให้ด้วย
อย่างที่บ้านทีมงาน ลองเปลี่ยนมือให้คุณแม่ที่สูงประมาณ 150 กว่าใช้งานบ้าง ก็จับได้ถนัดมือเช่นกัน ไม่มีปัญหา ใช้เป็นตั้งแต่ 3 นาทีแรกครับ น้ำหนักเครื่องก็ไม่มีปัญหาเช่นเดียวกัน
แต่ก็จะมีโมเม้นที่ต้องยกเครื่องบ้าง อย่างเช่นถ้าหากใครที่เป็นบ้าน 2 ชั้น ก็อาจจะต้องยกเครื่องขึ้นลงนิดนึง แต่ก็ไม่หนักเกินไปครับ อยู่ในน้ำหนักที่ยกแปปๆ ได้
ใช้งาน Outdoor ได้ด้วยนะ
นอกจากการใช้งานในบ้าน ตัวนี้สามารถใช้งานกับพื้นนอกบ้านได้ด้วยเช่นเดียวกันครับ แต่เป็นพื้นที่ไม่แข็งเกินไปนะฮะ เพราะตัว Roller เป็นผ้าครับ ถ้าไปใช้กับพื้นคอนกรีต/ยางมะตอยอันนี้ตัว Roller ก็จะไม่ไหว แหกเอาได้ ส่วนพื้นพวกกระเบื้อง/หินอ่อน/หินแกรนิต พวกลานจอดรถ เฉลียง ระเบียงข้างบ้าน พวกนี้สบายมาก เป็นอีกไฮไลท์เลย
เพราะเฉลียงของบ้านเป็นอีกจุดนึงเลยที่ค่อนข้างจะสกปรกมาก ทั้งฝุ่นทั้งดิน บางทีเราต้องถูหลายรอบกว่าจะสะอาด สำหรับตัวนี้ เอาไปใช้นอกบ้านก็แค่ลากไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเหนื่อยใช้แรงถูพื้นแรงๆ เลยครับ ถ้าสกปรกมากหน่อยก็แค่เปลี่ยนเป็นโหมด Max แล้วลากซ้ำที่เดิมสามสี่รอบ แค่นี้พื้นก็กลับมาสะอาดแล้วครับ
ทีมงานลองใช้ทำความสะอาดระเบียง 2 แบบครับ ที่แรกเป็นระเบียงคอนโด ตรงนี้จะเป็นพื้นระแนงไม้เทียม ก็สามารถทำความสะอาดได้ ไม่มีปัญหา
ส่วนที่เฉลียงของที่บ้าน อันนี้ค่อนข้างจะสกปรกเลยครับ เนื่องจากอยู่ติดสวน ก็จะมีทั้งดินต่างๆ และโคลนจากที่น้องหมาย่ำขึ้นมา ตัวนี้ก็สามารถทำความสะอาดได้หมด อย่างในรูปตัวอย่างลองถูให้ดูไปกลับ 1 ที เทียบกับข้างๆ ที่ยังไม่ได้ถู ก็จะเห็นความต่างชัดเจนครับ
แล้วเจอข้อจำกัดบ้างไหม
เดี๋ยวจะหาว่าชมอย่างเดียว ในการใช้งาน ด้วยความเป็นเครื่องล้างพื้น เค้าก็จะมากับหัวลูกกลิ้งและมีแทงค์น้ำติดกับตัวเครื่องใช่ไหมครับ ดังนั้นในการใช้งานเค้าก็จะมีข้อจำกัดบ้าง เช่น ตัวเครื่องจะมุดไปถูใต้เตียง ใต้โซฟาอะไรแบบนี้ไม่ได้ครับ เพราะแทงค์จะติด
และหัวเค้าจะมีลูกกลิ้งติดกับเครื่องแบบตายตัว คือเค้าสามารถเข้าไปติดขอบผนังบ้านได้ก็จริง แต่ถ้าซอกเล็กๆ ที่วางของเยอะๆ ตัวนี้ก็อาจจะยังเข้าไม่ได้นั่นเองครับ และในการใช้งานอาจจะต้องระวังพวกสายไฟบนพื้นนิดนึง เพราะเครื่องดูดดีมากครับ เจอปุ๊บน้องจะจับกินเป็นเส้นหมี่เลย 55555
เชื่อมต่อกับ App ได้
ฟังก์ชั่นเสริมของการใช้งาน ตั้งค่ากับดูสถานะผ่านแอปได้
ต้องบอกว่าการใช้งาน “ฟังก์ชั่นหลัก” ต่างๆ เราสามารถกดปุ่มผ่านตัวเครื่องได้เลยครับ อย่างเช่น กดเริ่ม/หยุดการทำงาน, กดเปลี่ยนโหมดการทำความสะอาด และมีปุ่มสำหรับกดซักผ้าเวลาเอากลับมาวางที่แท่นชาร์จ
แต่ในแอป เราจะสามารถตั้งค่ารายละเอียดต่างๆ ได้มากขึ้นครับ อย่างเช่น
เลือกโหมดทำความสะอาด
อย่างการเลือกโหมดทำความสะอาดหลักๆ ของเครื่องจะมี 4 โหมดครับ คือ Eco, Auto, Max และโหมดดูดฝุ่น แต่ถ้าเราตั้งค่าผ่านในแอป เราจะเลือกได้ว่าโหมด Auto จะให้ Roller หมุนแรงหรือเบา, แรงดูดดูดแรงแค่ไหน และใช้น้ำมากน้อยแค่ไหนครับ
เลือกโหมดทำความสะอาดผ้าถู
สำหรับการทำความผ้าถูพื้นหลังจากใช้งานเสร็จ ถ้าหากว่ากดผ่านในแอปจะสามารถเลือกได้ 2 โหมดครับ คือการทำความสะอาดแบบธรรมดา และการทำความสะอาดผ้าถูแบบ Deep Cleaning ที่เน้นความสะอาดมากขึ้น
เลือกโหมดเป่าผ้าแห้ง
หลังจากใช้งานและทำความสะอาดผ้าถูพื้นเสร็จ อย่างที่บอกไปว่าตัว Dock มีระบบเป่าให้แห้ง ซึ่งจะทำงานแบบอัตโนมัติหลังจากซักเสร็จ แต่ถ้าหากใช้งานผ่านแอป เราจะสามารถเลือกได้ครับว่าการเป่าผ้าแห้งจะใช้เวลานานกี่ชั่วโมง ซึ่งเครื่องก็จะทำงานแบบเงียบๆ แต่ถ้าเรารีบ ก็จะมีโหมด Fast Drying ให้เลือกด้วยครับ เสียงก็จะดังกว่าปกติเล็กน้อย แต่ใช้เวลาน้อยกว่า
นอกจากนี้ในแอปก็จะมีการแจ้งเตือนต่างๆ ครับ ทั้ง % แบต, เตือนเมื่อต้องเติมน้ำหรือเวลาน้ำเสียเต็มถัง นอกจากนี้ก็จะมีรายละเอียดต่างๆ ที่สามารถตั้งได้ เช่น
- ตั้งให้ทำความสะอาดอัตโนมัติ หลังจากใช้งานเสร็จ
- ตั้งให้เป่าแห้งอัตโนมัติหลังจากซักผ้า
- ตั้งเวลาทำความสะอาดผ้าอัตโนมัติ
- ตั้งโหมด Do Not Disturb ตามช่วงเวลา ปิดหน้าจอเวลาชาร์จ
- เลือกภาษาที่ใช้แจ้งเตือน มีภาษาไทยด้วยนะ
- ดู Cleaning History ย้อนหลัง
- ดูอายุ Filter ต่างๆ
- อัปเดท Firmware เครื่อง
การดูแลหลังจากใช้งาน
ชิ้นส่วนที่ใช้งาน ถอดทำความสะอาดได้เกือบทุกชิ้น
ในส่วนของการดูแลหลังจากใช้งาน หลักๆ ก็จะมีแค่เรื่องของการทำความสะอาดครับ อย่างแรกเลยคือ “ถังน้ำเสีย” ตัวนี้ถังจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ อาจจะไม่ได้เต็มในการใช้งานรอบเดียว แต่ด้วยความที่เป็นน้ำถูพื้น ค่อนข้างสกปรก แนะนำว่าให้ถอดออกมาเททิ้งหลังจากใช้งานเสร็จครับ ถ้าทิ้งไว้หลายวันอาจจะทำให้น้ำในถังมีกลิ่นได้
ส่วนชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดแทบทั้งหมด จะถอดออกมาล้างน้ำได้หมดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นตัว Filter ต่างๆ รวมไปถึงตัว Roller ทำความสะอาดพื้น และตัวฐาน Dock ที่ใช้ในการซัก Roller ซึ่งหลังจากใช้งานไปซักพัก ตัว Dock ก็อาจจะมีคราบต่างๆ หลงเหลือได้ เค้าเลยออกแบบมาให้มีส่วนที่สามารถถอดออกมาล้างน้ำได้ครับ
ส่วนตัว Roller หลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ ตัวเครื่องก็มีระบบซักผ้าถูให้ จำเป็นจะต้องถอดออกมาซักอีกหรอ ในส่วนนี้การซักผ้า Roller ด้วยตัวเครื่องก็จะทำความสะอาดไปได้ค่อนข้างเยอะแล้วครับ แต่เมื่อเราใช้ไปนาน ก็อาจจะมีคราบมีเศษตามซอกของ Roller ก็ถอดออกมาล้างซักที ก็จะสะอาดขึ้น
ซึ่งการถอด Roller ก็สามารถทำได้ไม่ยากครับ นอกจากนี้ในแอป Roborock บนมือถือก็จะมีบอกอายุการใช้งาน Filter/Roller ของเครื่อง ว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนหรือยัง (ซึ่ง Filter เค้าจะแถมมาให้ด้วยในกล่องอีก 1 ชิ้นครับ)
ความรู้สึกหลังจากใช้งานมา 3 เดือน
ตัวช่วยทำความสะอาดบ้าน ที่ทำให้งานถูบ้านเป็นเรื่องไม่เหนื่อย แถมสะอาดแบบไม่ต้องออกแรง
สำหรับความรู้สึกหลังจากได้ใช้งานจริงจังมา 3 เดือนกับ Roborock Dyad Pro ต้องบอกว่าการใช้งานจุดประสงค์ของเครื่องเค้าก็ค่อนข้างชัดเจนครับ เน้นใช้ทำความสะอาดพื้นบ้านโดยเฉพาะ โดยมีพลังในการดูด/พลังถูพื้นที่ค่อนข้างสูง ทำความสะอาดคราบหนักๆ ได้สบายๆ
ก็จะเหมาะกับใครที่กำลังมองหาตัวช่วยในการทำความสะอาดบ้าน โดยเปลี่ยนจากการกวาดบ้านที ถูบ้านอีกที มาใช้ตัวนี้ทุ่นแรง ทำทีเดียวจบๆ ซึ่งเราแค่ลากเครื่องไปกับพื้นที่เหลือเดี๋ยวเครื่องก็ออกแรงทำความสะอาดแทนเราให้หมด ไม่ต้องเหนื่อยลงแรงถูเอง
ซึ่งมันก็ทำให้งานถูพื้นเป็นเรื่องง่ายจริงๆ ครับ แค่หยิบมาใช้งาน ใช้เสร็จเครื่องซักผ้าให้ เราแค่เติมน้ำกับเอาน้ำไปทิ้ง แล้วความสะอาดที่ได้ก็โอเคเลย จุดเด่นทีมงานมองว่าคือเรื่องของการ Deep Cleaning ที่ทำได้ดีในเรื่องของการดูดฝุ่นและถูพื้นมากๆ ครับ คือสำหรับบ้านไหนที่มองหาการทำความสะอาดที่จริงจังขึ้น มองหางานถูพื้นแบบที่ทำได้เหมือนกับคนถูหรืออาจจะดีกว่า ตัวนี้ก็จะตอบโจทย์ครับ
เพราะอย่างที่รีวิวไป ก็จะเห็นว่าตัว Roborock Dyad Pro ก็สามารถใช้งานกับส่วนต่างๆ ของบ้านได้ไม่ว่าจะเป็นทั้งภายนอกภายใน โดยเฉพาะถ้าใครที่อยู่อาศัยเป็นบ้าน เริ่มมีพื้นที่ในบ้านที่ค่อนข้างหลากหลายขึ้นมา อาจจะมีครัวที่ทำอาหารแล้วสกปรกบ่อย มีระเบียงที่ฝุ่น/โคลนมาบ่อย ก็สามารถใช้ตัวนี้ทำความสะอาดได้หมด
สำหรับใครที่กำลังลังเล ระหว่างหุ่นยนต์ดูดฝุ่นกับตัวเครื่องล้างพื้น ต้องบอกว่าจุดประสงค์เค้าก็ต่างกันพอสมควร แม้จะมีความสามารถบางอย่างที่คาบเกี่ยวกัน อย่างหุ่นยนต์เค้าก็จะออกแบบมาทำความสะอาดแบบไม่หนักมาก เน้นทำบ่อยๆ เป็น Routine แต่ได้ความสบายตรงที่เราไม่ต้องทำเองครับ ส่วนตัวนี้ก็จะเหมาะกับสายทำเองที่อยากได้ความสะอาดแบบเต็มที่ งานหนักๆ ตัวนี้ก็สู้ได้
ก็จะอยู่ที่ว่ากำลังมองหาตัวช่วยในการทำความสะอาดแบบไหนครับ แต่ถ้ากำลังมองหาเครื่องล้างพื้นอยู่ ตัว Roborock Dyad Pro ก็เป็นอีกตัวนึงที่ทีมงานคิดว่ามีฟังก์ชั่นที่ให้มาค่อนข้างครบ และทำมาจบตัวนึงเลยครับ
สำหรับใครที่สนใจ ตอนนี้ Roborock Dyad Pro มีราคาพิเศษอยู่ที่ 15,999 บาท มาพร้อมการรับประกัน 3 ปีเต็ม
ดูรายละเอียดเพิ่มเติ่มได้ที่ :
https://www.roborockthailand.com/Roborock_Dyad_Pro
รีวิวนี้ ได้รับการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ในการรีวิวจาก Roborock Thailand