fbpx
รีวิวเจาะลึก

รีวิวเจาะลึก : “ศุภาลัย เวอเรนด้า สุขุมวิท 117” คอนโดติดรถไฟฟ้า ต่อเดียวถึงสยาม ห้องใหญ่ ในราคาซื้อได้จริง ราคาเดียว 1.75 ล้าน

สวัสดีครับ วันนี้ LivingPop จะพาเพื่อนๆ มาดูโครงการคอนโดมิเนียม Highrise ในงบประมาณเริ่มต้นแบบล้านปลายๆ แต่ได้คอนโดวิวดี ติดรถไฟฟ้า!!

กับโครงการ “Supalai Veranda Sukhumvit 117” ที่นี่ไม่ต้องเข้าซอย ไม่ต้องเดินไกล แค่ 200 เมตรจาก BTS สถานีปู่เจ้า ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายหลักด้วย เข้าเมืองต่อเดียวไม่ต้องเปลี่ยนสาย อยู่ติดถนนใหญ่อย่างสุขุมวิท ขายแบบราคาเดียวแค่ 1.75 ล้านบาท* (เฉพาะยูนิตที่บริษัทกำหนด) 

ฟังดูน่าสนใจใช่ไหมครับ เดี๋ยวเราจะพาไปดูกันว่าที่โครงการนี้ เป็นอย่างไรกันบ้าง


จุดเด่นโครงการ

200 เมตรจากรถไฟฟ้าสถานีปู่เจ้า เดินไป Big C ได้

คอนโดไฮไรส์ส่วนกลางครบ

ห้องใหญ่แต่ราคาเริ่มแค่ 1.75 ล้าน

รถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท

รถไฟฟ้าสายหลักเส้นแรกของกรุงเทพฯ

ถ้าย้อนกลับไปดูว่ารถไฟฟ้าสายไหน เป็นสายแรกของกรุงเทพ ก็ต้องบอกว่าเป็นรถไฟฟ้า BTS นี่เองครับ โดยเค้าเริ่มเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2542 หรือจนถึงปัจจุบันนี้ก็ 23 ปีเข้าไปแล้ว โดยในตอนแรกที่ BTS เปิดให้บริการ ระยะก็จะวิ่งอยู่แค่ในเมืองครับ มี 2 สายที่เปิดพร้อมกันคือสายสีลม กับสายสุขุมวิท

สายสีลมเองนี่ก็จะวิ่งจากสะพานตากสิน ไปจนถึงสนามกีฬาแห่งชาติ ส่วนสายสุขุมวิทก็จะวิ่งจากสถานีหมอชิตมาจนถึงอ่อนนุช ด้วยความที่เป็นรถไฟฟ้าสายหลักสายแรก เส้นทางของรถไฟฟ้า BTS ทั้งสองสายก็จะผ่านจุดสำคัญแบบเน้นๆ เลย

อย่างสายสีลมนี่ก็จะวิ่งผ่านสาทร สีลม พระราม 4 สยาม ส่วนสายสายสุขุมวิทก็จะวิ่งผ่านเส้นพหลโยธิน, สยาม, เพลินจิต, อโศก, ทองหล่อ, เอกมัย เป็นแนวที่วิ่งตามโซนออฟฟิศหรือ CBD (Central Business District) เลยครับ ผ่าน Prime Area แทบทั้งนั้น

ซึ่งการมาของรถไฟฟ้าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เราก็คงเห็นกันแล้วหล่ะฮะ ว่าเมืองก็ได้มีการโตตามแนวรถไฟฟ้าแบบเยอะมากครับ ราคาที่ดินในเมืองปัจจุบันก็ไปกันตารางวาละ 2-3 ล้านกันแล้ว ด้านรถไฟฟ้าเองก็มีการสร้างส่วนต่อขยายออกมาเพื่อกระจายความเจริญและทำให้เส้นทางครอบคลุมมากขึ้นเช่นเดียวกัน

รถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิทเอง ช่วงประมาณปี 2554 มีการเปิดให้บริการส่วนต่อขยายช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง ซึ่งปัจจุบันก็เป็นโซนออฟฟิศ, ห้าง และที่พักอาศัยย่านนึงที่คึกคัก

และล่าสุดรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิทก็ได้มีการสร้างส่วนต่อขยายออกไปอีกเยอะพอสมควร อย่างด้านหมอชิต ก็ได้มีการสร้างต่อไปทางรัชโยธิน, สะพานใหม่ ไปสุดที่ลำลูกกา ส่วนด้านฝั่งบางนาก็มีการสร้างต่อมายังสำโรง, ปู่เจ้า, เข้าตัวเมืองสมุทรปราการและสุดที่สถานีเคหะฯ ซึ่งเปิดให้บริการในช่วงปี 2561-2563 ที่ผ่านมานี่เองครับ

ถ้าสังเกตก็จะเห็นว่าปัจจุบันรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท นอกจากในเมืองจากผ่านจุดที่เป็น CBD โซนแหล่งงาน แหล่งออฟฟิศ และห้างต่างๆ แล้ว รถไฟฟ้าสายนี้ยังเชื่อมต่อกัน 3 จังหวัด ทั้งปทุมธานี, กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ ทำให้หน้าที่ของรถไฟฟ้าสายนี้ก็จะเป็นเหมือนกับรถไฟฟ้าสายหลักที่พาผู้โดยสารตรงเข้าสู่ใจกลางเมืองด้วยนั่นเองครับ

ต่อเดียวถึงสยาม

ด้วยความที่รถไฟฟ้าสายนี้ มีส่วนต่อขยายที่ออกมาจากในเมือง ทำการจะเข้าไปในโซนทองหล่อ, อโศก, เพลินจิต, สยาม จากที่นี่ ก็จะไม่ต้องเปลี่ยนสายครับ สามารถนั่งยาวๆ เข้าไปได้เลย ซึ่งอย่างที่เราบอกไปว่าตัวโครงการตั้งอยู่ห่างจาก BTS สถานีปู่เจ้าประมาณ 200 เมตร เราลองมาดูกันครับว่าจากที่นี่ ไปแต่ละสถานี ใช้เวลาประมาณเท่าไหร่

สถานีปู่เจ้า >> สถานีบางนา : 5 นาที
สถานีปู่เจ้า >> สถานีอ่อนนุช : 12 นาที
สถานีปู่เจ้า >> สถานีทองหล่อ : 18 นาที
สถานีปู่เจ้า >> สถานีอโศก : 22 นาที
สถานีปู่เจ้า >> สถานีเพลินจิต : 25 นาที
สถานีปู่เจ้า >> สถานีสยาม : 29 นาที
สถานีปู่เจ้า >> สถานีอนุสาวรีย์ชัย : 33 นาที
สถานีปู่เจ้า >> สถานีหมอชิต : 43 นาที

ก็จะเห็นได้ว่าเข้าเมืองใช้เวลาไม่นานมากครับ สำหรับใครที่ใช้ชีวิตหรือทำงานอยู่กับเส้นทางแนวนี้เป็นหลัก

การเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่น

สำหรับรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว นอกจากจะเป็นสายหลักเข้าสู่เมือง สายนี้ก็จะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่นค่อนข้างเยอะมากเช่นเดียวกัน เราลองมาดูกันครับว่าตลอดสายของเส้นนี้ จะเชื่อมต่อกับใคร แล้วสามารถไปไหนได้บ้าง

สายสีชมพู – สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ : ที่บริเวณวงเวียนหลักสี่ จะเป็นจุดตัดของรถไฟฟ้าสายสีชมพูกับสายสีเขียว สายสีชมพูจะวิ่งจากบริเวณแคราย – ติวานนท์ – แจ้งวัฒนะ – รามอินทรา เปิดให้บริการบางส่วนในช่วงปลายปีนี้ครับ

สายสีน้ำตาล – สถานีม.เกษตรศาสตร์ : จุดนี้จะมีสายสีน้ำตาลที่วิ่งจากแคราย-งามวงศ์วานวิ่งตัดผ่าน สายนี้จะวิ่งบนถนนเกษตร-นวมินทร์ไปสุดที่บริเวณแยกลำสาลีที่ถนนรามคำแหง คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงปี 2571 ครับ

สายสีน้ำเงิน – สถานีห้าแยกลาดพร้าวและหมอชิต : บริเวณ 5 แยกลาดพร้าวและหมอชิตจะเป็น interchange ที่สามารถเชื่อมต่อไปรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินที่เป็น loop line วิ่งวนรอบเมืองได้

ซึ่งพอเป็น loop line วิ่งเป็นกึ่งๆ วงกลม ทำให้มีจุดตัดกับรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิทอีกจุดนึง นั่นก็คือบริเวณแยกอโศกนั่นเองครับ

ARL และรถไฟฟ้าสายสีแดง – สถานีพญาไท : ปัจจุบันสถานีพญาไทจะเป็นจุดเริ่มต้นของรถไฟฟ้า ARL ที่ไปสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ในอนาคตมีโครงการที่จะเชื่อมต่อไปสถานีกลางบางซื่อ และมีรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนเข้ามาเชื่อมต่อด้วยครับ แต่อาจจะยังใช้เวลาอีกซักพัก

ายสีส้ม – สถานีราชเทวี : รถไฟฟ้าสายสีส้ม อีกหนึ่งสายสำคัญที่วิ่งตัดผ่านในเมืองจากรามคำแหงไปฝั่งธน ปัจจุบันด้านตะวันออกสร้างใกล้เสร็จแล้วเตรียมเปิดให้บริการในอีก 3 ปีข้างหน้า ส่วนสายสีส้มทิศตะวันตกคาดว่าเปิดปี 2571 ถ้าส่วนนี้ถ้าเปิดก็จะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่สถานีราชเทวี

สายสีลม – สถานีสยาม : จุดนี้คนน่าจะคุ้นเคย กับการเปลี่ยนสายระหว่างสายสุขุมวิทไปสายสีลมที่สถานีสยาม เป็นอีกหนึ่งสถานีที่มีคนใช้หนาแน่นครับ

สายสีเทา – สถานีทองหล่อและพระโขนง : สำหรับสายสีเทา จะแบ่งออกเป็น 2 สายย่อยครับ สายสีเทาเหนือจะตัดบริเวณทองหล่อ วิ่งออกไปทางเพชรบุรี, ประดิษฐ์มนูธรรม จนถึงรามอินทรา/วัชรพล ส่วนสายสีเทาใต้จะมีจุดตัดที่สถานีพระโขนงวิ่งตามถนนพระราม 4 สาทร พระราม 3 เส้นทางคล้ายกับ BRT เดิมครับ สายนี้ส่วนเทาเหนือคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2573 ครับ ส่วนเทาใต้ยังไม่มีกำหนด

สายสีเงิน – สถานีอุดมสุข/บางนา : สำหรับสายสีเงิน จะเป็นสายใหม่ล่าสุดวิ่งไปตามเส้นบางนาไปจนถึงสนามบินสุวรรณภูมิ สายนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2572 ครับ

สายสีเหลือง – สถานีสำโรง/รัชโยธิน : จุดนี้จะเป็นต้นสายของรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่จะวิ่งบนเส้นเทพารักษ์-ศรีนครินทร์-ลาดพร้าวไปสุดที่รัชดา เตรียมเปิดให้บริการช่วงปลายปีนี้ โดยในฝั่งด้านรัชดา-ลาดพร้าวก็มีแผนในอนาคตที่จะสร้างส่วนต่อมาถึงรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิทที่สถานีรัชโยธินด้วยเช่นเดียวกันครับ

ที่ตั้งโครงการ

200 เมตรจากรถไฟฟ้า BTS ปู่เจ้า ใกล้ทางด่วน ใกล้ห้าง

อย่างที่เราบอกไปครับว่าโครงการนี้มาในราคาที่จับต้องได้ สำหรับใครที่กำลังมองหาคอนโดงบเริ่มต้นล้านปลายๆ ถึง 2 ล้าน ดังนั้นด้วยงบประมาณนี้ถ้าเป็นโซนสุขุมวิทด้วย ราคาที่ดินต่างๆ ในปัจจุบัน ตัวเลือกก็จะได้สถานีที่เขยิบออกมาหน่อย

ซึ่งในงบเดียวกันหลักๆ ก็จะมี 2 ตัวเลือกครับระหว่างสถานีใกล้ขึ้นหน่อย แต่อยู่ในซอย อาจจะต้องต่อรถนิดนึง ส่วนใหญ่จะเป็นอาคาร Low Rise 

หรืออีกทางเลือกก็จะเป็นโครงการที่จะอยู่ติดกับรถไฟฟ้า ติดถนนใหญ่เลย แต่ได้สถานีที่ถัดออกมาอีกนิดนึง ยอมนั่งรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นนิด แต่ไม่ต้องต่อรถ/เปลี่ยนสาย ซึ่งทั้ง 2 แบบอันนี้ก็จะมีข้อดี/ข้อด้อยที่แตกต่างกันออกไป เอาจริงก็ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบแบบไหนครับ และสภาพแวดล้อมของแต่ละโซนครับ

อย่างที่นี่ แน่นอนว่าเป็นตัวเลือกในแบบหลัง คือถัดออกมานิด แต่ติดรถไฟฟ้า ซึ่งที่ตั้งของโครงการก็คือ BTS สถานีปู่เจ้า จะเป็นสถานีที่ถัดออกมาจากสถานีสำโรงที่เป็น Interchange กับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองสถานีนึงครับ

โดยที่ตั้งของโครงการจะอยู่ฝั่งขาออกของถนนสุขุมวิท ห่างจากตัวสถานีรถไฟฟ้าประมาณ 200 เมตร ดังนั้นจากโครงการสามารถเดินไปรถไฟฟ้าได้สบาย ฟุตบาทกว้าง รอบข้างไม่เปลี่ยว

บรรยากาศรอบข้างโครงการจุดนี้จะเป็นโซนที่เริ่มมีคอนโดมิเนียมมาตั้งอยู่ (แน่นอนว่ารถไฟฟ้ามาคอนโดก็ตามมา) ส่วนแหล่งงานใกล้ๆ โครงการนี่ก็จะมีโรงงานหลายจุดครับ ดังนั้นที่นี่ก็จะสะดวกสำหรับคนที่ทำงานในย่านแถวนี้ และสะดวกสำหรับกลุ่มที่ใช้รถไฟฟ้านั่งเข้าไปทำงานในเมืองย่านสุขุมวิท-อโศก-เพลินจิตครับ

ติดกับตัวสถานีรถไฟฟ้า จะเป็นที่ตั้งของห้าง Big C อยู่ด้วย สามารถมาใช้บริการฝากท้องซื้อของเข้าบ้านจากที่นี่ได้เลย ระยะเดินจากโครงการได้เช่นเดียวกัน ส่วนถ้าใครไม่อยากเดินไกล ใกล้ๆ กับโครงการจะเป็นซอยสุขุมวิท 117 ตรงนี้ก็จะเป็นที่ตั้งของ 7-11 และมีร้านของกินอยู่บริเวณปากซอยเช่นเดียวกัน

ส่วนถัดจากโครงการไปนิดนึงก็จะเป็นจุดขึ้นลงทางด่วนกาญจนาภิเษกไปบางนา – พระราม 2 – สุขสวัสดิ์ได้ครับ

“ถ้าใช้รถ ที่นีมี Shortcut 20 นาที ถึงย่านพระราม 3 – สาทร”

ใช้ทางด่วนกาญจนาภิเษก ขึ้นสะพานภูมิพลเข้าสู่ย่านพระราม 3 ได้

สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวก็จะมีหลายทางเลือกครับ เนื่องจากตัวโครงการอยู่ติดกับถนนสุขุมวิทเลย ก็สามารถใช้เส้นสุขุมวิทเพื่อเข้าเมืองได้ แต่ก็อย่างที่เราทราบกันว่าถนนเส้นนี้รถค่อนข้างจะหนาแน่นในช่วงเวลาทำงาน ดังนั้นทางด่วนก็เป็นอีกทางเลือกนึงสำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์เดินทางเป็นหลักครับผม

โดยจุดขึ้นลงทางด่วนที่ใกล้กับโครงการจะมีด้วยกัน 2 จุดครับ จุดแรกอยู่ที่บริเวณแยกบางนา จะเป็นจุดขึ้นลงเพื่อใช้งานทางด่วนเฉลิมมหานครสำหรับเข้าเมือง ซึ่งจุดนี้จะอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 4.5 กิโลเมตรขาเข้าเมือง

แต่จุดที่เป็นเหมือนกับ Shortcut ย่นระยะเวลาเข้าเมืองได้ดี ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบ นั่นก็คือทางด่วนกาญจนาภิเษก ที่มีจุดขึ้นลงอยู่ห่างจากโครงการไปประมาณ 500 เมตรครับ

จากเส้นทางนี้ นอกจากจะไปเมกาบางนาแล้ว ยังสามารถใช้เพื่อเข้าเมืองได้ โดยวิ่งไปทางสุขสวัสดิ์แล้วข้ามสะพานภูมิพล หรือถนนวงแหวนอุตสาหกรรม พอลงสะพานก็จะถึงกับย่านพระราม 3 ทันทีครับ ซึ่งจากตรงนี้นิดเดียวก็จะเข้าสู่ย่านสาทรได้

วันที่ทีมงานมารีวิวโครงการ ขากลับก็ได้ลองใช้เส้นทางนี้ ก็ใช้เวลาแปปเดียวจากย่านสุขุมวิท-สำโรง ก็มาถึงพระราม 3 แล้วฮะ

รูปนี้ลองตั้ง Google Maps เซ็ตเวลาออกจากบ้านเป็น 9 โมงเช้า Google บอกว่าจะใช้เวลา 18-40 นาที ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรของแต่ละวัน ซึ่งปลายทางอันนี้เราปักเป็นแยกช่องนนทรีเลยครับ ไม่ใช่แค่ข้ามสะพานมาลงพระราม 3 ถือว่าค่อนข้างไวมาก


รูปแบบโครงการ

คอนโด Hige Rise 34 ชั้น 1,099 ยูนิต ส่วนกลางครบพร้อม Co-Working Space ที่ชั้นดาดฟ้า

ข้อมูลโครงการ

ชื่อโครงการ :Supalai Veranda สุขุมวิท 117
Developer :บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
เนื้อที่โครงการ :4-2-29 ไร่
จำนวนห้องพักอาศัย :ห้องพักอาศัย 1,099 ยูนิต และร้านค้า 6 ยูนิต
รูปแบบโครงการ :High Rise 34 ชั้น 1 อาคาร
ลิฟต์ :ลิฟต์โดยสาร 4 ตัว และเซอร์วิสลิฟต์ 1 ตัว
ที่จอดรถ : 50% (รวมจอดซ้อนคัน)
ค่าส่วนกลาง :35 บาท/ตารางเมตร/เดือน
ค่ากองทุน :350 บาท/ตารางเมตร
Facility :– Lobby
– Mail Room
– EV Charger
– พื้นที่สวนชั้น 1, 8 และ 33
– 34
– Meeting Room
– Infinity Edge Swimming Pool
– Jacuzzi
– Sauna
– Fitness
– Aerobic Room
– Co-living Space
– Co-working Space
แบบห้อง : Studio ขนาด 27 – 29 ตารางเมตร
1 Bedroom ขนาด 31.5 – 41 ตารางเมตร
1 Bedroom Plus ขนาด 52 ตารางเมตร
2 Bedroom ขนาด 61 – 65 ตารางเมตร
ราคา :เริ่มต้น 1.75 ล้านบาท
ราคาเฉลี่ย : ประมาณ 66,000 บาท/ตารางเมตร
สถานะโครงการ :สร้างเสร็จแล้วพร้อมเข้าอยู่

โครงการ Supalai Veranda สุขุมวิท 117 เป็นโครงการ High Rise ที่อยู่ติดถนนสุขุมวิทเลย การเข้าออกสะดวกสบายแน่นอนครับ ไม่ต้องเข้าซอกซอยซอกแซก แถมยังอยู่ใกล้กับ BTS สถานีปู่เจ้าด้วย ผมลองเดินจาก BTS มาที่โครงการใช้เวลาไม่กี่นาทีเอง ในส่วนของตัวโครงการจะมีห้องพักอาศัยทั้งหมด 1,099 ยูนิต เรียกได้ว่ามีห้องเยอะเลย เริ่มตั้งแต่ Studio ไปจนถึง 2 Bedroom ซึ่งต้องบอกว่าราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.75 ยังไม่ถึงสองล้าน อยู่ใกล้ BTS ไปทำงานง่าย ไปธุระสะดวก ไปเที่ยวก็สบาย ทำเลอาจจะไม่ได้อยู่ในเมืองก็จริง ขยับออกมาหน่อย แต่รับรองว่าได้ห้องกว้างกว่าและราคาดีแน่นอน

สำหรับพื้นที่ส่วนกลางก็จะกระจายอยู่ที่ชั้น 1, 8, 33 และ 34 อาจจะไม่ได้มีเยอะเว่อวัง แต่ Facilities ที่เขาให้ก็ครบครันแล้วครับ แถมพื้นที่ของแต่ละ Facilities ก็กว้างขวางมากด้วย มีทั้ง indoor และ outdoor ให้เราได้เลือก ผมบอกเลยว่าไฮไลต์ของโครงการคือสระว่ายน้ำที่ได้วิวของรถไฟฟ้าเต็มๆ เวลาที่รถไฟฟ้าเคลื่อนขบวนผ่าน ถ้าเราไปอยู่ที่ขอบสระจะรู้สึกว่าอยู่ใกล้กับตัวขบวนรถไฟฟ้ามากๆ หรือถ้าเพื่อนๆ ชอบวิวเมือง วิวตึก วิวท้องฟ้า ด้านบนก็มีพื้นที่ส่วนกลางให้เราได้ไปใช้เช่นเดียวกันฮะ อ่อ แต่ถึงจะใกล้รถไฟฟ้า แต่ที่นี่สระจะอยู่สูงกว่านะครับ ดังนั้นเรื่องความเป็นส่วนตัว คนจากในรถไฟฟ้าก็จะไม่เห็นเราตอนว่ายน้ำครับ


พื้นที่ส่วนกลาง

จัดมาให้ครบ ทั้งสวนและสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ที่ชั้น 1, สระว่ายน้ำ infinity edge ที่ชั้น 8 และ Co-Working Space ที่ชั้น rooftop

สำหรับพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ Supalai Veranda สุขุมวิท 117 อย่างที่บอกไปว่าจะมีอยู่ 3 ชั้นด้วยกัน แต่ละชั้นกิจกรรมก็จะแตกต่างกันไปครับ ซึ่งโครงการนี้เขาให้พื้นที่สีเขียวมาค่อนข้างเยอะเลย ชั้นไหนมีส่วนกลาง ชั้นนั้นก็ต้องมีสวนสีเขียวขนาดใหญ่ด้วย เดี๋ยวผมจะพาเพื่อนๆ ไปดูส่วนกลางแต่ละโซนกันว่าจะมีอะไรบ้าง แต่ละห้องจะน่าสนใจแค่ไหน น่ามาใช้งานรึเปล่า ตั้งแต่ทางเข้าคอนโดยันชั้นดาดฟ้าเลยฮะ

ด้านหน้าโครงการ

มาเริ่มกันที่ด้านหน้าทางเข้าโครงการก่อนเลย ก็มีป้ายชื่อโครงการขนาดใหญ่ ขับรถมาหางตาคือต้องเห็นบ้างแหละ ด้านหน้าเขามีสวนเอาไว้ให้นั่งเล่นชิวๆ ก่อนเข้าไปด้านในคอนโดด้วยนะ ทางเดินรถจะเป็นแบบทางเดียวนะครับ แต่ตรงกลางอาคารจะมีจุด Drop-off ให้ จะได้ไม่ต้องไปวนรถไกล หรือเวลาเรานั่งแท็กซี่ นั่ง Grab มาก็มาจอดที่จุด Drop-off แล้วให้แท็กซี่วนออกได้เลย ส่วนช่องตรงกลางจะเป็นทางเดินของลูกบ้านครับ ใครไม่ได้ใช้รถก็เดินเข้าไปตามทางเพื่อเข้าไปยัง Lobby ได้เลย

มุมนี้จะเป็นจุด Drop-off ที่ผมบอกครับ เลี้ยวมาจอดตรงนี้แล้ววนออกได้เลย จะอยู่ติดกับ Lobby พอดี แล้วเขายังมี EV Charger มาให้ด้วยฮะ อยู่บริเวณด้านหน้าโครงการเลย


Lobby

บริเวณ Lobby ค่อนข้างกว้างและใหญ่ มีที่นั่งเยอะมากๆ แถมดีไซน์ยังดูดีมีลูกเล่น ไม่เชยด้วยครับ เดี๋ยวนี้เรียกศุภาลัยว่าป้าได้ไม่เต็มปากแล้วนะ เขามีความวัยรุ่นวัยใส ทันสมัยตามเทรนด์อยู่เด้อ ที่ Lobby มีพื้นที่พอให้เรามานั่งเล่น นั่งทำงาน นั่งรอแท็กซี่ รอเพื่อน หรือจะใช้เป็นที่สำหรับรับแขก คุยธุระต่างๆ ก็ได้ ค่อนข้างอเนกประสงค์เลย


Mail Room

ในส่วนของ Mail Room จะอยู่ใกล้ๆ กับทางเข้า Lobby เลยครับ เขาไม่ได้วางตู้จดหมายไว้ติดพื้นด้วย มีความห่างจากพื้นขึ้นมาพอสมควร ลูกบ้านจะได้ไม่ต้องก้มเยอะให้ปวดหลัง


Meeting Room

ติดกับ Lobby จะมีห้องประชุมด้วย มานั่งทำงานชิวๆ ได้เลย ห้องค่อนข้างกว้างครับ จะมาใช้พร้อมกันหลายคนก็ได้นะ


พื้นที่สวน + Playground

ถ้าเราเดินไปตามทาง จะเห็นว่าด้านหลังสุดของโครงการเขามีพื้นที่สวนขนาดใหญ่ด้วยนะครับ ซึ่งสวนนี้มีทั้งสนามเด็กเล่น ในมุมของเล่นเด็กจะใช้เป็นหญ้าเทียม แต่นอกนั้นใช้หญ้าจริงหมดเลย มีโซนออกกำลังกายเบาๆ มีมุมศาลาพักใจ และมุมนั่งเล่นกระจายอยู่ประปราย

โซนของเล่นเด็ก มีมุมให้วิ่งเล่นได้เยอะเลย สไลเดอร์ก็มี 2 ฝั่ง ถ้ามาซื้อห้องอยู่แบบเป็นครอบครัว มีลูกมีหลาน หรืออยู่กันสองคนแล้วแพลนว่าจะมี สวนตรงนี้บอกเลยว่าน่าพามาวิ่งเล่นมากๆ ครับ ยิ่งตอนเย็นๆ บรรยากาศคือดี ด้วยความที่มุมนี้อยู่ด้านในสุดของโครงการ เสียงรถราที่สัญจรไปมาก็จะไม่ค่อยได้ยิน มีความเงียบสงบอยู่ฮะ

เครื่องออกกำลังกายแบบเบาๆ เขาก็มีนะ

มุมพักผ่อนหย่อนใจอื่นๆ ฮะ ใครเป็นสายคอนเทนต์ ลองเอาเซ็ตปิคนิคมาจัดสวยๆ แล้วถ่ายลงโซเชียลผมว่าปังนะ ต้องมีคนทักมาถามแน่ๆ ว่าถ่ายที่ไหน

ส่วนกลางที่ชั้น 1 หมดแล้ว เดี๋ยวมาดูที่ชั้น 8 กันบ้างครับ ในชั้นนี้ส่วนกลางจะมีทั้งฝั่งด้านหน้าและด้านหลังเลย


Aerobic Room

ก่อนจะเดินไปถึงสระว่ายน้ำ เราจะผ่านห้องแอโรบิคก่อนครับ จริงๆ ห้องนี้ทำกิจกรรมได้หลายอย่างเลยนะ เพราะเขาติดกระจกมาแบบรอบด้าน เพื่อนๆ อยากจะมาเล่นโยคะ มาซ้อมเต้น มาเรียนเต้น เรียนคลาสต่างๆ ก็มาที่ห้องนี้ได้เลย


Fitness

ห้องออกกำลังจะแบ่งเป็น 3 โซนหลักๆ ทั้งโซน Weight Training โซนลู่วิ่ง และโซนเครื่องออกกำลังกาย ไม่ว่าจะอยากออกแบบไหน ก็มีเครื่องเล่นรองรับลูกบ้านแน่นอนครับ

มีเครื่องเล่นหลากหลายแบบเลย


Co-living (Open-air)

เดินเลย Fitness มาจะเจอกับโซนที่เป็น outdoor ครับ โซนนี้ก็จะเป็น Co-living เหมือนกัน มีพื้นที่นั่งเล่นกระจายอยู่รอบๆ ใครเบื่อห้องแอร์ อยากได้อารมณ์เหมือนนั่งด้านนอก โดนลม แต่ไม่โดนแดด มุมนี้ก็น่ามานั่งทีเดียว


Infinity Edge Swimming Pool

สระว่ายน้ำของที่นี่ก็ต้องบอกว่ากว้างมากกกกก มาเล่นน้ำ 6 – 7 คนพร้อมกันก็ยังรู้สึกไม่แน่น ด้วยความที่สระเป็นรูปตัว U ทำให้เราสามารถดูวิวได้รอบทิศเลย ตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าปู่เจ้าไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ริมสระว่ายน้ำเองก็มีเก้าอี้ Daybed วางไว้ให้ด้วย เผื่อนอนเล่น แต่ไม่ได้อยากเปียก ยังคงให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่ในน้ำ นอกจากนี้ดีไซน์ตัวพื้นสระว่ายน้ำก็ค่อนข้างสวย ทำให้น้ำดูสว่างและน่าเล่นมากยิ่งขึ้นครับ

จากวิวสระว่ายน้ำ เราก็จะเห็น BTS สถานีปู่เจ้าที่อยู่ห่างออกไป 200 เมตร ริมสระว่ายน้ำมี Rain Shower แบบ outdoor ด้วย ถ้าเพื่อนๆ อยากเห็นว่าเวลารถไฟฟ้าผ่านสระว่ายน้ำจะเป็นยังไง มีรูปด้านล่างอยู่นะฮะ ยิ่งถ้าเราไปอยู่ตรงขอบสระ เรายิ่งเห็นชัดเลย แอบกระซิบว่าตอนทีมงานมารีวิวถ่ายมุมนี้ลง story มีแต่คนทักว่าสระสวยมากกก


พื้นที่สวนชั้น 8

ส่วนกลางด้านหน้าหมดแล้ว ทีนี้ถ้าเราเดินย้อนมาฝั่งด้านหลังบ้าง จะเจอกับพื้นที่สวนสีเขียวตรงนี้ครับ จะเป็นวิวอีกแบบนึง ก็เรียกได้ว่าเป็นวิวเมือง วิวอาคารบ้านเรือนต่างๆ แต่ไม่ได้มีตึกสูงอะไรมาบดบังทัศนียภาพนะ


Co-living Space

ขึ้นมาชั้น 33 จะเจอกับ Co-living Space ก่อนเลยครับ แต่ว่าห้องนี้เขาจะไม่มีแอร์นะ เขาทำเป็นกึ่งๆ outdoor ครับ จะมีหน้าต่างให้เปิดออกเพื่อรับลมได้ อากาศด้านนอกก็จะถ่ายเทเข้ามาด้านใน ทำให้เรารู้สึกไม่ร้อน


พื้นที่สวนชั้น 33

ถ้าเดินออกจาก Co-living Space มา จะเจอกับสวนสีเขียวขนาดใหญ่ครับ มีพื้นที่นั่งเล่นตามจุดต่างๆ ที่กลมกลืนไปกับสวน

สวนเขาจะมี 2 ฝั่งครับ มี Co-living Space (ที่ชั้น 33) กับ Co-working Space (ที่ชั้น 34) คั่นตรงกลางเอาไว้ ซึ่งด้านบนเขาก็ใช้ต้นไม้จริง ดอกไม้จริง และหญ้าจริงทั้งหมดเลย

สวนอีกฝั่งก็หน้าตาคล้ายกันครับ ใครที่ชอบมารับลมชมวิวเพลินๆ หรือจะมาวิ่งเล่นที่ชั้นนี้ บอกเลยว่าพื้นที่เหลือเฟือ ได้วิ่งเล่นจนเหนื่อยแน่ๆ แนะนำให้มาตอนเย็นๆ บรรยากาศจะผ่อนคลายกว่าตอนกลางวันฮะ


Co-working Space

ห้องนี้ได้เพดานสูง และกระจกรอบด้าน ให้เราสามารถชมวิวได้แบบเต็มๆ ตา เห็นทั้งวิวเมืองและวิวสวนทั้ง 2 ฝั่ง ด้านในมีพื้นที่นั่งเล่น นั่งทำงาน และพักผ่อนหย่อนใจหลายโซนเลย แสงตอนเย็นที่กระทบผ่านกระจกเข้ามาสวยมากครับ

วิวเมืองแบบไม่มีตึกมาบัง

วิวของที่นี่จะแบ่งออกเป็นสองฝั่งหลักๆ ครับ ฝั่งแรกคือฝั่งในเมือง ฝั่งนี้ก็จะเห็นเส้นขอบฟ้าที่เป็นตึกในเมืองเป็นหลัก โดยถัดออกไปประมาณ 400 เมตรจะเป็นตึกคอนโดข้างๆ แต่ก็อยู่ในระยะที่ค่อนข้างไกลครับ ดังนั้นระยะประชิดกับโครงการจะไม่มีตึกสูงมาบังเลย ค่อนข้างโปร่งโล่ง

ส่วนอีกฝั่ง ด้านหันออกไปนอกเมือง ฝั่งนี้จะได้วิวที่เห็นช้างสามเศียร ฝั่งนี้จะค่อนข้างโล่งกว่า และเห็นเส้นรถไฟฟ้าที่วิ่งผ่านจุดขึ้นลงทางด่วน ถัดออกไปก็จะเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาครับ

ส่วนกลางหลักๆ ก็จะมีประมาณนี้ แต่ละพื้นที่คือใหญ่อย่างที่ผมบอกมั๊ยฮะ แล้วก็อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าดีไซน์เขาสวย ดูทันสมัย ดูน่ามาใช้งาน

สำหรับค่าส่วนกลางจะอยู่ที่ 35 บาท/ตารางเมตร/เดือน ส่วนค่ากองทุนอยู่ที่ 350 บาท/ตารางเมตรฮะ


แปลงห้องและแปลนอาคาร

ห้องขนาดค่อนข้างใหญ่ เริ่มต้น 27 ตารางเมตร ไปจนถึง 2 ห้องนอน 60 กว่าตารางเมตร มีให้เลือกหลากหลายแปลน

แปลนอาคารขนานไปกับที่ดิน

แปลนอาคารของโครงการ Supalai Veranda สุขุมวิท 117 เป็นตอนลึกยาวเข้าไป ดังนั้นห้องพักอาศัยก็จะมีแปลนที่ไม่ซับซ้อนครับ เดินออกจากลิฟต์ถ้าไม่เลี้ยวซ้ายก็เลี้ยวขวา ชั้นนึงจะมีห้องพักอาศัยประมาณ 42 ยูนิต

ชั้น 8 จะมีพื้นที่ส่วนกลางทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ดูจากแปลนก็รู้แล้วครับว่าสระว่ายน้ำใหญ่แค่ไหน ใหญ่จริงผมคอนเฟิร์ม ชั้นนี้จะมีห้องพักอาศัยทั้งหมด 29 ยูนิต น้อยกว่าชั้นอื่นๆ ฮะ

ตำแหน่งลิฟต์อยู่ตรงกลาง ห้องที่อยู่ริมสุดจะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ไกลฮะ ส่วนใหญ่แล้วห้องที่อยู่หัวมุมของตึกก็จะเป็น 2 Bedroom ครับ


แปลนห้องหลายไทป์มีให้เลือกตามไลฟ์สไตล์

ห้องพักอาศัยของ Supalai Veranda สุขุมวิท 117 จะมีตั้งแต่ Studio ไปจนถึง 2 Bedroom มีหลากหลายขนาดและหลากหลายราคาให้เลือก แต่ 2 Bedroom จะมีน้อยกว่าเพื่อนครับ ส่วนใหญ่จะเป็นห้อง 1 Bedroom กับ Studio มากกว่า

Studio

สำหรับห้อง Studio จะมีทั้งหมด 3 ขนาด คือ 27, 28.5 และ 29 ตารางเมตร แปลนจะเหมือนกันหมดเลยครับ ต่างกันที่ขนาดเท่านั้นเอง โดยจะได้แปลนตอนลึก มีครัวและห้องน้ำอยู่ด้านหน้า ส่วนห้องนอนกับห้องนั่งเล่นอยู่รวมกัน มีมุมสำหรับโซฟา Daybed ด้วย แต่เราสามารถเปลี่ยนเป็นมุมอื่นๆ ได้ตามไลฟ์สไตล์เลย ห้องนี้เขาให้ช่องแสงมาเยอะนะครับ มีทั้งระเบียงและหน้าต่าง แสงจากด้านนอกสามารถส่องเข้ามาในห้องได้แบบเต็มๆ ทำให้ห้องดูสว่างตลอดทั้งวัน

1 Bedroom

สำหรับ 1 ห้องนอนจะมี 5 แปลนให้เลือก แต่ขนาด 31.5 ตารางเมตร เป็นแปลนเดียวกับ 35 ตารางเมตร แบบ Sukhumvit Suite ผมเลยไม่ได้ใส่มาด้วยนะครับ ทั้ง 4 แปลนนี้คือแตกต่างกันมากๆ 35 ตารางเมตรอาจจะคล้ายกันๆ บ้าง แต่ห้องไทป์ Sukhumvit Suite จะได้ห้องนอนแบบประตูบานเลื่อนกระจก ขนาดครัวที่ยาวขึ้น และห้องน้ำที่อยู่ติดครัว ส่วนห้องไทป์ Executive Suite ห้องนอนจะเป็นผนังทึบ ห้องน้ำต้องเข้าจากทางห้องนอนเท่านั้น และขนาดครัวที่สั้นกว่า

แล้วเขายังมีห้องไทป์ Superior Suite ด้วย ขนาด 35 ตารางเมตรเหมือนกัน แต่แปลนคนละเรื่องฮะ คือเข้ามาจะไม่ได้เจอห้องนั่งเล่นหรือห้องครัวเลย แต่จะเจอประตูห้องนอนอยู่ด้านหน้าแทน ด้านซ้ายจะเป็นห้องน้ำ ถ้าเลี้ยวไปทางด้านขวาถึงจะเจอกับมุมทานอาหารและโซนนั่งเล่น ห้องนี้ก็ได้ครัวปิดเช่นกัน พื้นที่ค่อนข้างยาวเลยครับ

ส่วนห้องไทป์ Deluxe Suite จะมีขนาด 41 ตารางเมตร แปลนจะไม่เหมือนห้อง 1 Bedroom อื่นๆ เวลาเดินเข้ามา เขาจะมีทางโล่งๆ เอาไว้ Built-in ตู้เก็บรองเท้า ตู้เก็บของเพิ่มได้ ส่วนทางขวาจะเป็นห้องน้ำ และทางซ้ายเป็นห้องครัวแบบปิด มีประตูบานเลื่อนกระจกให้ เดินเข้ามาหน่อยจะเป็นโซนทานอาหารและโซนนั่งเล่น ไทป์นี้จะได้ห้องนอนที่กว้างมากครับ กว้างกว่าห้องนั่งเล่นด้วยซ้ำไป

1 Bedroom Plus

ห้องนี้จะมีขนาด 52 ตารางเมตร เอาจริงเป็นห้องอเนกประสงค์หรือ Favorite Corner ที่ใหญ่มากๆ แทบจะเป็นห้องนอนเล็กอีกห้องแล้วครับ ห้องนี้เดินเข้ามาจะเจอโซนทานอาหารกับห้องนั่งเล่นก่อนเลย มีด้านซ้ายเป็นครัว และด้านขวาเป็นห้องน้ำ ส่วนห้องอเนกประสงค์กับห้องนอนจะมีห้องนั่งเล่นคั่นกลางเอาไว้

2 bedroom

สำหรับ 2 ห้องนอนจะมี 2 ขนาดครับ คือ 61 กับ 65 ตารางเมตร ซึ่งแปลนไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย ต่างกันตรงขนาดพื้นที่ ถ้าเดินเข้ามาจะเจอมุมทานอาหารก่อน มีห้องน้ำอยู่ทางซ้ายมือ ที่ติดกับห้องน้ำจะเป็นครัวแบบปิด พื้นที่เหลือเฟือครับ ทำอาหารจริงจังได้ทุกวัน ส่วนห้องนั่งเล่นอยู่ติดกับระเบียง ระเบียงจะยาวตั้งแต่ห้องนั่งเล่นไปจนถึง Master Bedroom เลย Master Bedroom มีห้องน้ำในตัว ส่วนฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นห้องนอนเล็กฮะ

นี่ก็เป็นแปลนห้องทั้งหมดของ Supalai Veranda สุขุมวิท 117 ฮะ เดี๋ยวเราไปดูห้องตัวอย่างกันบ้างดีกว่าว่าจะหน้าตาเป็นยังไง ตามไปอ่านกันต่อเล้ยยยย


มาดูห้องกัน

แปลนห้องเน้นพื้นที่กว้าง ไม่อึดอัด มีหลายรูปแบบให้เลือก ตามสไตล์ความชอบของแต่ละคน

สำหรับ Supalai Veranda สุขุมวิท 117 จะมีห้องตัวอย่างทั้งหมด 3 ห้องด้วยกัน คือ Studio ขนาด 29 ตารางเมตร และ 1 Bedroom ขนาด 35 ตารางเมตร จะมี 2 ห้อง เป็นแปลนคนละแบบ และต่างกันที่ดีไซน์การตกแต่งภายในครับ ห้องที่นี่จะขายแบบ Fully Fitted โดยจะได้ในส่วนของครัว มีเคาน์เตอร์และอ่างล้างจาน แต่ไม่มีเตาไฟฟ้าและเครื่องดูดควันให้ ส่วนห้องน้ำก็จะให้สุขภัณฑ์มาทั้งอ่างล้างหน้า กระจก ชักโครก ฉากกั้นกระจกนิรภัย ฝักบัว ชั้นวางของ และเครื่องทำน้ำอุ่น นอกจากนี้ก็จะมีวอลเปเปอร์ และแอร์ด้วยครับ

ตามมาดูห้องตัวอย่างกันฮะ


Studio ขนาด 29 ตารางเมตร

ห้องนี้จะเป็นห้องตอนลึก เอาครัวและห้องน้ำไว้ด้านหน้า ส่วนห้องนั่งเล่นกับห้องนอนจะอยู่รวมกัน ริมหน้าต่างก็มีโซน Daybed ที่เราจะเปลี่ยนเป็นโต๊ะทำงานก็ได้

บริเวณพื้นครัวจะเป็นกระเบื้องเซรามิกครับ ผนังที่ได้จะเป็นวอลเปเปอร์สีขาว ในส่วนของครัวจะได้เคาน์เตอร์และอ่างล้างจานเหมือนกับห้องตัวอย่างเลย แต่เตาไฟฟ้ากับเครื่องดูดควันจะไม่ได้มีให้ แต่ก็ติดตั้งระบบมาให้เรียบร้อยแล้ว เราสามารถซื้อมาติดตั้งเพิ่มเติมได้

ตรงข้ามเคาน์เตอร์ครัวจะเป็นห้องน้ำ ของที่ได้จะเหมือนกับห้องตัวอย่างเลยครับ คือมีอ่างล้างหน้า กระจก ชักโครก ห้องอาบน้ำ มีฉากกั้นกระจกนิรภัย ฝักบัว ชั้นวางของ และเครื่องทำน้ำอุ่น

เดินเข้ามาหน่อยก็จะเป็นโซนห้องนั่งเล่น โซฟาจะอยู่ติดกับเตียงนอนเลย วางโซฟาได้ประมาณ 2 ที่นั่งครับ พื้นจากที่เป็นกระเบื้องเซรามิกก็จะเป็นพื้นลามิเนตแทน

ตรงข้ามโซฟาทำเป็นชั้นวางทีวีและตู้เก็บของต่างๆ ได้

โซนห้องนอนที่รวมกับห้องนั่งเล่น สามารถวางเตียงขนาดใหญ่ได้ แล้วก็มีที่เหลือสำหรับโต๊ะข้างเตียงด้วย

พื้นที่ระหว่างเตียงกับ Daybed ค่อนข้างเยอะ ถ้าไม่วาง Daybed ก็วางโต๊ะทำงานได้ มีที่เหลือให้วางเก้าอี้ทำงานอยู่ครับ แล้วมุมโต๊ะข้างเตียง ถ้าไม่เอาโต๊ะข้างเตียง จะหาตู้เก็บของมาวางเพิ่มก็ได้นะ เผื่อมีของเยอะ จะได้มีที่เก็บแบบไม่เกะกะ

ตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะเครื่องแป้งก็สามารถวางด้วยกันได้ หรือจะวางเป็นตู้เสื้อผ้ายาวๆ แล้วเอาโต๊ะเครื่องแป้งไปรวมกับโต๊ะทำงานก็ได้เหมือนกัน

ระเบียงเขาเอาคอมเพรสเซอร์แอร์ไว้ด้านบน ทำให้ด้านล่างมีพื้นที่ว่างให้วางอย่างอื่นได้ รวมไปถึงเครื่องซักผ้าด้วย เขาเตรียมก๊อกน้ำ ท่อ และปลั๊กไฟมาให้เรียบร้อยแล้ว