นอกจากการตกแต่งห้องต่างๆ ของบ้านหรือคอนโดมิเนียม ด้วยเฟอร์นิเจอร์ พื้น ผนัง ฝ้าเพดาน อีกองค์ประกอบที่สำคัญ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าองค์ประกอบอื่น นั่นก็คือ ‘ผ้าม่าน’ เพราะนอกจาก ‘ผ้าม่าน’ จะทำหน้าที่บังแสง บังสายตา ควบคุมปริมาณของแสง และการมองเห็นแล้วนั้น ยังนับว่า ‘ผ้าม่าน’ เป็นอีกหนึ่งผนังสำคัญของห้องนั้นๆ เลยก็ว่าได้ ดังนั้นจะเลือกม่านอย่างไร ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ และเหมาะกับฟังก์ชันการใช้งาน จึงต้องมาเริ่มทำความรู้จักกับม่านในแต่ละชนิดกันก่อน พร้อมทั้งเทคนิคเล็กๆ น้อย ที่จะทำให้การเลือก ‘ผ้าม่าน’ ตอบโจทย์การอยู่อาศัยมากที่สุด
หากพูดถึงผ้าม่าน (Curtain) แน่นอนว่าเรากำลังพูดถึงม่านที่ใช้ ‘ผ้า’ เป็นวัสดุหลัก แต่ผ้าที่เรากำลังจะพูดถึงนั้น ก็มีหลากหลายประเภท ซึ่งเหมาะกับการใช้งานที่ต่างกัน อีกทั้งยังมีรูปแบบวิธีการติดตั้งที่หลากหลายเช่นกันครับ
ชนิดของผ้าม่าน
ผ้าม่านธรรมดา (Fabric Curtain)
ผ้าม่านชนิดนี้ไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงไปถึงชนิดของผ้าที่ใช้ แต่จะเน้นไปที่ความชอบของสี ของลวดลายของผ้าม่านมากกว่า ผ้าม่านชนิดนี้จึงเหมาะในแง่การต้องการตกแต่งห้อง ให้ถูกใจเลือกชนิดและลวดลายได้อิสระ สามารถเลือกผ้าต่างๆ มาประยุกต์ได้หลากหลาย เช่น เลือกผ้าฝ้ายโปร่งๆ สำหรับห้องทำงาน ให้รู้สึกอบอุ่น สบายๆ
ผ้าม่านกันแสงแบบ Dimout (Dimout Curtain) หรือผ้าม่าน UV
หรือที่มักจะเรียกกันว่า ผ้าม่าน UV ส่วนมากผลิตจากผ้าใยสังเคราะห์จำพวกโพลีเอสเตอร์ (Polyester) มีเส้นใยสีดำที่แทรกไปกับเนื้อผ่าม่าน ซึ่งนั่นทำให้ผ้าม่านชนิดนี้ มีความสามารถกันแสงได้ถึง 80-95% ทั้งยังสามารถกันความร้อนทำให้ช่วยลดอุณหภูมิภายในห้องได้อีกด้วย สามารถใช้ได้กับทั้งห้องนอนและห้องนั่งเล่น อาจเลือกผ้าสีพื้นที่เข้ากับการตกแต่งภายใน และนิยมใช้คู่กับกับผ้าม่านโปร่ง (Sheer Fabric)
มีเทคนิคเล็กน้อย สำหรับคนที่กังวลผ้าม่านจะจับฝุ่น แนะนำว่าอาจจะเลือกผ้าที่มีความมันสักเล็กน้อย เส้นใยละเอียดๆหน่อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรหมั่นทำความสะอาด โดยดูดฝุ่นผ้าม่านสักเดือนละหนึ่งครั้ง และส่งร้านผ้าม่านซัก อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
ผ้าม่านกันแสงแบบ Blackout (Blackout Curtain)
มีลักษณะค่อนข้างคล้ายกับผ้าม่านกันแสงแบบ Dimout แตกต่างกันชัดๆ ในแง่ของความสามารถในการกันแสง ซึ่งผ้าม่านกันแสงแบบ Blackout สามารถกันแสงได้ถึง 100% จึงเป็นที่นิยมในการใช้ในห้องนอน เหมาะสำหรับคนที่ชอบห้องนอนที่มืดสนิท ไม่มีแสงเข้ามารบกวน
มีเทคนิคเล็กน้อยตอนติดตั้ง หากต้องการให้ห้องมืดสนิทจริงๆ นอกจากเลือกผ้าม่านชนิดนี้แล้ว ตอนติดตั้งอาจจะต้องดีไซน์หลืบม่านหรือบังราง ให้มีความลึกที่เหมาะสม และอาจจะให้ม่านกองพื้นสัก 1-2 เซนติเมตร รับรองได้ว่าห้องนอนจะมืดสนิท ทั้งกลางวันและกลางคืน
ผ้าม่านโปร่ง (Sheer Fabric)
ผ้าม่านอีกหนึ่งชนิดที่มีความสำคัญในการช่วยเรื่องโทนการตกแต่งของห้อง และฟังก์ชั่นการใช้งาน โดยผ้าม่านโปร่งมีคุณลักษณะที่สามารถบังสายตาได้ส่วนหนึ่ง และแสงสามารถผ่านเข้ามาได้ จึงเป็นที่นิยมใช้คู่กับผ้าม่านกันแสง โดยติดตั้งคู่กันอีกหนึ่งราง
เหมาะกับทั้งห้องนอนและห้องนั่งเล่น เมื่อเราเปิดผ้าม่านกันแสง แต่ยังคงปิดผ้าม่านโปร่ง แสงจะผ่านเข้ามาในห้องในแบบละมุนๆ อีกทั้งยังช่วยบังสายตา ยังมีความเป็นส่วนตัวและได้แสงธรรมชาติไปพร้อมๆกัน
วิธีการติดตั้งผ้าม่านแบบต่างๆ
1. ผ้าม่านจีบ
เป็นรูปแบบการติดตั้งที่เป็นที่นิยม เนื่องจากรูปแบบมีความเรียบร้อย เรียบง่าย ลอนของผ้าม่านเรียงตัวสวยงาม เหมาะกับทุกพื้นที่ใช้สอย สำหรับห้องนอนนั้น ตัวจีบม่านด้านบน ยังช่วยบังแสงที่จะลอดผ่านระหว่างช่องบริเวณรางได้อีกด้วย
2. ผ้าม่านลอน
เป็นอีกรูปแบบที่ค่อนข้างเป็นที่นิยม โดยลอนของม่านจะมีการทิ้งตัวสบายๆ ในพักหลังจึงเป็นที่นิยมใช้ในการตกแต่งแบบโมเดิร์น จะให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างทันสมัย อิสระ สบายๆ
3. ผ้าม่านตาไก่
ตัวม่านจะมีรูบริเวณปลายด้านบนของผ้า และร้อยเข้ากับรางม่านให้เห็นชัดเจน เป็นอีกรูปแบบการติดตั้ง ในกรณีที่ไม่เน้นเรื่องการกันแสงมากนัก
4. ผ้าม่านพับ
ผ้าม่านพับมีจุดเด่นในเรื่องการพับเก็บของม่าน ที่ค่อนข้างประหยัดพื้นที่และใช้ผ้าน้อยกว่าการติดตั้งประเภทอื่นๆ เหมาะกับหน้าต่างบานเล็ก ที่ไม่กว้างมาก เพราะม่านพับจะสวยในสัดส่วนที่ความกว้างที่ไม่มากจนเกินไป
นอกเหนือจาก ‘ผ้าม่าน’ ที่ถูกกล่าวถึงมาทั้งหมดข้างต้น ทั้งชนิดของผ้า และรูปแบบการติดตั้ง ยังมี ‘ม่าน’ ในรูปแบบอื่นอีกที่ได้รับความนิยม และเหมาะกับการใช้งานในรูปแบบที่หลากหลาย ซึ่งในบทความต่อไปถึงคิวที่เราจะมาเล่าถึง ‘ม่าน’ ในแบบอื่นๆ ที่น่าสนใจ และเหมาะจะเป็นหนึ่งในหลายๆ ตัวเลือกในการตกแต่งบ้านไม่แพ้ ‘ผ้าม่าน’ แน่นอนครับ ถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง ไปอ่าน Part 2 กันต่อเลยยย ^^