fbpx
ไลฟ์สไตล์

7 ปรากฏการณ์ “Jewel” เดินห้างและสวนไปพร้อมๆ กัน ใจกลางสนามบินสิงคโปร์

IN BRIEF

  • Jewel หมุดหมายใหม่ของนักท่องเที่ยวที่ได้ไปเยือนสิงคโปร์ ที่ซึ่งเป็นศูนย์การค้าใจกลางสนามบินชางงี กับสุดยอดไฮไลต์อย่างน้ำตก Rain Vortex
  • แม้ว่าจะเป็นห้างในสนามบิน แต่ใครๆ ก็สามารถมาที่นี่ได้ แม้จะไม่ได้มาใช้บริการสนามบินก็ตาม
  • ทั้ง 7 ชั้นของ Jewel เพรียบพร้อมไปด้วยสวน ร้านค้า ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต โรงภาพยนตร์ และโรงแรม ครบ จบ ในที่เดียว


ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความทันสมัยและพื้นที่สีเขียว จนออกมาเป็น สิงคโปร์ จุดหมายปลายทางที่หลายๆ คนอยากไปสัมผัส

ประโยคข้างบนนี้ คงไม่เวอร์เกินไปที่จะมอบให้กับประเทศสิงคโปร์ ประเทศที่ตอบโจทย์ให้กับทั้งผู้ที่อาศัยและผู้ที่มาเยือน ทั้งในด้านการใช้ชีวิตแบบคนเมือง ระบบขนส่งมวลชน พื้นที่สีเขียว รวมไปถึง ศูนย์การค้า ที่มีอยู่ทุกมุมเมือง มองไปทางไหนก็เจอแต่ห้าง

แต่เมื่อไม่นานมานี้ ประเทศแห่งนี้ก็มีห้างเพิ่มมาอีกหนึ่งแห่ง ที่ซึ่งไม่ได้ตอบโจทย์แค่การเป็นห้าง แต่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบมนุษย์สร้างขึ้นที่สวยงามไม่แพ้ธรรมชาติเลย พร้อมทั้งดึงดูดคนให้มาเยือน ทั้งชาวสิงคโปร์เองและนักท่องเที่ยว นั่นก็คือ Jewel (อ่านออกเสียงแบบไทยๆ ให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับว่า “จูว”) ห้างแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ใจกลางสนามบินชางงี ประตูบานแรกที่ต้อนรับผู้คนจากต่างประเทศ ลงทุนสร้างโดยสนามบินชางงี สนามบินอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นของรัฐบาลสิงคโปร์ ฝีมือการรังสรรค์ทั้งสนามบินและห้างแห่งนี้โดยรัฐบาลสิงคโปร์ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ครับ

ที่มาภาพ: Tang Yan Song / Shutterstock.com

ใครที่เคยไปเชียงใหม่อาจจะเคยไปเซ็นทรัลพลาซาเชียงใหม่แอร์พอร์ต ที่ว่าใกล้สนามบินแล้ว ยังต้องแพ้ Jewel เพราะที่นี่ตั้งอยู่ในสนามบินเลย เป็นหนึ่งอาคารท่ามกลางเทอร์มินัลต่างๆ ในสนามบิน แต่ถึงจะตั้งอยู่ในสนามบิน ก็ไม่ได้อยู่ในโซนที่ต้องเช็กอินเข้าไปแล้วแต่อย่างใด ใครๆ ก็มาที่นี่ได้ทั้งนั้นฮะ

หลายๆ คนอาจจะเคยเห็น Jewel ตามสื่อต่างๆ ว่ามีน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงามมากๆ อยู่กลางห้างกันมาแล้ว แต่ในวันนี้ Living Pop ขอพาทุกคนไปสำรวจ Jewel กันให้มากยิ่งขึ้น เพราะห้างแห่งนี้ไม่ได้ดีแค่ความสวยงามอย่างเดียว แต่ยังโดดเด่นในทุกๆ แง่ของการเป็นห้างที่ดีและครบครันอีกด้วย งั้นเราไปสำรวจกันเลยครับ..

ที่มาภาพ: DerekTeo / Shutterstock.com

– 1 –
Attraction ใจกลางห้าง เหมือนยกป่ามาไว้ในเมือง

ก้าวแรกที่ทุกคนได้มาเยือน Jewel เป้าหมายสำคัญที่เชื่อว่าทุกคนจะต้องเดินไปชมสิ่งนี้อย่างแน่นอน นั่นก็คือน้ำตก Rain Vortex จริงๆ แล้ว น้ำตกในห้าง ฟังๆ ดูก็อาจจะคิดว่าห้างในเมืองไทยก็มีอยู่ทั่วไป (โดยเฉพาะห้างของเดอะมอลล์) แต่น้ำตกที่นี่ต้องบอกเลยว่าสุดจริงอะไรจริง เพราะน้ำตกที่นี่ไม่ได้ไหลมาตามโขดหินที่เลียนแบบมาจากธรรมชาติ แต่เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ (มากกก.. จนได้รับตำแหน่งน้ำตกในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก) ที่ตกลงมาจากใจกลางโดมหลังคากระจก ทำให้ดูเหมือนว่าตกมาจากฟากฟ้าลงมาสู่กลางห้างไปจนถึงชั้นใต้ดินกันเลยทีเดียว

แต่จะให้น้ำตกอยู่โดดเดี่ยวก็อาจจะยังสวยไม่สุด น้ำตกแห่งนี้ก็เลยมาคู่กับ Forest Valley ป่าที่อยู่ล้อมรอบน้ำตกอีกทีหนึ่ง น้ำตกว่าไม่ธรรมดาแล้ว ป่าแห่งนี้ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะป่าแห่งนี้ไม่ได้มาเรียบๆ แบนๆ แค่ชั้นเดียว แต่อยู่ล้อมรอบน้ำตกขึ้นไปจนถึงชั้นบนของห้าง ซึ่งสามารถเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ แต่ละมุมของป่าแห่งนี้ได้อีกด้วย

สำหรับพันธุ์ไม้ต่างๆ ที่มาอยู่ในป่าแห่งนี้ เป็นพันธุ์ไม้ในเขตร้อนชื้นที่นำเข้ามาจากหลากหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ใครที่อยากมาชมความสวยงามในส่วนนี้ทั้งป่าและน้ำตก สามารถมาเข้าชมได้ฟรี ได้ทั้งวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอด 24 ชั่วโมง (เฉพาะน้ำตก เปิดแสดงเฉพาะเวลา 8:00 น. – 00:30 น.) ถึงแม้ว่าห้างจะปิดแล้ว แต่เพิ่งลงเครื่องมากลางดึก ก็ยังเดินเข้ามาชมได้ กลางวันก็สวย กลางคืนก็สวยไปอีกแบบ เหมือนอยู่ในหนัง Avatar เลย (ก็ผู้สร้างเขาได้รับแรงบันดาลใจในการสร้าง Jewel จาก Avatar นี่นา..)

พวกเราไปถึงตอนดึก พอแวะไปดูก็สวยไปอีกแบบ (ถ่ายตอนหลังเที่ยงคืนครึ่ง น้ำตกปิดการแสดงแล้ว)

ระหว่างมองไปรอบๆ ป่าและน้ำตกแห่งนี้ มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาแล้วชวนสงสัยว่ามาจากไหน นั่นก็คือรถไฟฟ้าที่อยู่ท่ามกลางป่าแห่งนี้ ซึ่งรถไฟฟ้าเส้นนี้ คือรถไฟฟ้าระบบล้อยาง เป็นรถไฟฟ้าขนาดเล็กแบบเดียวกับรถไฟฟ้าสายสีทองที่กำลังก่อสร้าง (ไม่ใช่โมโนเรล) รับส่งผู้โดยสารเชื่อมระหว่างอาคารเทอร์มินัล 2 และ 3 และรถไฟฟ้าเส้นนี้มีมาก่อนที่ Jewel จะสร้างเสียอีก ซึ่ง Jewel ก็มาสร้างครอบรถไฟฟ้าสายนี้อีกทีหนึ่ง เลยทำให้ผู้โดยสารในรถไฟฟ้าเส้นทางนี้ได้ชมบรรยากาศสวยๆ ของป่าและน้ำตกแห่งนี้โดยปริยาย

แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่รถไฟฟ้าเส้นนี้ไม่มีสถานีให้จอดแวะที่ Jewel และจอดรับผู้โดยสารในเทอร์มินัล 2 และ 3 ในฝั่งที่ผู้โดยสารต้องเช็กอินแล้วเท่านั้น ใครอยากนั่งรถไฟฟ้าเส้นนี้เพื่อมาชมวิวสวยๆ เห็นทีจะต้องขึ้นสายการบินที่จอดใน 2 เทอร์มินัลนี้เท่านั้น..

รถไฟฟ้าระบบล้อยาง (Rubber-tyred metro)
มุมมองจากภายในขบวนรถไฟฟ้า

นอกจากน้ำตกและป่าที่สามารถเข้าชมได้ฟรีแล้ว ที่ Jewel ก็ยังมี Attraction อีกมายมายที่ให้เราได้เข้าไปสัมผัส ทั้ง Canopy Park สวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่ชั้น 5 ที่ภายในนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ให้เราได้สนุกและตื่นตาตื่นใจไปกับมัน ทั้งสะพานกระจก ตาข่ายยักษ์ที่มีไว้สำหรับกระโดดยืดเส้นยืดสายและสำหรับเดิน (จุดนี้ต้องใช้ความระมังระวังหน่อย มีคนโดนบาดที่มือเพราะตาข่ายนี้มาแล้ว) เขาวงกตที่ให้คุณเข้ามาแข่งกับเพื่อน ว่าใครจะหาทางออกได้ไวกว่ากัน มาทั้งในรูปแบบกำแพงต้นไม้ และกำแพงกระจกเงา (แบบกระจกเงาต้องยากมากแน่ๆ) และจุดถ่ายรูปสวยๆ อีกมากมาย

อีกทั้งที่ชั้น 4 ก็มี Changi Experience Studio สวนสนุกในรูปแบบ Interactive ที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ซึ่งในส่วนของทั้ง Canopy Park และ Changi Experience Studio จะต้องเสียค่าบริการสำหรับการเข้าชม สามารถดูรายละเอียดแพกเกจได้ที่นี่ครับ

“Sky Nets – Walking” เดินแบบชิลล์ๆ พร้อมกับชมวิวด้านล่าง สูงไม่มาก 5 ชั้นเอง
(ที่มาภาพ: DerekTeo / Shutterstock.com)
“Mirror Maze” เขาวงกตแบบกระจกเงา ใครเจอทางออกก่อนกัน ชนะ
(ที่มาภาพ: CNA)
“Changi Experience Studio” สวนสนุกในรูปแบบ Interactive
(ที่มาภาพ: CNA)

– 2 –
รูปทรงของอาคารที่ไม่ซ้ำห้างไหนๆ

โดยทั่วไปเรามักจะเห็นห้างต่างๆ ที่มีอาคารในรูปทรงกล่อง และไปเน้นการตกแต่งที่ภายนอก (ฟาซาด) ซึ่งในแต่ละที่ก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับ Jewel รูปทรงของอาคารแห่งนี้ เรียกได้ว่าแปลกใหม่ไม่ซ้ำใครกันเลยทีเดียว เพราะอาคารแห่งนี้มีรูปทรงเป็น “โดนัท” อีกทั้งยังมีกระจกห้อมล้อมทั้งด้านบนของอาคาร ซึ่งรูเว้าตรงกลางของโดนัทยักษ์ชิ้นนี้ ก็สอดคล้องกับน้ำตก Rain Vortex ที่มีน้ำตกที่ออกจากรูด้านบนของหลังคาไปสู่ภายในอาคาร เรียกได้ว่า กว่าจะได้รูปร่างหน้าตาของห้างนี้มา ต้องผ่านการคิด ที่คิดแล้ว คิดอีก ถึงจะมีของดีๆ แบบนี้มาให้เราได้เชยชมกัน

พื้นที่ใช้สอยรวมทั้งอาคารของ Jewel อยู่ที่ประมาณ 135,700 ตารางเมตร ถ้าจะเทียบกับห้างในไทยที่มีพื้นที่ใกล้เคียงกัน ก็สามารถเทียบเคียงได้กับเซ็นทรัลพลาซาสาขาตามต่างจังหวัด เช่น สุราษฎร์ธานี ลำปาง อุบลราชธานี และนครศรีธรรมราช ที่มีพื้นที่ใช้สอยรวมประมาณ 120,000 – 140,000 ตารางเมตร

ภายใต้โดนัทยักษ์ชิ้นนี้ มีอะไรตั้งมากมายที่รอให้ทุกคนมาสัมผัส
(ที่มาภาพ: Hit1912 / Shutterstock.com)

– 3 –
โลเคชั่นใจกลางสนามบิน ต้อนรับผู้มาเยือน

ห้างจะน่าเดินแค่ไหน โลเคชั่นก็สำคัญ หลายๆ คนอาจจะคิดว่าการที่ Jewel ตั้งอยู่ในสนามบิน แล้วจะมีแต่นักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการสนามบินมาเที่ยวที่ Jewel เท่านั้น 

แต่… ไม่ใช่จ้า

แต่จากที่เราได้ไปสัมผัสมา ปรากฎว่าไม่ใช่อย่างงั้นเลย ผู้ใช้บริการของห้างนี้ส่วนใหญ่ ก็เป็นชาวสิงคโปร์เสียเอง เพราะจริงๆ ต่อให้อยู่กลางสนามบินแบบนี้ จริงๆ ก็เป็นห้างแห่งนึงที่มีองค์ประกอบครบทุกอย่าง แถมยังสะดวกต่อการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า สามารถเดินทางมาได้จากชุมชนที่อยู่อาศัยรายรอบสนามบินในเวลาไม่นานเลย

สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการที่สนามบินชางงี ก็สามารถเข้าถึง Jewel ได้ง่ายๆ เพราะตัวอาคารนี้เชื่อมต่อกับ Terminal 1 อย่างไร้รอยต่อ เสมือนว่าเป็นอาคารเดียวกัน และเชื่อมต่อกับเทอร์มินัล 2 และ 3 ด้วยสกายวอล์ก 

สำหรับใครที่ขึ้นหรือลงเครื่องบินที่เทอร์มินัล 4 อาจจะวุ่นวายนิดนึง คือต้องนั่งชัตเทิลบัสมาที่เทอร์มินัล 2 ก่อน และเดินบนสกายวอล์กมาที่ Jewel ครับ

ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างสายการบินที่คนไทยนิยมนั่งไปสิงคโปร์ และแต่ละสายการบินจอดที่ Terminal ไหนบ้าง? เผื่อใครวางแผนจะไป Jewel จะได้เลือกสายการบินที่เดินไม่ไกลครับ 555+

  • การบินไทย (T1)
  • บางกอกแอร์เวย์ส (T1 / T2 / T3)
  • สิงคโปร์แอร์ไลน์ (T2)
  • นกสกู๊ต (T2)
  • ไทยไลออนแอร์ (T3)
  • เจ็ทสตาร์ (T1)
  • แอร์เอเชีย (T4)

เปรียบเทียบก่อนสร้าง – หลังสร้าง Jewel ห้างที่อยู่ท่ามกลางเทอร์มินัล 1 2 และ 3 ของสนามบินชางงี


-4-
ร้านค้าชั้นนำ พร้อมให้เลือกสรร

นอกจากโลเคชั่นที่ได้กล่าวไป ร้านค้าที่นี่ ก็ดึงดูดให้ชาวสิงคโปร์มาที่นี่ได้เยอะเช่นเดียวกัน เพราะแต่ละแบรนด์ที่มาลงที่นี่ บอกได้เลยว่าเด็ดไม่แพ้ห้างอื่นๆ ในสิงคโปร์เลย ทั้ง Zara Uniqlo Muji ที่มาพร้อมคาเฟ่ Marks & Spencer กับเชลฟ์ของสดขนาดย่อมๆ Nike Store ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน Pokémon Center สาขาแรกที่อยู่นอกประเทศญี่ปุ่น Apple Store สาขาที่ 2 ของสิงคโปร์ และร้านค้าชื่อดังอื่นๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้ก็ยังมี FairPrice Finest ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีสินค้าให้เลือกสรรมากมาย พ่อบ้านแม่บ้านคนไหนจะซื้อของเข้าบ้านหรือเข้าครัว ก็มาที่นี่ได้เช่นกัน แต่ก็แอบเสียดายที่ไม่มี Department store ไม่งั้นก็มีครบสมบูรณ์แบบของการเป็นศูนย์การค้าไปแล้ว

Muji ที่นี่มีถึง 2 ชั้น และมาพร้อมกับ Café&Meal Muji อีกด้วย
(ที่มาภาพ: Mothership.SG)
สาขาที่เมืองไทยหันหน้าเข้าแม่น้ำฉันใด สาขาที่นี่ก็หันหน้าเข้าน้ำตกฉันนั้น
(ที่มาภาพ: The Straits Times)
Pokémon Center สาขาแรกที่อยู่นอกประเทศญี่ปุ่น
(ที่มาภาพ: Marcus Neo Jia An / Shutterstock.com)

– 5 –
ร้านอาหารมากมาย ตั้งแต่ฟาสต์ฟู้ดไปจนถึงร้านระดับหรู

สำหรับใครที่กำลังวางแผนว่าจะรับประทานอาหารที่ไหนก่อนบินกลับมาที่ไทย ก็ขอแนะนำให้มาฝากท้องกันที่ Jewel ได้เลย บอกได้เลยว่า ร้านอาหารที่นี่จัดเต็มจริงๆ ทั้งฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง โซน Take home ศูนย์อาหารที่มีร้านอาหารขึ้นชื่อในสิงคโปร์ จะของคาวหรือของหวาน จะกินเล่นหรือกินจริงจัง ก็มีพร้อมให้ทุกๆ คนได้เข้ามาอิ่มหนำสำราญกันได้เต็มที่เลย โดยส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ที่ชั้น B1 และ B2 และมีประปรายตามชั้นอื่นๆ ของห้าง

และที่ชั้น 5 ของ Jewel นอกจาก Canopy Park แล้ว ก็ยังมีร้านอาหารสุดหรู 8 ร้าน ที่ให้คุณได้ชมบรรยากาศของ Rain Vortex และ Forest Valley จากด้านบนของ Jewel

แม้จะนั่งทานอาหารที่ชั้นใต้ดิน ก็ยังมีวิวสวยๆ ของน้ำตกให้ชมกัน
(ที่มาภาพ: DerekTeo / Shutterstock.com)
8 ร้านอาหารสุดหรู ที่ชั้น 5 ของ Jewel
(ที่มาภาพ: Jewel)

– 6 –
11 โรงภาพยนตร์ ที่มาพร้อมกับ IMAX Laser

จากรูปทรงของห้างที่ไม่ได้เป็นรูปทรงกล่องแต่กลับเป็นรูปโดนัท ซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการให้โรงภาพยนตร์อย่าง IMAX โรงภาพยนตร์จอยักษ์ ที่มีความสูงร่วมๆ 10 – 20 เมตร ตั้งอยู่ชั้นบนของห้าง ทำให้ที่ Jewel โรงภาพยนตร์ IMAX ต้องตั้งอยู่ที่ชั้นใต้ดินของห้าง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Shaw Theatres สาขา Jewel โดยสาขานี้มีทั้งหมด 11 โรงด้วยกัน

สำหรับใครที่เป็นคอหนังและชอบดู IMAX น่าจะต้องชอบที่นี่มากแน่ๆ เพราะ IMAX ที่นี่ฉายด้วยระบบเลเซอร์ ซึ่งเป็นระบบที่เมเจอร์ยังไม่นำเข้ามาใช้ในเมืองไทยเสียที


– 7 –
นอนข้ามคืนที่ Jewel กับโรงแรม YOTELAIR

แต่เดิม สนามบินชางงีก็มีโรงแรมอยู่แล้ว ทั้ง Crowne Plaza Hotel ที่มีอาคารแยกออกมา อยู่ด้านข้างเทอร์มินัล 3 และโรงแรมสำหรับผู้ที่มา Transit เครื่องที่นี่ ทั้ง Aerotel Airport Transit Hotel, Ambassador Transit Hotel และ JetQuay Suites ที่ตั้งอยู่ในเทอร์มินัลต่างๆ ในวันนี้สนามบินแห่งนี้ก็มีโรงแรมเพิ่มมาอีก 1 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ใน Jewel นั่นเอง

YOTELAIR Singapore Changi Airport ตั้งอยู่ที่ชั้น 4 ของ Jewel เป็นโรงแรมขนาดเล็กกะทัดรัด และเตียงที่นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์มากๆ เพราะสามารถปรับเตียงนอนแบนราบให้มีลักษณะมีที่พิงหลังได้อีกด้วย ใครที่ชอบเล่นมือถือบนเตียงนอน ก็เล่นได้อย่างสบายๆ กันเลยทีเดียว

สำหรับ YOTEL นั้น เป็นแบรนด์โรงแรมจากประเทศอังกฤษ แบ่งออกเป็น 3 แบรนด์ย่อย ได้แก่

  1. YOTEL แบรนด์โรงแรมที่ตั้งอยู่ในเขตเมือง สำหรับพักระยะสั้น
  2. YOTELPAD แบรนด์โรงแรมที่ตั้งอยู่ในเขตเมือง สำหรับพักระยะยาว
  3. YOTELAIR แบรนด์โรงแรมที่ตั้งอยู่ในสนามบิน เหมาะสำหรับการเข้าพักที่ใช้เวลาประมาณ 4 – 24 ชั่วโมง
ดูหน้าทางเข้าโรงแรม ที่ดูไม่ค่อยเหมือนทางเข้าโรงแรมสักเท่าไหร่
(ที่มาภาพ: YOTEL)
เตียงนอนที่ปรับระดับได้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากที่นั่งในระดับเฟิร์สคลาสบนเครื่องบิน
(ที่มาภาพ: YOTEL)

ใครที่ได้มีโอกาสไปเยือนสิงคโปร์ Living Pop ก็ไม่อยากจะให้พลาด Jewel เลยจริงๆ เพราะนอกจากบรรยากาศในห้างแห่งนี้ที่สุดตระการตาแล้ว การเดินทางก็แสนจะสะดวก จะไปที่นี่ตอนที่ไปสนามบินไม่ว่าจะเป็นขาเข้าหรือขาออกก็ได้ หรือจะนั่งรถไฟฟ้าไปที่นี่ในช่วงระยะเวลาที่อยู่สิงคโปร์ ก็ใช้เวลาไม่นาน พลาดไม่ได้แล้วจริงๆ สำหรับบทความนี้ Living Pop ต้องขอจบลงเพียงเท่านี้ แล้วพบกันในบทความต่อไป สวัสดีครับ 😀

ที่มาภาพ: Travel man / Shutterstock.com
Related posts
ไลฟ์สไตล์

รู้ทันเชื้อโรค การ์ดไม่ตก ปลอดภัยจาก Covid-19 พาส่อง 8 ไอเทมช่วงโควิดที่ต้องมีติดบ้าน

ไลฟ์สไตล์

เอาใจสายคลีนกับ 6 ร้านเบเกอรีเพื่อสุขภาพที่ฮอตที่สุดบน IG

ไลฟ์สไตล์

บ๊ายบายสวนน้ำ Cartoon Network Amazone ตุลานี้กลับมาใหม่ในธีม "Columbia Pictures' Aquaverse"

ไลฟ์สไตล์

เช็กอิน "8 ลานสเก็ตทั่วกรุงเทพ" เดินทางง่าย ใกล้รถไฟฟ้า