ใครที่เพิ่งซื้อคอนโดหรือโอนห้องไปแล้วมีแพลนจะจ้างบริษัท Interior มาตกแต่งห้องให้ วันนี้เราชวนมาลองอ่าน “12 ข้อที่ต้องรู้ก่อนจ้างบริษัท Built-in” กันฮะ บอกเลยว่ามาจากประสบการณ์ของทีมงานโดยตรงเลย 🛠🛏🛋
ต้องบอกเลยว่าการที่เราจะแต่งคอนโดสักห้องให้ถูกใจทั้งความสวยงามและประโยชน์ใช้สอยเนี่ย ไม่ใช่แค่จ้างบริษัทมาออกแบบให้แล้วจะจบ ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ขั้นตอนต่างๆ กฎระเบียบของคอนโด และระยะเวลาดำเนินงานที่เราต้องใส่ใจอีกเพียบเลยครับ
ทั้ง 12 ข้อนี้จะเป็นแนวทางในการเตรียมตัวและวางแผน ตั้งแต่หา Reference ห้อง จ้างบริษัท Interior เอกสารต่างๆ ที่ต้องใช้ ไปจนถึงการขออนุญาตตกแต่ง ยันขั้นตอนสุดท้ายการย้ายเข้าเลยนะ โดยเนื้อหาในนี้จะเป็นการผสมๆ กันจากประสบการณ์ของทีมงาน LivingPop ที่แต่ละคนก็ผ่านการจ้างอินทีเรียแต่งห้องกันมานะครับ บางอย่างอาจไม่ตรงกับเพื่อนๆ แต่ก็เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่อาจจะต่างกันไปตามแต่ละบริษัทครับ
12 ข้อที่ต้องรู้จะมีอะไรบ้าง ตามไปอ่านกันเลยยยยย 😉
ระบบไฟที่เป็นแบบที่เราชอบโดยเฉพาะ เรื่องแบบนี้เราสามารถคุยให้ทาง Interior ช่วยออกแบบและติดตั้งให้ได้หมด และควรจะบอกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของเราตั้งแต่ตอนเริ่มออกแบบ เพื่อให้ห้องของเราออกมาตรงตามแบบในฝัน
1. หา Reference ห้องในฝันที่หนูอยากได้
ข้อนี้อาจจะต้องใช้เวลาเลือกสรรเฟ้นหาค้นคว้าสไตล์ที่ชอบนิดนึงนะครับ ยิ่งถ้าไม่ได้อยู่คนเดียว แต่อยู่เป็นคู่หรือครอบครัว อาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันได้ ที่สำคัญคือเพื่อนๆ ต้องมีเป้าหมายก่อนว่าเราจะตกแต่งห้องไหนบ้าง อย่างคอนโดก็ต้องดูก่อนว่าห้องของเราเป็นแบบไหน Fully Fitted, Fully Furnished หรือห้องเปล่า แต่คอนโดสมัยนี้ส่วนใหญ่ถ้าไม่ Fully Fitted ก็ Fully Furnished ครับ
ถ้าเป็นห้องแบบ Fully Fitted ก็จะมีพื้นที่ให้เราได้ตกแต่งเองเยอะ เพราะทางโครงการเขาจะให้ในส่วนของครัวกับห้องน้ำมาเท่านั้น นอกนั้นก็จะโล่งๆ ฮะ ส่วน Fully Furnished จะมีพื้นที่ตกแต่งน้อยกว่า เพราะว่าทางโครงการเขาให้เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวมาด้วย เช่น โซฟา โต๊ะกาแฟ ชั้นวางทีวี ตู้เก็บรองเท้า ฐานเตียง ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้ง แค่นี้ก็แทบเต็มห้องแล้วนะ ขาดแค่เครื่องใช้ไฟฟ้ากับที่นอนเท่านั้นเอง
ซึ่งถ้าเราไม่ชอบเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่ทางโครงการให้มา ก็ต้องไปหาที่ขาย อาจจะในไลน์กลุ่มของเพื่อนบ้านก่อน (จะได้ประหยัดค่าขนส่ง) หรือถ้าขายไม่ออกจริงๆ ก็ต้องหาที่ทิ้งครับ เราจะได้เริ่มแต่งห้องเราจากจุดเริ่มต้นได้ แต่ทั้งนี้ก็แนะนำว่าถ้าเราไม่ชอบเฟอร์นิเจอร์ที่แถมมา ก็ควรมองหาห้องแบบ Fully Fitted ตั้งแต่แรก หรือลองต่อรองกับทางโครงการว่า ถ้าเราไม่เอาเฟอร์นิเจอร์จะได้ส่วนลดมั๊ย จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาขายหรือหาที่ทิ้งฮะ
พอรู้แล้วว่าห้องเราเป็นแบบไหน ก็เลือกพื้นที่ที่จะตกแต่ง จะแต่งทั้งห้องก็ได้ หรือเลือกห้องใดห้องหนึ่งก็ได้เช่นกัน อย่างคอนโดของทีมงานเองก็มีทั้งแบบที่แต่งทั้งห้องเลย หรือทีมงานอีกคนก็ด้วยงบที่จำกัดเลยเลือกแต่งแค่ห้องนอนครับ
ถ้าเพื่อนๆ มีเป้าหมายแล้วว่าจะตกแต่งส่วนไหนเพิ่มเติม บวกกับมี Reference ในใจเรียบร้อย ก็ไปที่ขั้นตอนต่อไปเล้ยยย
2. ตัดสินใจให้ดี ว่าเราชอบพื้นห้องที่ให้มาแล้วใช่มั๊ย
การเปลี่ยนพื้นหลังจากที่เรา Built-in ทุกอย่างไปแล้ว เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและวุ่นวายครับ ดังนั้นถ้าเราไม่พอใจ ไม่ชอบพื้นที่ทางโครงการให้มา ก็วางแผนไว้เลยว่าจะเปลี่ยนพื้น ซึ่งตัวพื้นเองก็มีให้เลือกมายมายหลากหลายประเภทและลวดลาย แต่ละแบบคุณสมบัติก็จะแตกต่างกันไป
อย่างพื้นลามิเนต เดี๋ยวนี้คุณสมบัติอาจจะสู้พวกพื้น SPC พื้นกระเบื้องยางไวนิล หรือพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ที่มีคุณสมบัติครอบคลุมกว่าไม่ได้ ดังนั้นอย่าลืมคิดให้ดีก่อนทำนะครับ ถ้าเพื่อนๆ อยากอ่านเรื่องวัสดุปูพื้นเพิ่มเติมก็เข้าไปดูได้ที่ link นี้เลย >> https://www.livingpop.com/floor-condo
3. หา Interior ที่ใช่
ขั้นตอนนี้ใช้เวลาพอๆ กับขั้นตอนแรกเลยฮะ เพราะกว่าจะเจอบริษัทที่ชอบก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยส่วนตัวแล้วผมหาจากใน Facebook ทั้งในกลุ่มและเพจต่างๆ เวลาเราหาสักที่สองที่ เจ้า Facebook มันก็จะแนะนำมาให้เราเรื่อยๆ ใช่มั๊ยครับ ผมก็เข้าไปดูเรื่อยๆ ดูผลงานของเพจต่างๆ ถ้าชอบที่ไหนก็ทักไปถามเลย
บางบริษัทเขาจะมีงบขั้นต่ำนะครับ สมมติว่าเจ้านึงที่ผมทักไปถาม ขั้นต่ำอยู่ที่ 200,000 บาท ด้วยความที่ผมมี Budget ในใจ ผมก็จะตัดที่นี่ทิ้งทันที และหาใหม่ ก็หาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอบริษัทที่ผลงานเข้าตากับงบประมาณตรงกับที่ตั้งไว้
ในขั้นตอนนี้เราอาจจะลองหาจากเพื่อนใกล้ๆ ตัวก็ได้นะ หาคนที่เขาแต่งห้องสวยๆ แล้วก็ลองถามดูเลยว่าจ้างที่ไหน มีปัญหาอะไรบ้าง แพงมั้ย วัสดุเป็นยังไง คุณภาพโอเคหรือเปล่า เรียกว่าใช้ประสบการณ์ของเพื่อนมาช่วยเราตัดสินใจได้ครับ
อย่างที่เราบอก ว่าห้องของทีมงานเราคนนึงก็ไม่ได้จะตกแต่งทั้งห้อง เลือกแต่งห้องนอนห้องเดียว เพื่อนๆ ต้องดูด้วยนะครับ ว่าบริษัทที่เลือก เขามีแบบรับตกแต่งเฉพาะจุดหรือรับทำตามงบประมาณมั๊ย ในโพสต์ของเพจส่วนใหญ่เขาก็จะบอกไว้ครับ หรือทักไปสอบถามก่อนก็ได้นะ
เราสามารถทักไปสอบถามหลายๆ เจ้า เพื่อเอาราคาและวัสดุต่างๆ ที่ใช้มาเปรียบเทียบหาข้อดีข้อเสียของแต่ละที่ก่อนได้ จะได้เจอบริษัทที่เราชอบและถูกใจที่สุดครับ
4. วัสดุที่เอามาใช้ Built-in เป็นไม้แบบไหน?
ก่อนที่เพื่อนๆ จะเลือกจ้าง Interior อย่าลืมถามเขาด้วยนะครับว่าใช้ไม้อะไรในการ Built-in ห้องของเรา เพราะไม้เองก็มีให้เลือกหลายอย่าง คุณภาพ คุณสมบัติและข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่แล้วก็จะมีไม้ Particle Board ทำมาจากยางพาราบด อัดกาว นำไปขึ้นรูปเป็นแผ่น ปิดผิวด้านนนอกด้วยกระดาษพิมพ์ลายหรือแผ่นเมลามีน ข้อดีคือราคาถูก น้ำหนักเบา ขนย้ายสะดวก ข้อเสีย ไม่แข็งแรงทนทาน โดนน้ำไม่ได้ อาจจะเปื่อยยุ่ยได้ และมีเชื้อราง่าย เพราะไม่ทนต่อความชื้น
หรือไม้ MDF ทำมาจากแผ่นใยไม้อัดความหนาแน่นปานกลาง ข้อดีคือมีความแข็งแรงกว่าไม้ Particle Board รับน้ำหนักได้ดี ทนน้ำ ทนชื้น ข้อเสียคือราคาสูงกว่าไม้ Particle Board และถึงแม้จะทนชื้นได้ดี แต่ก็ควรระวังไว้เช่นกัน ซึ่งบริษัท Interior ที่ผมถามส่วนใหญ่จะใช้ไม้ MDF ครับ แต่ถ้าเจ้าไหนให้ราคาผมถูกกว่าเจ้าอื่นมาก ก็มักจะใช้ไม้ Particle Board ไม่ใช่ไม้ MDF
ตรงนี้บางเจ้าอาจจะบอกว่าใช้ไม้ HMR ซึ่งจริงๆ แล้วนางก็คือ MDF นี่แหละครับ แต่เป็นแบบที่มีการผสมสารกันชื้นเข้าไป ทำให้มีความทนชื้นทนน้ำได้มากกว่า MDF แบบปกติ แต่ราคาก็จะสูงกว่านิดหน่อย เหมาะเอาไว้ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ที่อาจโดนน้ำกระเด็นบ้าง หรืออยู่ในพื้นที่ชื้นๆ เช่นห้องน้ำ ครัว
และเอาเข้าจริง ถ้าเอาไปแช่น้ำก็บวมตุ่ยไม่ต่างจาก MDF อยู่ดีฮะ
5. ขั้นตอนการทำงานของอินทีเรียมีอะไรบ้าง?
พอได้บริษัทที่ชอบแล้ว ก็นัดไปดูหน้างานที่ห้องเราได้ฮะ บอกเขาเบื้องต้นว่าเราต้องการอะไรบ้าง แล้วช่างก็จะตีราคามาให้คร่าวๆ ก่อน จุดนี้เพื่อนๆ อย่าลืมถามนะครับ ว่าการนัดมาดูหน้างานนี้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายมั๊ย ส่วนใหญ่ก็จะมาดูให้ฟรี และถ้าเราเลือกบริษัทนี้แล้ว ก็จะมีขั้นตอนการทำงานดังนี้ครับ (ผมอ้างอิงจากบริษัทที่ผมเลือกนะครับ)
- มัดจำค่าทำแบบ เพื่อให้เราเห็นภาพ 3D (ประมาณ 10% ของมูลค่างาน โดยมากจะนำใช้เป็นส่วนลดได้ตอนสั่งผลิตงานจริง)
- อินทีเรียจะทยอยส่งแบบ 3D จนครบทั้งหมด สามารถปรับแก้ได้ 3 ครั้ง แต่ละครั้งกี่จุดก็ได้ และสรุปจบแบบให้เรียบร้อย
- นัดเซ็นสัญญาและเข้าไปวัดหน้างานจริงแบบละเอียดอีกครั้งนึงพร้อมแบบจริง (เริ่มจ่าย 40% แรกของยอดเต็ม)
- ช่างจะเริ่มผลิตและติดตั้งโครงรอบแรกหลังเซ็นสัญญา ประมาณ 15 – 20 วัน
- เริ่มเข้าติดตั้ง (ชำระอีก 40%)
- นัดตรวจ Defect พร้อมส่งมอบงาน (ชำระ 20% สุดท้าย)
สรุปการจะจ้าง Interior ก็จะมีค่าออกแบบ (ซึ่งถ้าเราจ้างบริษัทนี้ เขาก็จะเอาไปหักเป็นส่วนลดกับยอดเต็มของเราเองฮะ) ส่วนยอดเต็มในการจ้างจะแบ่งออกเป็น 3 รอบ รอบแรกนัดเซ็นต์จ่าย 40% พอเข้าติดตั้งก็จ่ายอีก 40% และเมื่อเสร็จงานก็จะจ่ายอีก 20%
6. ค่าประกันความเสียหาย
บอกเลยว่าไม่ได้มีแค่ค่าจ้าง Interior ที่ต้องจ่ายนะครับ แต่เวลาเราจะตกแต่งห้องจะต้องมีค่าประกันความเสียหายด้วย ข้อนี้จะขึ้นอยู่กับคอนโดเลยนะครับว่าเขาเก็บเท่าไหร่ แต่ละที่ก็อาจจะเหมือนหรือแตกต่างกันก็ได้
อย่างคอนโดผมจะเก็บ 2 รายการ คือ เงินประกันความเสียหาย จะแบ่งเลยว่าถ้าเป็นห้องขนาดเท่านี้จะเสียเท่าไหร่ ซึ่งที่นี่ถ้าเป็น 1 ห้องนอน จะต้องเสีย 50,000 บาท ส่วน 2 ห้องนอน, Duplex 1 ห้องนอน และ Duplex 2 ห้องนอนจะเสีย 100,000 บาทครับ
อีกรายการนึงเป็นการชำระค่าบำรุงรักษาส่วนกลาง ห้องชุดละ 3,000 บาท/ห้อง/เดือน (เศษของเดือนไม่เกิน 15 วัน คิดอัตราครึ่งเดือน และเศษของเดือนเกินกว่า 15 วัน คิดอัตรา 1 เดือนเต็ม)
ในส่วนของค่าไฟและค่าน้ำในช่วงระยะเวลาที่ตกแต่งก็จะเก็บตามมิเตอร์ไฟและน้ำของห้องเราเลย ก็อยู่ที่ตกลงกันฮะว่าใครจะเป็นคนจ่าย
อ้อ ในช่วงที่เขามาประกอบติดตั้งงานในห้องของเรา โดยมากก็จะไม่ได้เปิดแอร์กันนะครับ เพราะเดี๋ยวฝุ่น ไอระเหย และขี้เลื่อย จะเข้าไปอุดตันฟิลเตอร์แอร์เราหมด โดยปกติเขาก็จะมีพวก wrap พลาสติกมาห่อเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าของเราเอาไว้หมดเลยครับ
7. ต้องให้นิติบุคคลอนุมัติแบบก่อนเข้าตกแต่งห้อง
ไม่ใช่ว่าเราซื้อห้องที่คอนโดแล้ว คิดอยากจะแต่งห้องก็นัดช่างเข้ามาทำได้เลยนะครับ แต่เราจะต้องบอกนิติบุคคลและส่งแบบที่จะตกแต่งให้วิศวกรอาคารอนุมัติก่อน ล่วงหน้า และทางนิติบุคคลจะตอบกลับภายใน 7 – 14 วันครับ ถ้าได้รับการอนุมัติแล้ว ก็จะต้องวางเงินประกันและชำระค่าบำรุงรักษาส่วนกลางก่อน ถึงจะเข้าไปตกแต่งได้นะ
8. เอกสารที่จะต้องใช้เพื่อขอเข้าตกแต่งห้องมีอะไรบ้าง?
อย่างที่ผมบอกไปว่าเราต้องได้รับการอนุมัติก่อนถึงจะเข้าตกแต่งได้ ซึ่งเอกสารที่ต้องเตรียม มีดังนี้
- แบบแปลนตกแต่ง และพิมพ์เขียวในการตกแต่งภายในห้องชุด
- แบบแปลนงานไฟฟ้าซึ่งแสดงปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้, แผนผังไฟฟ้าแสงสว่างตลอดจนรายละเอียด และคุณลักษณะของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ตกแต่งหรือติดตั้งในห้องชุด
- แบบแปลนระบบต่างๆ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงของเดิม เช่น ช่องระบายอากาศ, ท่อทางระบายน้ำ และอื่นๆ
- หนังสือขออนุญาตตกแต่ง (ขอจากนิติบุคคลได้เลย)
- หนังสือประกันความเสียหาย (ขอจากนิติบุคคลได้เลย)
หลักๆ ก็จะมีประมาณนี้ครับ แต่ของผมให้ทางบริษัท Interior เป็นคนส่งเอกสารทั้งหมดนี้ให้กับทางนิติบุคคล ยกเว้น หนังสือขออนุญาตตกแต่งกับหนังสือประกันความเสียหาย ที่ผมไปยื่นด้วยตัวเอง
9. ระยะเวลาในการติดตั้ง
ปกติแล้วการติดตั้งจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงครับ คือช่วงที่เตรียมเฟอร์นิเจอร์จากข้างนอกเพื่อเอามาประกอบที่ห้อง ส่วนใหญ่ก็จะทำที่โรงงาน ส่วนอีกช่วงเป็นช่วงที่ต้องเข้าพื้นที่มาที่ห้องเราเพื่อนำชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่เตรียมไว้มาประกอบ
10. เวลาทำงานของช่างมีจำกัด
คอนโดส่วนใหญ่จะกำหนดวันเวลาในการเข้าทำงานเอาไว้จะได้ไม่ไปรบกวนห้องอื่นๆ มากครับ อย่างคอนโดผมเริ่มให้ช่างเข้าทำงานได้ 8.30 – 17.00 น. ตั้งแต่วันจันทร์ – วันศุกร์ ห้ามเข้ามาในวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดราชการ ซึ่งจริงๆ แล้วช่างก็ไม่ได้เข้ามาตรงเวลานักหรอกครับ บางทีก็เริ่มงานสิบโมงเช้าแล้วออกสี่โมงเย็นก็มี ขึ้นอยู่กับการทำงานของช่าง
11. ลิฟต์ขนของและขนคนงาน
โดยปกติทางคอนโดเขาจะไม่ให้ช่างขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกันกับลูกบ้านครับ จะใช้เป็นลิฟต์ขนของแทน ซึ่งมีตัวเดียว ถ้าจะใช้ก็อาจจะรอนานหน่อย ยิ่งถ้าเป็นคอนโดใหม่ๆ ที่มีลูกบ้านตกแต่งคอนโดพร้อมกัน การจราจรหน้าลิฟต์จะติดขัดมาก เคยมีช่างโอดครวญกับผมว่ากว่าจะขึ้นลิฟต์ได้ต้องรอ 2 ชั่วโมงก็มี ดังนั้นระยะเวลาที่ทำงานในห้องเราได้ ก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก
และขนาดของลิฟต์เองก็มีผลกับระยะเวลาและรูปแบบการทำงานด้วยนะครับ ถ้าลิฟต์มีขนาดใหญ่ ทางทีมช่างก็สามารถประกอบเฟอร์นิเจอร์ให้เป็นชิ้นใหญ่ๆ แล้วขนมาติดตั้งแปปๆ เสร็จได้ แต่ถ้าคอนโดไหนลิฟต์ไซส์เล็ก ก็ต้องทำเฟอร์เป็นชิ้นเล็กแล้วมาเชื่อมมาประกอบที่หน้างาน ก็อาจใช้เวลาทำงานมากกว่าครับ
ปกติในช่วงสำรวจหน้างาน ทางทีม interior ก็จะมีการวัดขนาดลิฟต์เอาไว้ด้วยฮะ
12. อย่าเพิ่งรีบย้ายออกจากที่เก่า ถ้าห้องยังแต่งไม่เสร็จ
จากประสบการณ์ตรงของน้องในทีมก็คือ แพลนเอาไว้ว่าจะย้ายต้องออกจากคอนโดเก่าที่เช่าอยู่ มาเข้าคอนโดใหม่ที่แต่งเสร็จพอดี ซึ่งเอาเข้าจริงก็เกือบไม่ทันครับ (ขนาดเผื่อเวลาเอาไว้เยอะแล้วนะ) เพราะไทม์ไลน์การเข้าทำงานของช่างเลื่อนไป 2 อาทิตย์ และช่างก็ทำงานช้าจากวันที่ส่งมอบไปอีก 1 วัน ในขณะที่น้องต้องขนของเพื่อย้ายเข้ามายังคอนโดใหม่ในช่วงบ่าย ตอนเช้าช่างก็ยังคงเก็บรายละเอียดงานอยู่ ซึ่งกลิ่นสี และความแสบตาต่างๆ ที่ช่างทาไว้บนพื้นผิวเฟอร์นิเจอร์ Built-in ของเรายังคงอยู่
ดังนั้นเรื่องไทม์ไลน์ระยะเวลาการทำงานของช่าง และการแพลนเพื่อย้ายออกจากคอนโดเก่าเองก็มีความสำคัญเหมือนกัน ควรเผื่อระยะเวลาไว้เยอะๆ ครับ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาจะได้แก้ไขปัญหาทัน
เป็นไงบ้างฮะกับ 12 ข้อที่เพื่อนๆ ต้องรู้ก่อนจ้างบริษัท Built-in ให้มาตกแต่งห้อง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะเอาจริง เป็นเรื่องที่ใช้ระยะเวลาพอสมควร แถมยังต้องใช้เงินด้วย ดังนั้นนอกจากจะวางแผนในเรื่องของการ Built-in ห้องแล้ว อย่าลืมวางแผนการเงินและระยะเวลาในการดำเนินงานต่างๆ ด้วยนะครับ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ ที่กำลังจะแต่งห้องกันนะ หรือถ้าเพื่อนๆ มีข้ออื่นๆ นอกเหนือจากนี้อีก แนะนำกันเข้ามาได้เลยน้าาาา 😉