เคยสงสัยไหมครับว่า “ผังเมือง” มีไว้ทำไม? แล้วสำคัญกับเราแค่ไหน? ทำไมเราต้องอ่านผังเมือง? ถ้าอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น ‘ผังเมือง’ ก็เหมือนแผนผังของการอนุญาตให้ใช้พื้นที่ย่านนั้นๆ ในการทำอะไรได้บ้าง เพื่อความเป็นระเบียบและง่ายต่อการจัดการพื้นที่ครับ ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมืองจะเป็นผู้จัดสรรมาให้ว่าพื้นที่ไหนใช้ทำอะไร และการที่มีการจัดสรรผังเมืองนี่แหละ ทำให้ราคาที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างในย่านนั้นมีผลในแง่ของราคาและมูลค่านั่นเอง
แล้วผังเมืองจัดสรรกันอย่างไร? เกิดมาได้อย่างไร? รู้แล้วเอาไปทำอะไรต่อได้? เดี๋ยวผมจะมาแนะนำการอ่านผังเมืองง่ายๆ และอธิบายให้เข้าใจในบทความนี้ ตามไปอ่านกันเลยฮะ
ดาวน์โหลดตัวอย่างเพื่อประกอบความเข้าใจ
เพื่อให้เพื่อนๆ ได้เห็นภาพประกาศผังเมืองของจริง เราได้แนบไฟล์กฎกระทรวงผังเมืองรวมสมุทรปราการ พ.ศ.2556 สามารถคลิกด้านล่างนี้ เพื่อดาวน์โหลดไปเปิดดูประกอบการอ่านบทความได้ครับ ^^
หมายเหตุเอาไว้ตรงนี้ก่อน
ผังเมืองแต่ละฉบับ แต่ละพื้นที่ อาจมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันไปในรายละเอียด เช่น สีของโซนพื้นที่อาจจะไม่ได้มีครบทุกสีตามที่เราจะกล่าวในบทต่อไป รวมถึงความหมายของแต่ละสี และข้อจำกัด หรือสิ่งปลูกสร้างที่อนุญาต ก็อาจแตกต่างกันไป โดยสามารถดูได้จากตารางการใช้ประโยชน์ที่ดิน ที่จะมาพร้อมกับแผนที่ในประกาศกฎกระทรวงผังเมืองแต่ละฉบับนะครับ

แยกโซนด้วยสี
ก่อนอื่นเลยเพื่อความง่ายในการตีความผังเมือง แต่ละพื้นที่จึงถูกแบ่งออกมาเป็น 13 สี แบบละเอียดๆ ตามนี้ครับ
เขตสี | เป็นที่ดินประเภท |
สีเหลือง | ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย |
สีส้ม | ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง |
สีน้ำตาล | ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก |
สีแดง | ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม |
สีม่วง | ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า |
สีเม็ดมะปราง | ที่ดินประเภทคลังสินค้า |
สีม่วงอ่อน | ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมเฉพาะกิจ |
สีเขียว | ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม |
สีเขียวมะกอก | ที่ดินประเภทสถาบันการศึกษา |
สีขาวมีกรอบและเส้นทะแยงสีเขียว | ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม |
สีน้ำตาลอ่อน | ที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย |
สีเทา | ที่ดินประเภทสถาบันศาสนา |
สีน้ำเงิน | ที่ดินประเภทสถาบันราชการ กรมสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ |
แต่จากผังเหมือนสีต่างๆ ที่เห็นนั้น จริงๆ แล้วผังเมืองหรือบริเวณที่สามารถสร้างที่อยู่อาศัย หรือเป็นที่ดินที่มักนำมาใช้เพื่อปลูกสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัยจะอยู่ในผังเมืองประมาณ 6 สีหลักๆ ครับ คือ เขตสีเหลือง, เขตสีส้ม, เขตสีน้ำตาล, เขตสีแดง, เขตสีม่วง และเขตสีเขียว เงื่อนไขของแต่ละสีก็ไม่เหมือนกัน เพราะการจัดสรรที่ดินตามผังเมืองจะดูบริบทแวดล้อม และพื้นที่ส่วนรวมเป็นหลักว่า ณ ปัจจุบันพื้นที่ตรงนั้นเป็นอะไร หรือเคยเป็นอะไรมาก่อน แล้ววันนี้สามารถเป็นแบบเดิมได้ไหม แถมผังเมืองมีผลต่อราคาของที่ดินในย่านนั้นด้วย
แน่นอนครับว่าผังเมืองสามารถถูกปรับสีกันได้ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่บริเวณนั้น ตัวอย่างเช่น ปลายปี 2564 คาดว่าจะมีการปรับผังเมืองกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกตอนบน – ตะวันออก ซึ่งก็คือหนองจอก มีนบุรี คลองสามวา ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา ภาษีเจริญ บางแค ช่วงที่มีพื้นที่สีเขียวทะแยง จะถูกปรับให้กลายเป็นพื้นที่สีเหลือง และส้ม เพื่อเปิดโอกาสให้พัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยนั่นเอง


ผังเมืองแต่ละสีทำอะไรได้บ้าง?
มาต่อกันที่รายละเอียดของผังเมืองแต่ละสีกันดีกว่า เพราะแต่ละสีก็มีข้อจำกัดในการใช้พื้นที่ที่แตกต่างกันไปอย่างที่บอก (บางพื้นที่อาจจะอาจจะมีครบทุกสี บางพื้นที่อาจจะมีบางสี บางพื้นที่ก็อาจจะมีสีพิเศษเพิ่มขึ้นมา และบางพื้นที่ก็อาจมีข้อกำหนดของสีที่ไม่ตรงตามมาตรฐานเป๊ะๆ อาจมีการเพิ่มหรือลดข้อจำกัดและประเภทของสิ่งปลูกสร้างไปอีก) โดยผมจะแนะนำสีที่ใช้บ่อยและมักจะเห็นประจำ ซึ่งเป็นสีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสิ่งปลูกสร้าง มีทั้งหมด 6 สีด้วยกัน ดังนี้ครับ

เขตสีเหลือง
พื้นที่สีนี้ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย สถาบันราชการ หรือสาธารณประโยชน์เท่านั้น พื้นที่นี้ส่วนมากจะอยู่นอกเมือง หรือในชนบท นอกจากชุมชนแล้วก็จะเป็นหมู่บ้านจัดสรร ที่อยู่ในพื้นที่นี้เยอะ มีความหนาแน่นน้อย

เขตสีส้ม
พื้นที่สีนี้ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย สถาบันราชการ หรือสาธารณประโยชน์เป็นส่วนใหญ่ พื้นที่นี้ส่วนมากจะอยู่นอกเมือง หรือในชนบท นอกจากชุมชนแล้วก็จะเป็นหมู่บ้านจัดสรร ที่อยู่ในพื้นที่นี้เยอะ เงื่อนไขเหมือนกับสีเหลืองทุกอย่าง แต่มีความหนาแน่นปานกลาง โดยมากจะอยู่ติดกับพื้นที่สีเหลือง

เขตสีน้ำตาล
ผังเมืองกำหนดเป็นที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก ซึ่งจะอยู่กลางเมือง หรือพื้นที่ที่เป็นคอนโด สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย สถาบันราชการ หรือสาธารณประโยชน์เป็นส่วนใหญ่ สำหรับการใช้ที่ดินเพื่อกิจการอื่นให้ใช้ได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของพื้นที่

เขตสีแดง
บริเวณนี้ถูกจัดสรรให้เป็นที่ดินประเภทพาณิชยกรรม แบ่งออกเป็น 5 ระดับ คือ ที่ดินประเภท พ.1 – พ.5 ที่ดินประเภทนี้ ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม การอยู่อาศัย สถาบันราชการ การสาธารณูปโภค และสาธารณูปการเป็นส่วนใหญ่ ใช้เพื่อกิจการอื่นได้ไม่เกินร้อยละ 10 โดยมากจะอยู่ในเมืองย่าน CBD

เขตสีม่วง
แม้จะเป็นเขตอุตสาหกรรม แต่ก็สามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้ เช่น บ้านเดี่ยว หอพัก หรือคอนโดมิเนียมขนาดเล็ก รวมถึงสร้างร้านค้าได้ แต่ไม่สามารถสร้างอาคารสูงกับอาคารชุดขนาดใหญ่ได้ อย่างมากก็คือคอนโด 8 ชั้น ที่พอจะสามารถสร้างได้

เขตสีเขียว
แม้จะเป็นพื้นที่ชนบทและส่งเสริมการเกษตร แต่ก็สามารถสร้างหมู่บ้านได้ แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 5 หรือร้อยละ 10 โดยบางพื้นที่ก็จะสร้างหมู่บ้านขายโดยขายแบบแปลงละ 100 ตารางวา แบ่งเป็นตัวบ้าน 30 – 50 ตารางวา นอกนั้นเป็นพื้นที่สีเขียว เช่นในย่านบางแวก พุทธมณฑล สาย 2 เป็นต้น เพื่อให้ไม่ขัดกับผังเมืองที่จะอนุรักษ์พื้นที่สีเขียวไว้ (ขึ้นอยู่กับรายละเอียดในตารางแนบท้าย)
สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังจะซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้าน หรือทำกิจการส่วนตัว แนะนำว่าลองเช็คจากผังเมืองในบริเวณนั้นๆ ดูก่อนซื้อนะครับ เพราะถ้าเราซื้อไปแล้ว แต่ไปเจอผังเมืองที่ไม่อนุญาตให้ทำในสิ่งที่คุณต้องการ ก็ไม่ต่างอะไรกับเสียเงินไปฟรีๆ เลยนะ
แต่! ในสีต่างๆ ก็ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ อีกมากมายเช่นกัน
สำหรับ 13 สีพื้นฐาน และ 6 สีที่พบบ่อยที่ผมได้อธิบายไว้ข้างต้น ถ้าเพื่อนๆ ได้ดูในเอกสารผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการประกอบไปด้วย จะเห็นได้ว่ามี 13 สีเหมือนกัน แต่สีม่วงอ่อนและสีน้ำตาลไม่มี จะมีสีเขียวอ่อนกับสีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีม่วงเข้ามาแทนครับ นอกจากเรื่องของสีที่จะมีความแตกต่างในแต่ละจังหวัดหรือแต่ละพื้นที่แล้ว ยังมีตัวอักษรพร้อมเลขระบุในแต่ละพื้นที่ด้วย เช่น ย.2-2, ย.3-6, ก.1-12 หรือ พ.2-5 เป็นต้น บอกเลยว่าแต่ละสีนั้นมีรายละเอียดที่เยอะและชัดเจนมากๆ ว่าสามารถปลูกสร้างหรือใช้ที่ดินทำกิจกรรมอะไรได้บ้าง

สัญลักษณ์เหล่านี้ที่ระบุอยู่ในแผนที่ การใช้งานก็จะแตกต่างกันไปครับ ขึ้นอยู่กับการกำหนดของแต่ละหัวข้อเลย ยกตัวอย่างเช่น ที่ดินประเภท ย.3 ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว ห้องแถว ตึกแถว สถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการเป็นส่วนใหญ่ สำหรับการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ให้ใช้ได้ไม่เกินร้อยละสิบของที่ดินประเภทนี้ในแต่ละบริเวณ อันนี้คือที่เราสามารถสร้างได้ ส่วนที่เราสร้างไม่ได้ เขาก็จะระบุไว้ในราชกิจจานุเบกษาชัดเจนเลยครับว่ามีอะไรบ้าง อาทิ โรงงาน คลังน้ำมันเชื้อเพลิง สุสานและฌาปนสถาน โรงแรม โรงมหรสพ ฯลฯ (อ่านได้จากเอกสารที่เรามีให้โหลดด้านบน หรือตัวอย่างในรูปด้านล่างก็ได้ฮะ)
ดังนั้นสีผังเมืองในแต่ละจังหวัดก็จะแตกต่างกันไป บางสีอาจจะมีเหมือนกัน และบางสีอาจจะเพิ่มเติมเข้ามาไม่เหมือนกับที่อื่นๆ ก็ได้ และในข้อกำหนดต่างๆ ก็จะมีข้อมูลระบุชัดเจน หากเราอยากศึกษาผังเมืองของจังหวัดอื่นๆ ก็สามารถใช้บทความนี้เป็นแนวทางได้ครับ
ถ้าสร้างสิ่งปลูกสร้างไม่ตรงผังเมือง จะเกิดอะไรขึ้น?
ถ้าสร้างสิ่งปลูกสร้างผิดประเภท ประชาชนในพื้นที่สามารถร้องเรียนได้ อย่างที่ผ่านมาก็มีข่าวร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่สมุทรปราการ เมื่อมิถุนายนปี 62 พวกเขาร้องเรียนว่าห้างดังแห่งหนึ่งใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ (ที่ตอนนี้สร้างเสร็จแล้ว) มาก่อสร้างในพื้นที่เขตสีเขียว สร้างอาคารผิดผังเมืองหรือเปล่า? เพราะย่านนี้มีไว้สำหรับทำการเกษตร แต่ทำไมสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ได้ และอาจจะรุกล้ำลำรางสาธารณะ


ตัวอย่างจากเหตุการณ์จริงเพื่อเป็นกรณึศึกษา
นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางโฉลง ก็ให้สัมภาษณ์ว่า ห้างนั้นอยู่ในพื้นที่สีเขียวจริง แต่มีข้อยกเว้นให้ก่อสร้างอาคารได้ไม่เกิน 2,000 ตารางเมตร ซึ่งห้างนั้นก็ไม่ได้สร้างอาคารเกิน 2,000 ตารางเมตร ส่วนโครงการนี้แม้จะมีพื้นที่โครงการ 40,000 ตารางเมตรบนพื้นที่ 100 ไร่แต่ไม่มีการสร้างอาคารเกินตามที่กฎหมายผังเมืองกำหนด รวมทั้งไม่ได้ไปรุกล้ำลำรางสาธารณะอย่างที่ชาวบ้านกังวล ห้างนี้ก็เลยสร้างได้แม้อยู่ในพื้นที่ประเภทชนบทและเกษตรกรรมนั่นเองครับ ถามว่าถูกต้องไหมก็ถ้าผู้มีอำนาจบอกว่าถูกต้อง และสร้างไม่ผิดข้อยกเว้น ก็…น่าจะถูกต้องแหละครับ
อีกกรณีที่น่าตั้งคำถามว่าถ้าสร้างอาคารผิดผังเมืองจะเกิดอะไรขึ้น คำตอบคือ ‘เกิดความเสียหาย’ ล่าสุดคือการระเบิดของโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกและพลาสติกขั้นต้นของบริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ในซอยกิ่งแก้ว 21 ที่อยู่ท่ามกลางชุมชน นี่คือคำตอบที่ชัดเจนมาก เนื่องจากผังเมืองบริเวณนั้นคือสีแดง หมายถึง ‘บริเวณนี้ถูกจัดสรรให้เป็นที่ดินประเภทพาณิชยกรรม’ จึงมีหมู่บ้านและชุมชนตั้งอยู่ และไม่ได้เป็นพื้นที่ที่อนุญาตให้ตั้งโรงงาน
แต่ว่ากันตามช่วงเวลา โรงงงานนี้ตั้งมาตั้งแต่ปี 2532 ในวันนั้นย่านนี่ยังเต็มไปด้วยที่นา สมชื่อกับ ‘บางนา’ ไม่ได้มีชุมชนตั้งอยู่รายล้อมเท่ากับทุกวันนี้ ที่เมืองเริ่มมีการขยายตั้งแต่ราวๆ ปี 2545 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่สนามบินสุวรรรภูมิใกล้จะเปิดใช้งาน โรงงานตั้งมาก่อนหมู่บ้านและชุมชน นี่คือข้อเท็จจริง แล้วในเมื่อผังเมืองตรงที่โรงงานนั้นตั้งอยู่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่สีแดง อ้างอิงจากผังเมืองล่าสุดของสมุทรปราการที่อัปเดทเมื่อปี 2556 – 2557 แต่ทำไมถึงไม่มีมาตรการใดป้องกัน แต่กลับอนุญาตให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัย ถึงขนาดมีหมู่บ้านนึง รั้วโครงการติดกับโรงงานเลย
นี่คือตัวอย่างความไม่รอบคอบและยุ่งเหยิงของการวางผังเมืองที่ไม่ถูกต้องมาโดยตลอด
ทำไมผังเมืองกรุงเทพฯ และปริมณฑล ถึงยุ่งเหยิง?
อ่านมาถึงตอนนี้เพื่อนๆ น่าจะเปิดผังเมืองกรุงเทพฯ หรือผังเมืองแถวบ้านดูกันบ้างแล้วใช่ไหมครับ สังเกตไหมครับว่าทำไมผังเมืองกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียงถึงดูยุ่งไปหมด โดยเฉพาะเมื่อมีการขยายของเมืองที่ดูเหมือนจะไร้ทิศทาง และการจัดกลุ่มของพื้นที่ในเมือง มันเพราะอะไร?
คำตอบก็คือกรุงเทพฯ เพิ่งจริงจังเรื่องการวางผังเมืองเมื่อปี 2503 นี่เอง ถือว่าไม่นานเลย รัฐบาลไทยสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกฯ ได้ว่าจ้างบริษัท Litchfield Whiting Bowne & Associates จากสหรัฐอเมริกาให้ดำเนินการวางผังนครหลวง 2533 Greater Bangkok Plan 2533 หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ‘ผังลิทช์ฟิลด์’

ผังเมืองตอนนั้นไม่ได้ครอบคลุมแค่กรุงเทพฯ แต่ครอบคลุมไปยังธนบุรี นนทบุรี และสมุทรปราการด้วย ระยะของการวางผังเมืองอยู่ที่ 30 ปี แต่เอาเข้าจริงๆ กรุงเทพฯ เพิ่งจะมีผังเมืองใช้อย่างเป็นทางการในปี 2535 และเหมือนจะไม่ใช่ผังเมืองที่สมบูรณ์นัก เนื่องจากมีการกระจายของเมืองไปแบบไร้ทิศทาง ยิ่งการมีตรอก ซอก หรือซอยเยอะ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นระเบียบของผังเมือง โดยเฉพาะซอยตัน การที่ผังเมืองยุ่งเหยิง ก็ยิ่งทำให้รถติดในเมืองตามไปด้วยจนแก้ไม่ได้ ต่อให้มีถนนเยอะแค่ไหนก็ตาม
สอดคล้องกับที่ รศ.ดร.พนิต ภู่จินดา หัวหน้าภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเมือง ได้บอกว่า กรุงเทพฯ พัฒนาเมืองมาจากคูนา คันดิน ขนัดสวน พอเปลี่ยนมาเดินทางด้วยรถยนต์ แต่กลับสร้างถนนได้แค่สายหลักเท่านั้น
การวางผังเมืองและบล็อกมาตรฐานของกรุงเทพฯ เลยเป็นบล็อกขนาดใหญ่ หรือ Super Block ที่มีขนาดประมาณ 2,000 x 2,000 เมตรขึ้นไป เมื่อบล็อกใหญ่ (หมายถึงโซนที่อยู่อาศัย หรือโซนอาคารพาณิชย์) พื้นที่ถนนเลยมีน้อยและไม่ทั่วถึง แถมซอยก็เยอะมากๆ เพราะพอถนนสายหลักอยู่ห่างจากพื้นที่ดิน ก็มีการทำซอกซอยเพื่อเข้าไปในใจกลางบล็อก รถก็เลยติดเพราะผังเมืองไม่เอื้อ การขยายเมือง หรือกระทั่งการขยายถนนไปตามเมืองที่ไม่มีการวางแผนก็เลยยิ่งทำให้เมืองดูยุ่งเหยิง
ใครที่อยากได้ข้อมูลผังเมืองของ กทม. สามารถติดต่อได้ที่ “สำนักการวางผังและพัฒนาเมือง กรุงเทพมหานคร” หรือที่เว็บไซต์นี้ >>คลิก<< แต่จากที่เราลองพยายามดาวน์โหลดแผนที่และรายละเอียด ไม่สามารถดาวน์โหลดได้เลยฮะ (บ่งบอกถึงการให้คุณค่าความสำคัญเลยนะฮะ -*-)

หรือผังเมืองจะเป็นแค่เครื่องมือที่เอื้อประโยชน์ให้เจ้าของที่ดิน?
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจในบทความ ผังเมืองไทยเรื่อง ‘ของเรา’ ตลกร้ายกว่า 100 ในเว็บไซต์เดลินิวส์ไว้ โดยบอกว่า จริงๆ แล้วเมืองไทยมีกฎหมายผังเมืองมานาน ตั้งแต่ปี 2495 แต่หลังจากนั้นเกือบ 40 ปี หรือในปี 2535 เราถึงมีผังเมืองใช้ สาเหตุที่ผังเมืองไทยยุ่งเหยิง ดร.โสภณ บอกว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ของคนที่มีที่ดิน และการมีผังเมืองเกิดขึ้นอาจทำให้เสียประโยชน์ในการใช้ที่ดิน เนื่องจากผังเมืองจะเป็นสิ่งที่กำหนดว่าพื้นที่ไหนควรใช้เพื่ออะไร ด้วยสาเหตุนี้เองทำให้ผังเมืองในกรุงเทพฯ ดูมีความ ‘หละหลวม’ และเหมือนจะเอื้อประโยชน์ให้เจ้าของที่ดินมากกว่าสนใจเรื่องของโครงสร้าง
ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ถ้าลองดูผังเมืองในหลายพื้นที่ทั่วประเทศก็จะพบว่า เรา…แทบไม่ได้วางผังเมืองให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตเลย แต่ถ้าเทียบกับเพื่อนบ้าน ก็จะพบว่าผังเมืองของเรา ค่อนข้างที่จะล้าหลังทีเดียว
เรื่องผังเมืองอาจจะดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวมากๆ แต่ถ้าคุณลองเอาผังเมืองในย่านที่คุณอยู่ หรือสนใจมาพิจารณา หรือมาอ่านผังเมืองดีๆ ก็จะเห็นอะไรได้หลายอย่าง
ถ้าคุณอยากเริ่มลงทุน คุณจะเห็นโอกาส
ถ้าคุณอยากสร้างบ้านคุณจะเห็นทำเลที่เหมาะสม
หรือถ้าคุณอยากเห็นโครงสร้างพื้นฐาน คุณก็จะเห็น…ความวุ่นวายที่ซ่อนอยู่