รีวิวเจาะลึก

รีวิวเจาะลึก : “ศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง” คอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีส้มสถานี กกท. เข้าออกได้สองทาง ส่วนกลางจัดเต็ม


ถ้าพูดถึงคอนโดย่านราม แน่นอนครับ ช่วงนี้มีมาเปิดกันหลายโครงการเลย จากการมาของรถไฟฟ้าสายใหม่ อย่างรถไฟฟ้าสายสีส้ม แต่วันนี้เราจะพามาดูโครงการที่ไม่ได้แค่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า แต่ยังติดกับสนามกีฬาของกกท. และยังมีความพิเศษขึ้นไปอีกตรงที่ ที่นี่ติดถนนใหญ่ แต่เข้าออกได้สองทาง ทั้งฝั่งถนนรามและฝั่งถนนหัวหมาก กับโครงการ “ศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง”

ต้องบอกเลยว่าคอนโดนี้เพิ่งสร้างเสร็จหมาดๆ ชูจุดเด่นทั้งเรื่องของทำเลที่ติดทั้งรถไฟฟ้าและสนามกีฬา แถมส่วนกลางยังจัดมาให้ค่อนข้างเต็มมาก ที่นี่จะเป็นอย่างไร น่าสนใจแค่ไหน เดี๋ยวเราจะมาเล่าให้ฟังกันครับ

จุดเด่นโครงการ

ติดบันไดสถานีรถไฟฟ้ากกท.

ส่วนกลางหลากหลาย

เริ่ม 2.23 ล้าน ราคาเฉลี่ยตรม.ละ 76,000 บาท

รามคำแหง

หนึ่งในย่านที่มีความเจริญของโซนกรุงเทพตะวันออก วันนี้กำลังจะมีรถไฟฟ้าแล้วนะ

สำหรับย่านรามคำแหงเอง ต้องบอกว่าเป็นย่านนึงที่มีความเจริญในตัวเองมานานแล้วครับ เรียกว่าเป็นย่านเก่าแก่ย่านนึงของกรุงเทพฝั่งตะวันออกเลยสำหรับถนนสายนี้ที่เชื่อมต่อระหว่างถนนสุขุมวิท 71 มายังย่านบางกะปิ

ซึ่งเราก็จะเห็นชุมชนตั้งอยู่กับถนนสายนี้ค่อนข้างหนาแน่นครับ ทั้งบ้านต่างๆ ในซอย ตึกแถว อาคารออฟฟิศริมถนน ห้างต่างๆ ที่มาเปิดบนถนนรามคำแหงก็เยอะพอสมควร อย่างที่เราน่าจะคุ้นเคยกันก็อย่างเช่น The Mall รามคำแหง, บิ๊กซีหัวหมาก, เมเจอร์ฮอลลีวูด เป็นต้น

รวมไปจนถึงมีหน่วยงานราชการ และสถานศึกษามาตั้งอยู่ด้วย อย่างการกีฬาแห่งประเทศไทย , สนามราชมังฯ, มหาวิทยาลัยรามคำแหงและมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญตั้งอยู่

แผนที่สถานที่สำคัญในย่านรามคำแหง

ซึ่งถึงแม้ย่านนี้จะเป็นย่านที่ไม่ได้ถึงกับอยู่ใจกลางเมือง แต่ก็เป็นย่านที่มีความคึกคักในตัวเอง เป็นหนึ่งในถนนสายหลักของย่านนี้ ซึ่งในช่วงยุค 20-30 ปีที่แล้ว เราจะเห็นว่าย่านนี้มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดมากๆ มีห้างใหญ่ มีออฟฟิศมาเปิดในทำเลนี้ แต่พอมีรถไฟฟ้าในทำเลอื่น อาจจะทำให้การเติบโตของย่านนี้ยุค 10 ปีที่แล้วเงียบเหงาลงไปบ้าง

แต่การมาของรถไฟฟ้าสายสีส้ม ก็จะมาเปลี่ยนย่านนี้ให้กลับมาคึกคักอีกครั้งครับ ถ้าใครลองมาสำรวจทำเลก็จะเห็นเลยว่าปัจจุบัน นอกจากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าแล้ว บริเวณรอบๆ ก็จะมีโครงการต่างๆ กำลังก่อสร้าง/รีโนเวท รอรับการมาของรถไฟฟ้าสายใหม่นี้เช่นเดียวกัน

รถไฟฟ้าสายสีส้ม

รถไฟฟ้าในเมืองสายหลัก ผ่ากลางเมือง เชื่อมตะวันออกและฝั่งธน

ถ้าพูดถึงรถไฟฟ้าสายหลัก เส้นที่วิ่งจากนอกเมืองเข้าสู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ต้องบอกว่าจริงๆ ก็จะมีไม่กี่สายครับ ส่วนใหญ่ที่กำลังก่อสร้างหรือเป็นแผนในอนาคตจะเป็นสายรองที่วิ่งรอบนอกกันเป็นส่วนใหญ่ 

อย่างปัจจุบัน ถ้าเป็นรถไฟฟ้าในเมือง (Metro) สายที่วิ่งผ่านกลางเมืองก็จะมีรถไฟฟ้า BTS ทั้งสายสีลม และสายสุขุมวิท ที่สายสีลมวิ่งจากฝั่งธนมาถึงสยาม/สนามกีฬา, และสายสุขุมวิทที่วิ่งจากสมุทรปราการผ่านสุขุมวิททั้งเส้นและพหลไปจบที่ลำลูกกา นอกจากนั้นก็จะมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ที่วิ่งจากเพชรเกษม/จรัญ เข้ามาในเมืองย่านพระราม 4, อโศก นอกนั้นก็จะเป็นสายที่ไม่ได้ผ่านเข้ามาใจกลางเมืองโดยตรงแล้วครับ ส่วนรถไฟฟ้า ARL ที่ถึงแม้จะวิ่งมามักกะสัน/พญาไท แต่สถานีค่อนข้างน้อย จะออกแนวเป็นรถไฟฟ้าทางไกลสำหรับเชื่อมต่อสนามบินซะมากกว่า

จะเห็นได้ว่าสายที่วิ่งผ่าเข้ามาในเมือง จะมีไม่ค่อยเยอะมากครับ ซึ่งรถไฟฟ้าสายสีส้มเอง ก็จะเป็นรถไฟฟ้าสายใหม่ ที่จะวิ่งตัดตรงจากกรุงเทพตะวันออก เข้าใจกลางเมือง แล้วไปเชื่อมกรุงเทพตะวันตกด้วยเลย เป็นสาเหตุนึงที่หลายๆ คนค่อนข้างจะสนใจรถไฟฟ้าสายนี้กันเป็นพิเศษ ในมุมของอสังหาเส้นนี้ก็เหมือนมาเปิดทำเลใหม่ๆ ในราคาที่ยังไม่สูงเกินไป แต่ได้ทำเลที่อาจจะใกล้เมืองกว่ารถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายอื่นๆ แล้วยังนั่งรถไฟฟ้าเข้าใจกลางเมืองได้สะดวกครับ


เส้นทางเป็นอย่างไรบ้าง??

สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม จะแบ่งโครงการออกเป็น 2 ส่วนครับ คือสายสีส้มตะวันออก และสายสีส้มตะวันตก เริ่มงานก่อสร้างไม่พร้อมกัน

สายสีส้มตะวันออก :

สายนี้จะเริ่มต้นแต่ถนนรามคำแหง ช่วงตัดกับถนนร่มเกล้าบริเวณมีนบุรีครับ เป็นรถไฟแบบลอยฟ้า วิ่งตามถนนมาเรื่อยๆ ก่อนจะลงใต้ดินช่วงบริเวณหน้าหมู่บ้านสัมมากร จากนั้นก็จะวิ่งตามถนนนรามคำแหงตลอดสายมาถึงแยกที่ตัดกับถนนพระราม 9 (ผ่านหน้าโครงการตรงจุดนี้ครับ)

บริเวณนี้จะเลี้ยวมาวิ่งตามถนนพระราม 9 ก่อนจะเลี้ยวมาวิ่งตามถนนวัฒนธรรมแล้วสุดที่สถานี interchange กับสายสีน้ำเงินที่สถานีศูนย์วัฒนธรรม

ความคืบหน้าของรถไฟฟ้าสายนี้ปัจจุบันก่อสร้างไป 90 กว่าเปอร์เซ็นแล้วครับ แต่ยังขาดในเรื่องของสัญญาการติดตั้งระบบเดินรถและสัมปทานผู้เดินรถ ซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างการเปิดประมูลส่วนนี้พร้อมกับรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568

แนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันออก

สายสีส้มตะวันตก :

สำหรับรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก จริงๆ เส้นทางจะต่อเนื่องกับสายตะวันออกเลยครับ แค่แยกโครงการก่อสร้างกัน เริ่มจากที่สถานีศูนย์วัฒนธรรม ไปทางประชาสงเคราะห์ ออกดินแดง-ราชปรารภแล้วมาวิ่งตามแนวถนนเพชรบุรี ผ่านประตูน้ำ ราชเทวี ยมราช และผ่านย่านเมืองเก่าอย่างถนนราชดำเนินและสนามหลวง ก่อนจะลอดใต้แม่น้ำมาที่โรงพยาบาลศิริราชและสุดที่แยกบางขุนนนท์ครับ 

ซึ่งส่วนนี้จะเป็นรถไฟฟ้าแบบใต้ดินตลอดสาย คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2570 ช่วงปลายปีครับ

แนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มตลอดทั้งสาย

จากเส้นทางก็จะเห็นว่าถ้าสร้างเสร็จ จากย่านรามคำแหง แค่ 4-6 ป้ายก็จะถึงรัชดาแล้วครับ และถ้านั่งไปอีกนิดก็จะเชื่อมต่อกับ BTS สถานีราชเทวีได้เลยแค่ 1 ป้ายจากสยาม แต่ก็อาจจะต้องอดใจรอกันนิดนึงเพราะยังอีก 2-3 ปีครับ สายนี้ถึงจะเปิดให้บริการ


ใกล้อินเตอร์เชนจ์ 3 สาย

นอกจากตัวโครงการที่ติดกับรถไฟฟ้าสายสีส้มสถานีกกท.แล้ว ถัดออกไป 2 สถานีจะเป็นบริเวณของแยกลำสาลี ที่เปิด Interchange ใหญ่ของรถไฟฟ้า 3 สายด้วยครับ ได้แก่รถไฟฟ้าสายสีส้ม, สีเหลือง และสีน้ำตาล

แน่นอนว่าถ้าในแง่เข้าเมือง สายสีส้มก็จะสะดวกสุด แต่สำหรับ interchange นี้ก็จะช่วยให้เราสามารถเปลี่ยนไปย่านต่างๆ ได้สะดวกครับ อย่างรถไฟฟ้าสายสีเหลืองนี้ก็จะวิ่งตามแนวถนนลาดพร้าว และศรีนครินทร์ ส่วนสายสีน้ำตาลที่เป็นสายในอนาคตก็มีแนวเส้นทางที่จะวิ่งไปย่านถนนนวมินทร์/เกษตร-นวมินทร์ (ประเสริฐมนูกิจ)/ม.เกษตร/งามวงศ์วาน ไปจนสุดที่แยกแครายเจอกับรถไฟฟ้าสายสีม่วงและชมพูครับ

ซึ่งก็เป็นทางเลือกเพิ่มเติมในการเดินทางที่จุดเปลี่ยนรถอยู่ไม่ไกลจากโครงการ นอกจากนี้ในย่านนี้ก็จะมี Skywalk ไปห้างต่างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ อย่าง The Mall บางกะปิด้วยครับ

ที่ตั้งโครงการ

0 เมตรจากรถไฟฟ้าสายสีส้มสถานีกกท. เข้าออกได้สองทาง

สำหรับที่ตั้งโครงการ จะเป็นคอนโดที่ติดถนนรามคำแหงเลยครับ โดยหน้าโครงการจะอยู่ติดกับรถไฟฟ้าสายสีส้มสถานีกกท. ซึ่งจากสถานีนี้นั่งไป 6 สถานีก็จะสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมได้

พื้นที่ตัวโครงการจะเป็นแนวลึกครับ อยู่ติดกับพื้นที่ของกกท.ที่เป็นสนามกีฬาเลย ช่วงที่โครงการตั้งอยู่จะเป็นช่วงที่ถนนรามคำแหงมีสะพานคู่ขนานลอยฟ้าครับ รถด้านล่างก็จะไม่หนาแน่นมาก มีทางด้านบนแบ่งจำนวนรถไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ก็อาจจะเจอไฟแดงหลายแยกหน่อยครับ ซึ่งจุดที่โครงการตั้งอยู่จะอยู่ไม่ไกลจากจุดกลับรถมาก สามารถกลับรถเข้าโครงการได้เลยในระยะไม่ไกลมากถ้ามาจากฝั่งพระราม 9 

ซึ่งงานก่อสร้างรถไฟฟ้าบนถนนรามคำแหงก็คืบหน้าไปประมาณ 90% แล้ว น่าจะเตรียมเคลียร์พื้นที่ให้ถนนกลับมาวิ่งได้ปกติในเร็วๆ นี้ครับ

แผนที่บริเวณรอบโครงการ

เข้าออกได้สองทาง

อย่างที่บอกไปว่าตัวโครงการได้ที่ดินมาเป็นแนวลึก แต่ลึกที่ว่าคือ 600 เมตรไปทะลุถนนด้านหลังได้เลยครับ ดังนั้นที่นี่ก็จะได้ข้อดีคือสามารถเข้าออกได้สองทาง ซึ่งตัวถนนด้านหลังนี่ก็เป็นถนนใหญ่อีกเส้นหนึ่ง สามารถเชื่อมต่อไปออกพระราม 9, ศรีนครินทร์ หรือตรงต่อไปออกร่มเกล้า, ลาดกระบังได้เลย หรือจะใช้สำหรับออกไปขึ้นมอเตอร์เวย์/ทางด่วนเข้าเมืองก็ได้ เป็นทางเลือกสำหรับใครที่ไม่อยากผ่านแยกลำสาลีในช่วงเวลาเร่งด่วนครับ

ซึ่งนอกจากการเดินทางแล้ว ข้อดีของการเข้าออกได้สองทางก็คือด้านหลังรามเองก็เป็นอีกจุดที่มีร้านอาหาร/ร้านของกินเยอะ เป็นทางเลือกในการใช้ชีวิตประจำวันได้


ติดกกท.

จุดเด่นของโครงการนี้อีกอย่างคือพื้นที่ฝั่งนึงของโครงการจะติดกับกกท. หรือการกีฬาแห่งประเทศไทยตลอดแนวเลยครับ ตั้งแต่ด้านหน้าไปจนถึงด้านหลัง ซึ่งที่นี่จะเป็นที่ตั้งของทั้งตัวอาคารสำนักงาน อินดอร์สเตเดียมหัวหมาก สนามกีฬาต่างๆ สนามยิงปืน ไปจนถึงสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่างราชมังคลากีฬาสถาน 

ซึ่งที่นี่นอกจากจะเป็นสนามกีฬาแล้ว จะเป็นเหมือนกับ Public Space ของคนในย่านนี้อีกด้วยครับ ในช่วงเย็นๆ ที่แดดร่มลมตก เราก็จะเห็นคนมาออกกำลังกายกัน มีทั้งมาวิ่งรอบราชมัง, มาเตะบอล, เล่นบาส, เล่นสเกต, มาว่ายน้ำ รวมไปถึงพื้นที่สีเขียวในบริเวณนี้ก็มีคนจูงหมามาวิ่งเล่น มานั่งพักผ่อนกัน เหมือนเป็นสวนสาธารณะแห่งนึงของย่านนี้เลย

และนอกจากการมาพักผ่อน พื้นที่ด้านหน้าก็จะมีตลาดนัดด้วยครับ สามารถมาซื้อของกินได้ อยู่ในระยะเดินจากโครงการได้เลย

อนาคตของย่านนี้

National Sport Park

และด้วยความที่ตัวรถไฟฟาฟ้าใต้ดินสถานีกกท. อยู่บริเวณหน้าออฟฟิศของกกท.เลย ตรงนี้ทางกกท.เองก็มีแผนที่จะพัฒนาพื้นที่กว่า 270 ไร่ ให้กลายมาเป็น National Sport Park ซึ่งเป็นเหมือนกับการพลิกโฉมพื้นที่ ให้ทันสมัยและใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น

ซึ่งการพัฒนาจะแบ่งออกเป็นหลายเฟสครับ ตั้งแต่ 2563 ถึง 2575 โดยจะปรับพื้นที่ โซนที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า ให้กลายมาเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์มากขึ้น มีร้านค้าร้านอาหาร 

นอกจากนี้ใน Master Plan ของโครงการก็จะมีทั้งการปรับปรุงสนามราชมังฯ และอินดอร์สเตเดียมให้ทันสมัย มีศูนย์เกี่ยวกับการพัฒนาด้านกีฬาต่างๆ มีอาคารที่เป็นหอพัก และโรงแรมสำหรับนักกีฬา มีศูนย์กีฬาทางน้ำ ศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านกีฬา และมีการปรับปรุงพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งรวมงบโครงการอยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านบาทครับ ซึ่งก็จะทำให้ที่นี่นอกจากจะเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก็จะมีความทันสมัยที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน รองรับการเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาต่างๆ ซึ่งก็ต้องรอดูครับว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

FYI: กรุงเทพฯ ของเรากำลังจะเป็นเจ้าภาพงานมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ในปี 2568

ขอบคุณข้อมูลจากมติชน : 1 2


โครงการทางยกระดับบนถนนรามคำแหง 24 – ถาวรธวัช

อย่างที่บอกว่าโครงการสามารถเข้าออกได้สองทาง ด้านหลังของโครงการก็จะเป็นถนนหัวหมาก ซึ่งเป็นถนนตัดใหม่ต่อขยายออกมาจากถนนรามคำแหง 24 ครับ แต่หลายคนที่ผ่านย่านนั้นก็จะเห้นว่าตัวถนนรามคำแหง 24 เนี่ยจะค่อนข้างเป็นคอขวดอยู่พอสมควร เนื่องจากติดเขตที่ดินของการกีฬาแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำให้ไม่สามารถขยายให้มีขนาดใหญ่พอๆ กับส่วนของถนนหัวหมากได้ ที่ผ่านมาทาง กทม. ก็มีความพยายามที่จะเจรจาขอเจียดที่ดินมาขยายถนน แต่ก็ไม่สำเร็จ

ล่าสุด กทม. จึงได้มีโครงการปรับปรุงถนนรามคำแหง 24 เพื่อแก้ปัญหาคอขวดการจราจร โดยการก่อสร้างสะพานยกระดับเพื่อแบ่งรถที่ไม่เกี่ยวข้องกับชุมชนหลังราม ให้วิ่งข้ามไปลงที่ถนนถาวรธวัชได้เลย โดยจะเป็นสะพานยกระดับขนาด 2 ช่องจราจร (ไป 1 กลับ 1) ซ้อนอยู่บนถนนรามคำแหง 24 โดยจะเริ่มจากบริเวณหน้าโครงการศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง ยาวไปจนถึงสามแยกหลังราม เลี้ยวเข้าถนนถาวรธวัช แล้วลงสู่พื้นครับ

เนื่องจากเขตทางค่อนข้างแคบ ในโครงการนี้จะมีการเก็บสายไฟฟ้าและสายสื่อสารบนถนนรามคำแหง 24 ช่วงที่ซ้อนทับกับทางยกระดับลงไปใต้ดินด้วย โดยจะเป็นโครงการก่อสร้างรวดเดียวทั้งส่วนของ กทม. การไฟฟ้า การประปา และบริษัทโทรคมนาคมครับ โดยทั้งหมดกำลังจะเริ่มก่อสร้างเร็วๆ นี้ฮะ

เมื่อโครงการนี้สร้างเสร็จเรียบร้อย ก็จะเพิ่มความสะดวกสำหรับคนที่จะมุ่งหน้าไปทางพัฒนาการ-พระราม 9 สามารถออกจากด้านหลังโครงการ กลับรถตรงซอยหัวหมาก 28 แล้วย้อนมาขึ้นสะพานไปลงถนนถาวรธวัชได้เลยครับ

โครงการทางยกระดับบนถนนรามคำแหง 24 – ถาวรธวัช

โปรเจคอื่นๆ ในย่านนี้

ส่วนบริเวณรอบข้าง เราก็จะเห็นว่าการมาของรถไฟฟ้าสายสีส้ม สร้างความเปลี่ยนแปลงของย่านนี้ไปเยอะเช่นเดียวกัน เริ่มจากปากทางรามคำแหง ก็จะมีอาคารออฟฟิศขนาดใหญ่มาเปิด หรืออย่างห้างเดอะมอลล์รามคำแหงฝั่งขาออก (เดอะมอลล์ 2) ห้างนี้ก็ได้มีการทุบทิ้งทั้งห้าง เพื่อที่จะสร้างเป็นห้างเดอะมอลล์ใหม่ รับการมาของรถไฟฟ้าเช่นเดียวกัน (แต่ปัจจุบันยังเป็นที่เปล่าอยู่นะ)

หรืออย่างที่ดินที่เป็น Major รามคำแหงเดิม (คนละตึกกับ Major Hollywood) ที่ตรงนี้ก็เพิ่งมีการทุบอาคารเดิมทิ้ง เคลียร์ที่ โดยมีกลุ่ม UHG เจ้าของโครงการในกลุ่ม Hills เช่น Ari Hills, Ladprao Hills, Sukhumvit Hills จะมาเปลี่ยนที่ดิน 8 ไร่ตรงนี้เป็นอาคาร Mixed Use 30 ชั้นที่จะเป็นอาคารโรงแรมและออฟฟิศครับ

ทางเลือกการเดินทางมีให้เลือกเยอะ

เข้าหน้า ออกหลัง ขึ้นรถ ลงเรือ ไปรถไฟฟ้า ออกทางด่วน ทีทางเลือกหลายเส้นทาง

สำหรับการเดินทาง ด้วยความที่ติดถนนใหญ่ และเป็นเส้นสำคัญในย่าน ทางเลือกก็มีค่อนข้างเยอะครับ รวมถึงถนนรามคำแหงเองจะมีความพิเศษตรงที่เป็นถนนที่ขนานไปกับคลองแสนแสบ ทำให้มีทางเลือกในการเดินทางโดยเรือเพิ่มเข้ามา และที่ดินของโครงการก็ยังสามารถออกทางด้านหลัง ใช้เป็นทางลัดต่างๆ ในเวลารถติดได้ครับ

โครงข่ายถนน ทางด่วน รถไฟฟ้า และการเดินทางทางน้ำ ในพื้นที่ใกล้เคียงโครงการ

รถยนต์ :

สำหรับรถยนต์ ถ้าเข้าเมืองปกติก็สามารถวิ่งจากถนนรามคำแหงไปเข้าสุขุมวิท 71/เพชรบุรี ได้ครับ หรือสามารถวิ่งมาออกถนนพระราม 9 เพื่อมาย่านรัชดา/อนุสาวรีย์ได้เช่นเดียวกัน การจราจรปัจจุบันเนื่องจากมีการทำรถไฟฟ้า ในเวลาเร่งด่วนก็อาจจะค่อนข้างติดครับ แต่ในอนาคตก็จะชิน …ล้อเล่นครับ ในอนาคตอีกไม่นานงานก็สร้างก็เตรียมคืนพื้นที่ผิวจราจร ไม่ต้องเบี่ยงไปเบี่ยงมา รวมถึงล่าสุดก็มีการเปิดสะพานทางคู่ขนานด้านบนกลับคืนมา ก็คาดว่าจะดีขึ้นเยอะพอสมควรครับ

แต่ในแง่ทางเลือกของการเดินทางก็จะมีถนนหัวหมากด้านหลัง ที่สามารถใช้เป็นทางลัดเลาะ หลบเวลารถติดได้ ใช้ไปออกศรีนครินทร์พระราม 9 หรือเพชรบุรีได้เช่นกัน

ส่วนถนนรามคำแหงด้วยความที่เป็นชุมชนเก่า ซอยต่างๆ ก็จะทะลุกันพอสมควร สามารถใช้หลายซอยในการเป็นทางลัดไปออกลาดพร้าวได้ครับ


รถเมล์ :

อย่างที่บอกไปว่าถนนสายนี้เป็นถนนสายหลักและเป็นแหล่งชุมชน ดังนั้นรถเมล์ต่างๆ ก็จะมีให้เลือกใช้บริการค่อนข้างหลากสายครับ ทั้งเข้าเมืองและออกเมือง


รถไฟฟ้า :

สำหรับรถไฟฟ้าก็เป็นจุดขายของที่นี่เลยครับ กับตัวสถานีกกท.ที่แทบจะติดกับหน้าโครงการ โดยที่นี่จะใช้ระยะเวลาแค่ 6 สถานีถึงรัชดา และสามารถไปถึง BTS ราชเทวีและฝั่งธนได้ในอนาคต แต่ก็อาจจะต้องรอให้เปิดใช้บริการก่ออีกนิดนึงครับในปี 2568

แต่ในเร็วๆ นี้ก็จะมีรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเปิดก่อน ซึ่งจะวิ่งเชื่อมจาก MRT แยกรัชดา-ลาดพร้าว มาแยกลำสาลีและวิ่งไปตามถนนศรีนครินทร์-เทพารักษ์ไปเชื่อมต่อ BTS ที่สำโรง โดยคาดว่าจะเปิดปลายปีนี้แล้ว ก็สามารถมารถใช้รถไฟฟ้าสายนี้ในการเข้าเมืองได้ก่อนครับ

หรือสำหรับใครที่สะดวก ARL ที่นี่ก็จะห่างจาก ARL สถานีรามคำแหงประมาณ 3.7 กิโลเมตรครับ วิ่งตรงบนถนนรามคำแหงอย่างเดียวก็จะถึงสถานีเลย เหมาะสำหรับใครที่จะเดินทางไปสุวรรณภูมิ แต่ถ้าเข้าเมือง ถ้าสายสีส้มเปิดแล้ว เราก็มองว่าใช้สายสีส้มเข้าเมืองสะดวกกว่าครับ


เรือ :

สำหรับเรือนี่ถือว่าเป็น Shortcut ของย่านนี้เลยก็ว่าได้ครับ กับการเดินทางที่หลายๆ คนอาจจะไม่ได้นึกถึง ด้วยความที่ถนนรามคำแหงขนานกับคลองแสนแสบ เรือคลองแสนแสบนี่ก็จะเป็นอีกทางเลือกในการเดินทางเข้าเมืองเลย โดยท่าเรือที่ใกล้ที่สุดก็จะเป็น “ท่าเรือสะพานมิตรมหาดไทย” ที่ซอยมหาดไทหรือรามคำแหง 65 

ซึ่งสามารถขึ้นเพื่อไปต่อ ARL สถานีรามคำแหง ไปลงอโศก หรือไปลงสะพานหัวช้างที่อยู่ใกล้กับสยามได้ครับ ค่อนข้างเวิร์คมากช่วงที่รถติดๆ

รูปแบบโครงการ

ข้อมูลโครงการ

ชื่อโครงการ : Supalai Veranda รามคำแหง
Developer : บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
เนื้อที่โครงการ :95.9 ไร่
จำนวนห้องพักอาศัย :ห้องพักอาศัย 2,073 ยูนิต และร้านค้า 25 ยูนิต
รูปแบบโครงการ :High Rise 3 อาคาร
– อาคาร A สูง 33 ชั้น
– อาคาร B สูง 35 ชั้น
– อาคาร C สูง 27 ชั้น
ลิฟต์ :อาคาร A และ B มีลิฟต์โดยสารอาคารละ 4 ตัว เซอร์วิสลิฟต์ 1 ตัว
อาคาร C มีลิฟต์โดยสาร 3 ตัว และเซอร์วิสลิฟต์ 1 ตัว
ที่จอดรถ : ประมาณ 55% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน)
ค่าส่วนกลาง :35 บาท/ตารางเมตร/เดือน
ค่ากองทุน :350 บาท/ตารางเมตร
Facility :– Lobby
– Game Room
– Sky Lounge
– Social Club
– Roof Garden
– Panoramic Sky Bar
– Co-living Space
– Infinity Edge Swimming Pool
– Indoor&Outdoor Jogging Track
– Double Volume Fitness&Aerobic
– Adventure Playground
– Basketball Court
– Relaxing Sauna
– Pirate Kids Pool
แบบห้อง : Studio ขนาด 28 – 30 ตารางเมตร
1 Bedroom ขนาด 35 – 42 ตารางเมตร
1 Bedroom Plus ขนาด 42 – 44 ตารางเมตร
2 Bedroom ขนาด 59 – 67 ตารางเมตร
ราคา :เริ่มต้น 2.23 ล้านบาท
ราคาเฉลี่ย : ประมาณ 76,000 บาท/ตารางเมตร
สถานะโครงการ : สร้างเสร็จแล้วพร้อมโอน

โครงการ Supalai Veranda รามคำแหง เป็นคอนโดที่เรียกได้ว่าใหญ่มากกก ด้วยความที่ที่ดินเป็นตอนลึกยาวตั้งแต่ถนนรามคำแหงไปจนถึงถนนหัวหมาก ทำให้เขาทำอาคารเป็นตอนลึกออกมาทั้งหมด 3 อาคารด้วยกัน แต่ละอาคารก็จะสูงไม่เท่ากันนะครับ อย่างอาคาร A ที่อยู่ด้านหน้า ใกล้กับถนนรามคำแหงมากที่สุด จะมีทั้งหมด 33 ชั้นด้วยกัน ส่วนอาคาร B ที่อยู่ตรงกลางจะมี 35 ชั้น และอาคาร C ที่อยู่ใกล้กับถนนหัวหมากจะมีทั้งหมด 27 ชั้น โดยแบบห้องก็จะมีตั้งแต่ Studio ไปจนถึง 2 Bedroom เลย ซึ่งราคาเขาก็เริ่มต้นที่ 2.23 ล้านบาท กับทำเลที่ติดรถไฟฟ้าสายสีส้มสถานีกกท. แบบ 5 ก้าวถึง เพราะแทบจะติดรั่วโครงการ เรียกได้ว่าลงรถไฟฟ้าก็เข้ามาโครงการได้เลย

จุดเด่นของศุภาลัยแน่นอนว่าที่เป็นจุดแข็งของเค้าเลยคือเรื่องราคา ที่ไม่ว่าจะออกมาที่ทำเลไหน ก็จะทำราคาออกมาได้ดีกว่าคู่แข่งในย่านเดียวกัน อย่างที่นี่ก็เช่นกันครับ มาในราคาเฉลี่ยประมาณ 76,000 บาท/ตารางเมตร ถือว่าราคาทำออกมาน่ารักเช่นเคย แต่ที่นี่นอกจากเรื่องของราคาแล้ว ศุภาลัยก็ได้มีการพยายามปรับปรุงพวกงานดีไซน์ต่างๆ ให้ดูดี ดีทันสมัยขึ้นมาเยอะพอสมควรเลยครับ

จากโครงการเมื่อหลายปีก่อน ที่หลายคนเรียกแซวกันว่าป้าศุ จนมาถึงเวอเรนด้าตัวนี้ ก็ต้องบอกว่าเรียกเค้าป้าเหมือนเดิมไม่ได้แล้วนะ จะดูดีขึ้นขนาดไหน เดี๋ยวเราจะไล่พาไปดูแต่ละจุดกันครับ

พื้นที่ส่วนกลางของที่นี่ก็ค่อนข้างเยอะเลยครับ แต่ละอาคารจะมี Lobby เป็นของตัวเอง ซึ่งส่วนกลางหลักๆ จะอยู่ที่ชั้น 6 ของอาคาร B ลูกบ้านของทั้ง 3 อาคารสามารถเข้ามาใช้ส่วนกลางที่ชั้นนี้กันได้เลย นอกจากส่วนกลางด้านในอาคารแล้ว ด้านหน้าโครงการที่ติดกับถนนรามคำแหง ยังมี Community Mall ที่รวมร้านค้ามากกว่า 25 ร้าน เข้ามาใช้ได้ทั้งที่เป็นลูกบ้านและไม่ใช่ลูกบ้านครับ ด้านหลังทางเข้าที่ติดถนนหัวหมากก็มีร้านค้าเหมือนกันนะ แต่เป็นร้านใหญ่ๆ ร้านเดียวเลย คือ Tops Market นั่นเอง


ส่วนกลางแบบศุภาลัยยุคใหม่

บอกก่อนเลยว่าดีไซน์ภายในอาคาร พื้นที่ส่วนกลาง และ Facilities ของศุภาลัยเขาออกแบบมาให้ดูทันสมัยขึ้นมากๆ ใครที่บอกว่าศุภาลัยเชย อยากให้มาดูที่โครงการ Supalai Veranda รามคำแหงนี้ครับ แต่ละห้อง แต่ละพื้นที่คือดีไซน์ดูดี ดูน่าใช้ขึ้นมาก คือต้องบอกว่ามันอาจจะไม่ได้หวือหวาหรืออลังการแบบกรี๊ดแตก แต่ถ้าเทียบกับราคาที่ยังทำออกมาได้คุ้มค่าสไตล์ศุภาลัยเหมือนเดิม แต่ได้ส่วนกลางที่ดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก รับแขกรับเพื่อนได้แบบไม่อายใคร อันนี้ทีมงานมองว่าก็ถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆ แล้วครับ น่าจะเป็น value ที่ดีให้กับลูกบ้านที่ซื้อโครงการ แถมพื้นที่สีเขียวก็ให้มา 4 ไร่กว่า มีให้ได้ไปเดินเล่นกับทุกอาคาร สำหรับไฮไลต์ของที่นี่ผมขอยกให้สระว่ายน้ำของเด็กเลย

ปกติแล้วตามคอนโดต่างๆ สระว่ายน้ำของเด็กก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก บางที่ก็ออกจะเล็กด้วยซ้ำไป แต่สำหรับที่ Supalai Veranda รามคำแหง บอกเลยว่าใหญ่มากครับ ประหนึ่งว่าอยู่กลางมหาสมุทร เพราะเขายกเรือ Pirate มาไว้ที่สระว่ายน้ำแห่งนี้ด้วย มีทั้งสไลเดอร์ น้ำตก และโขดหินมากมาย ผมบอกเลยว่าถ้าลูกๆ หลานๆ มาเล่นจะต้องเหนื่อยแน่นอนฮะ

เกริ่นมาขนาดนี้อยากรู้กันแล้วใช่มั๊ยครับว่าหน้าตาสระว่ายน้ำเด็กนี้จะเป็นยังไง เดี๋ยวผมจะพาเพื่อนๆ ไปทัวร์กันตั้งแต่หน้าโครงการยันพื้นที่ส่วนกลางของแต่ละอาคารเลยครับ


ด้านหน้าโครงการ

มาเริ่มกันตั้งแต่ทางเข้าโครงการเลยครับ ตรงนี้จะเป็นด้านหน้าที่ติดกับถนนรามคำแหง แล้วก็ติดกับสถานีรถไฟฟ้าด้วย ถ้ากลัวว่าเส้นนี้รถจะติดก็ใช้รถไฟฟ้าได้ครับ นอกจากทางเข้าจะมีป้ายโครงการแล้ว อีกฝั่งก็จะเป็น Community Mall ด้วย ด้านหน้าจะมีป้ายร้านต่างๆ ให้ติดโลโก้ ด้านในค่อนข้างกว้างและมีหลายร้านเลย เวลาเราเดินลงมาจากรถไฟฟ้าแล้วเข้ามาในโครงการ ก่อนจะกลับห้องก็แวะซื้อของกลับไปได้ หรือคนที่ไม่ใช่ลูกบ้านเองก็เข้ามาใช้ได้เช่นกัน

เขาออกแบบมาน่าใช้งานทีเดียวครับ ด้านในก็จะแบ่งย่อยเป็นร้านค้าต่างๆ จะติดบานกระจกขนาดใหญ่ทั้งหมดเลย จะได้มองเห็นด้านในด้านนอกกันได้ชัดเจน ต้องรอดูว่าจะมีร้านอะไรมาเปิดบ้างครับ ส่วนด้านหลังก็จะมีที่จอดรถสำหรับคนมาใช้บริการตรงนี้โดยเฉพาะเลย ก็จะไม่รบกวนกับที่จอดด้านในของลูกบ้าน

ถ้าผ่านตัวป้อมยามมาก็จะเจอกับอาคาร A ก่อนเลยครับ ที่นี่เป็นการเดินรถแบบทางเดียวนะ เพื่อนๆ เข้ามาแล้วตรงไปทางซ้ายมือได้เลย หรือถ้าใครเดิน ไม่ได้ใช้รถ ทางตรงกลางเลยฮะ เขาทำเป็นทางเดินยาวตั้งแต่อาคาร A ไปจนถึงอาคาร C ส่วนตรงอาคารที่เราเห็นว่ามีทางเข้า ตรงนั้นคือทางขึ้นไปยังลานจอดรถ ส่วนทางด้านขวามือสุดจะเป็นรถที่จะออกจากโครงการนะครับ ที่นี่มีที่จอดรถสำหรับคนพิการด้วย ด้านข้างอาคารก็จะมีที่จอดรถอีกยาวๆ ไป ใครที่มีเพื่อนมาหา ก็มาจอดด้านข้างอาคารได้ ไม่ต้องไปวนรถให้เสียเวลา


อาคาร A

อาคาร A : Lobby

เนื่องจาก Lobby แต่ละอาคารเขาจะมีดีไซน์คล้ายคลึงกัน แต่มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจะพาไปดูทุกอาคารเลย แต่เราจะพาไปดูส่วนกลางกันทีละอาคาร เพื่อนๆ จะได้ไม่สับสนนะ เริ่มจากอาคาร A มาที่ Lobby กันก่อน

Lobby อาคาร A เขาจะมีที่นั่งเล่นกระจายอยู่ตามมุมต่างๆ ครับ มีโมเดลโครงการ กับโมเดลผังห้องมาตั้งไว้ด้วย ประตูที่นี่ก็จะเป็นบานเลื่อนแบบอัตโนมัติ แต่ถ้าเพื่อนๆ จะเข้าไปใช้ลิฟต์ หรือเข้าไปที่ Mail Room ก็จะต้องสแกนหน้า หรือสแกนนิ้ว หรือจะแตะบัตรก็ได้ คนนอกก็จะไม่สามารถเข้าไปได้

อาคาร A : Mail Room

สำหรับ Mail Room นี้จะเป็นของห้องพักอาศัยอาคาร A เท่านั้นนะครับ แต่ละอาคารก็จะมี Mail Room เป็นของตัวเอง


อาคาร A : Game Room

ผมลืมบอกไป ก่อนจะเดินไปถึง Lobby A จะต้องเดินผ่าน Game Room ก่อนฮะ ก็จะมีเครื่องเล่นต่างๆ มีเก้าอี้ด้านข้างให้นั่งพักด้วย เผื่อออกแรงจนเหนื่อย ห้องนี้เพดานสูงโปร่ง ติดทางเดินเป็นผนังกระจกทั้งหมด แสงส่องเข้ามาเต็มๆ ตอนกลางวันสว่างแบบไม่ต้องเปิดไฟเลย


อาคาร A : Panoramic Sky Bar

ถ้าขึ้นมาที่ชั้น 33 ของอาคาร A เราก็จะเจอกับ Panoramic Sky Bar ครับ ห้องนี้ค่อนข้างอเนกประสงค์นะ ด้วยความที่ห้องใหญ่ทำให้มีหลายโซน ไม่ว่าจะเป็นโซฟานั่งชิวๆ หรือบาร์ที่มาพร้อมเคาน์เตอร์และอ่างล้างจาน ให้เราจัดปาร์ตี้ได้แบบเบาๆ ห้องนี้เพดานสูงโปร่ง เป็นผนังกระจกค่อนข้างเยอะเลย เราสามารถมองไปเห็นวิวด้านนอกได้ครับ ทั้งวิวเมืองและวิวสวนสีเขียวด้านนอก

การตกแต่งก็ให้อารมณ์คล้ายกับ Lobby ด้านล่างอยู่นะ มีการนำหินอ่อนสีขาวลายเดียวกับ Lobby มาประดับตามเสา ถ้าเพื่อนๆ สังเกตก็จะใช้เป็นหินอ่อนสีขาว ตัดด้วยเส้นสายสีทองเหมือนกันฮะ

โซนบาร์สามารถนั่งได้ 8 ที่นั่ง จริงๆ จะมานั่งทำงานตรงนี้ก็ได้นะครับ เขามีปลั๊กไฟเตรียมไว้ให้ด้วย


อาคาร A : Roof Garden

ด้านนอกของ Panoramic Sky Bar จะมีสวนสีเขียว มีต้นไม้ ดอกไม้ และใบหญ้า นั่งในห้องแอร์เบื่อๆ แล้วอยากจะสูดอากาศ รับลม รับแดดก็มาที่นี่ได้เลยครับ


อาคาร B

อาคาร B : Lobby

อาคาร A จบแล้ว มาต่อกันที่ Lobby ของอาคาร B ครับ สำหรับอาคาร B หินที่เขาใช้ตกแต่งจะไม่ได้มีสีและลายเหมือนกับอาคาร A นะครับ จะมีความขาวหม่นๆ เทาๆ มากกว่า ดีไซน์ของ Lobby เน้นความโปร่ง ช่องแสงจะเข้ามาผ่านผนังกระจกทั้งสองฝั่งเลย เฟอร์นิเจอร์และโซฟาต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นโทนสีเข้มสลับกับสีขาวและสีเทา พื้นที่ค่อนข้างกว้าง จะมานั่งทำงานหรือนั่งเล่นก็ได้ฮะ


อาคาร B : Mail Room

ส่วนห้อง Mail Room ก็จะอยู่ติดกับ Lobby และทางเข้าไปยังโถงลิฟต์เหมือนกับ Lobby อาคาร A ฮะ


อาคาร B : Sky Lounge

ดูส่วนกลางด้านล่างกันไปเยอะแล้ว ขึ้นมาชั้นบนบ้างฮะ ที่ชั้น 35 เขาจะทำเป็นห้อง Sky Lounge ถึงะเป็นห้องที่อยู่ดาดฟ้าเหมือนกัน แต่เขาตกแต่งอาคาร A กับอาคาร B ออกมาไม่เหมือนกันนะครับ ซึ่งอาคาร B ห้อง Sky Lounge เขาก็จะตกแต่ง Theme เดียวกันกับ Lobby เลย ด้วยการใช้หินอ่อนสีและลายที่เหมือนกัน ประดับตามเสาต่างๆ ในส่วนของโซฟาและเฟอร์นิเจอร์คาแรคเตอร์ก็จะต่างกับอาคาร A ครับ เป็นเอกลักษณ์ของใครของมันอย่างชัดเจน

ห้องนี้จะไม่ได้มีโซนบาร์ แต่จะมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่แทน ใช้เป็นโต๊ะประชุมได้ด้วย หรือจะเป็นโต๊ะติวหนังสือก็ได้


อาคาร B : Roof Garden

ชั้นดาดฟ้านี้ก็มีสวนสีเขียวเหมือนกันฮะ ผมว่าข้อดีของการที่ดาดฟ้ามีทั้งห้องที่เป็น Lounge และด้านนอกเป็นสวน คือเราสามารถอยู่ทั้ง Indoor และ Outdoor พร้อมๆ กันได้ เวลามานั่งชิวๆ หรือมานั่งทำงานเหนื่อยๆ เบื่อๆ อยากจะเปลี่ยนอิริยาบถ อยากเปลี่ยนบรรยากาศ หรืออยากเปลี่ยนท่าทาง เราแค่เดินออกจากห้องมารับกับบรรยากาศด้านนอก ได้พักสายตามามองความเขียวขจีของต้นไม้และใบหญ้า ได้มารับลม ได้มามองวิวต่างๆ แค่นี้ก็ทำให้เราผ่อนคลายได้ในเวลาสั้นๆ แล้วฮะ

วิวของอาคาร B จะเห็นสนามราชมังคลาฯ แบบอยู่ตรงกลางพอดีครับ


อาคาร C

อาคาร C : Social Club

ก่อนที่เราจะถึง Lobby ของอาคาร C เราจะเจอห้อง Social Club ที่อยู่หัวมุมของอาคาร C พอดีเลยครับ ห้องนี้ค่อนข้างใหญ่ เขาจะแบ่งออกเป็น 4 โซนหลักๆ ด้วยกัน คือโซนที่เป็นที่นั่งแบบครึ่งวงกลม เป็นมุมพบปะพูดคุยที่ทำให้ทุกคนได้หันหน้าเข้ามาคุยกัน หรือถ้าอยากจริงจังขึ้นมาหน่อย ก็มีโซนประชุม เป็นโต๊ะยาวขนาด 8 ที่นั่ง มีกระดานมาให้เอาไว้จดงานต่างๆ ด้วย

หรือจะเป็นโซน Sunken Seat ก็มีให้นั่งเหมือนกันฮะ เผื่อใครอยากนั่งเงียบๆ คนเดียว ส่วนโซนสุดท้ายจะมีทั้งโต๊ะขนาดใหญ่ โซฟา และโต๊ะบาร์ นั่งทำงานได้ทุกมุม ถ้าไม่ได้มาเป็นกลุ่ม อยากมานั่งทำงานคนเดียว มุมนี้ก็เหมาะเลยครับ


อาคาร C : Lobby

มาต่อกันที่ Lobby อาคาร C ครับ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบ Lobby ของอาคารนี้มากที่สุด ดีไซน์จะเน้นไปที่สีดำเป็นหลัก 3 อาคาร 3 สไตล์ครับ ซึ่ง Lobby อาคาร B จะเป็นสีเทา ผสมระหว่างสีขาวของ Lobby A และสีดำของ Lobby C ได้อย่างลงตัว


อาคาร C : Mail Room

แม้แต่ Mail Room เองก็คงคาแรคเตอร์ของอาคาร C เอาไว้ด้วย ประตูทางเข้ารวมไปถึงด้านในจะเป็นหินอ่อนสีดำ อยู่ติดกับ Lobby และทางเข้าโถงลิฟต์ครับ


อาคาร C : Co-living Space

สำหรับตึก C เองก็ยังมี Sky Lounge ที่อยู่ชั้นบนสุดของตึกเช่นเดียวกันครับ ตึกนี้ถึงแม้ว่าจะสูงน้อยกว่าตึกอื่นเล็กน้อย แต่วิวบนชั้น Sky Lounge ก็ยังได้วิวมุมสูง โปร่งๆ โล่งๆ เช่นกัน สามารถมาใช้พักผ่อนได้

อาคาร C : Roof Garden

ในด้านของสวนบนดาดฟ้าก็เช่นกัน ก็ยังมีพื้นที่สวนสามารถมานั่งพักผ่อนได้เหมือนกับอาคาร A และอาคาร B เอาไว้ช่วงแดดร่มลมตก มานั่งชมบรรยากาศเมืองตอนเย็นได้ครับ


ส่วนกลางชั้น 6 เชื่อมต่อ 3 ตึก

เพื่อนๆ จะเห็นว่าแต่ละอาคารเขาก็จะมีพื้นที่ส่วนกลางของตัวเอง ซึ่งก็จะคล้ายๆ กันฮะ แต่ว่าจะมีส่วนกลางอยู่ชั้นนึงที่เขาเชื่อมต่อกันทั้ง 3 อาคารเลย ไม่ว่าเราจะอยู่อาคารอะไรก็สามารถกดลิฟต์มาที่ชั้นนี้ได้ นั่นก็คือชั้น 6 นั่นเอง แน่นอนว่าจะต้องมี Facilities ต่างๆ มากมาย ตั้งแต่อาคาร A ยาวไปจนถึงอาคาร C ซึ่งจะมีส่วนกลางอะไรอีกบ้าง ไปอ่านกันต่อเลยครับ

ส่วนกลางชั้น 6 : Infinity Edge Swimming Pool

ขึ้นลิฟต์มาที่ชั้น 6 กันบ้างครับ ถ้าเราขึ้นลิฟต์มาจากอาคาร A เปิดประตูมาเราก็จะเห็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่เลยครับ บรรยากาศค่อนข้างดีเลย สระว่ายน้ำรายล้อมไปด้วยต้นไม้ มี Daybed ให้นอนแบบชิวๆ วิวที่เห็นจะเป็นสนามราชมังคลาฯ ไม่มีตึกมาบดบังวิวแน่นอน จะมีก็เป็นตึกเยื้องๆ ทางด้านขวา แต่ก็ไม่ได้อยู่ใกล้จนบังทัศนียภาพนะ (ผมแอบใส่รูปสระน้ำมาเยอะหน่อยนะครับ เพราะมุมสวยๆ เขาเยอะมากจริงๆ ><)

อันนี้เป็นวิวเวลาเราว่ายน้ำ แช่น้ำ นั่งชิวริมสระก็จะเจอวิวแบบนี้ฮะ

รอบๆ สระว่ายน้ำ เขาทำที่นั่งเล่นไว้ด้วยนะ คือนอกจากจะมีต้นไม้ต่างๆ แล้ว เขาก็ไม่ได้ปล่อยพื้นที่ข้างๆ ให้เสียเปล่า ทำเป็นทางเดินที่แทรกไปด้วยที่นั่งเรียบไปกับกระถางต้นไม้เลย เย็นๆ บรรยากาศดีแน่นอนฮะ


ส่วนกลางชั้น 6 : Double Volume Fitness&Aerobic

เดินเลยสระว่ายน้ำมาจะเจอกับห้องฟิตเนสขนาดใหญ่ เป็นแบบ Double Volume คือได้เพดานสูงงงง แล้วก็ยังมีชั้น 2 ด้วยนะครับ สำหรับชั้นล่างเขาก็จะมีทั้งลู่วิ่ง Weight Training เครื่องปั่นจักรยาน และเครื่องออกกำลังกายต่างๆ วิวที่ได้ก็จะเป็นวิวสนามราชมังคลาฯ เหมือนกันฮะ นอกจากนี้เยังมีโซฟาตามจุดต่างๆ เผื่อเราออกกำลังกายเหนื่อยๆ แล้วอยากนั่งพัก หรือแค่มานั่งในห้องฟิตเนสเฉยๆ ก็รู้สึกเหมือนได้ออกกำลังกายแล้วนะ

ถ้าเดินขึ้นบันไดวนมาจะเจออีกห้องนึงครับ เป็นห้อง Aerobic แต่จริงๆ ก็ค่อนข้างทำกิจกรรมได้หลายอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นโยคะ เรียนเต้น ซ้อมเต้นต่างๆ เขาติดกระจกมาให้แบบเต็มผนังด้วย เต้นไป โยคะไป เช็กท่าตัวเองในกระจกไปด้วยได้ฮะ


ส่วนกลางชั้น 6 : Relaxing Sauna

สำหรับห้องซาวน่าจะอยู่ด้านในห้องน้ำครับ แยกชายหญิงเลย ด้านหน้ามีตู้เก็บของให้ด้วย สามารถมาใช้บริการกันได้น้า


ส่วนกลางชั้น 6 : โถงทางเดิน

ด้วยความที่ชั้น 6 เป็นแหล่วงรวมพื้นที่ส่วนกลาง เขาก็จะมีโถงทางเดินที่ยิ่งใหญ่อลังการมากครับ เสาที่ใช้ก็ไม่ได้เปลือยเปล่านะ มีการตกแต่งเพิ่มเข้าไปให้สวยงาม ดูกลมกลืนไปกับต้นไม้ต่างๆ โดยตามทางเดินเขาก็จะมีที่นั่งแทรกอยู่ด้วย ใครอยากได้ความเป็นส่วนตัวหน่อย อยากรับลม แต่ไม่อยากโดนแดด โซนนี้ค่อนข้างน่าสนใจเลย


ส่วนกลางชั้น 6 : Basketball Court

ที่นี่มีสนามบาสเกตบอลด้วยนะครับ เป็นขนาดครึ่งสนาม ถ้ามาเล่นไม่ต้องกลัวเลยว่าลูกจะตกจากอาคาร หรือกระเด็นไปโดนใครมั๊ย เขาทำเป็นห้องที่มีเชือกกั้นทั้งด้านบนเพดานและด้านข้าง ปลอดภัยสำหรับคนที่ผ่านไปผ่านมาในชั้นนี้แน่นอนฮะ ผมชอบตรงที่เขาไม่ได้ปล่อยให้ผนังโล่งๆ โล้นๆ มีการเพ้นท์ผนังให้มีความ Active ด้วย ข้อดีของสนามบาสเกตบอลนี้คือเพื่อนๆ สามารถมาเล่นเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ เพราะเป็นสนามที่อยู่ในร่ม ไม่โดนแดดโดนฝน ถึงฝนจะกระหน่ำลงมาเราก็ยังคงเล่นบาสเกตบอลได้อยู่ฮะ


ส่วนกลางชั้น 6 : Adventure Playground

ก่อนจะถึงสระว่ายน้ำของเด็กที่เป็นไฮไลต์ของโครงการ จะเห็นว่ามีสนามเด็กเล่นอยู่ทางขวามือด้วยครับ จุดนี้สามารถมาเล่นสไลเดอร์ได้ มีเชือกให้ไต่ และบันไดให้ปีน โซนนี้จะอยู่ใกล้กับสระว่ายน้ำมาก เด็กๆ สามารถวิ่งเล่นได้ทั่วเลย ถ้าเล่นน้ำไม่จุใจ มาวิ่งเล่นตรงนี้ต่อได้


ส่วนกลางชั้น 6 : Pirate Kids Pool

ต้องบอกเลยว่าเป็นสระว่ายน้ำเด็กที่ใหญ่มาก เขายกเรือมาไว้ริมสระด้วย ทำเป็นสไลเดอร์เก๋ๆ ฮะ แถมยังมีน้ำตก มีสะพาน มีต้นไม้โอบล้อม เอาจริงบริเวณนี้คือเป็นโซนวิ่งเล่นที่กว้างมาก ใครมีลูกมีหลานไม่ควรพลาดเลยฮะ

สะพานจะเชื่อมไปหาตัวเรือ คือแค่มาเล่นที่สระว่ายน้ำเด็กนี้ก็ได้เบิร์นพลังแน่นอนผมคอนเฟิร์ม


จุด Drop-off

สำหรับจุด Drop-off จะมี 2 จุดครับ อยู่ตรงกลางระหว่างอาคาร A และ B หนึ่งจุด อยู่ตรงกลางระหว่างอาคาร B และ C อีกหนึ่งจุด ปกติแล้วทางเดินรถจะเป็นแบบทางเดียวใช่มั๊ยครับ แต่เวลาที่เรานั่งแท็กซี่หรือนั่งแกร๊บมา ไม่จำเป็นต้องไปวน 3 อาคารให้เสียเวลานะ จอดตามจุด Drop-off แล้ววนออกได้เลยฮะ

ส่วนทางเดินเขาก็จะทำยาวตั้งแต่อาคาร A ไปจนถึงอาคาร C เลย ใครที่ใช้รถไฟฟ้า แต่ห้องพักอาศัยอยู่ที่อาคาร C ก็จะได้เดินออกกำลังกายทุกวันฮะ


ด้านหลังโครงการติดกับถนนหัวหมาก

ถ้าเราเดินผ่านอาคาร C มาเรื่อยๆ ด้านหลังจะมีร้านค้าขนาดใหญ่อยู่ฮะ เขาจะทำเป็น Tops Market นะ คนนอกที่ไม่ได้อยู่ที่ Supalai Veranda รามคำแหงก็สามารถมาใช้บริการได้ มีที่จอดรถให้ด้วย เอาจริงลูกบ้านที่นี่แทบไม่ต้องออกไปไหนเลย ด้านหน้ามี Community Mall ด้านหลังก็มี Tops Market วันไหนขี้เกียจออกไปข้างนอก หรือไม่รู้จะกินไรดี ก็มาหาของกินได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังโครงการเลยครับ

ถนนด้านหลังโครงการฮะ มองเห็นสนามราชมังคลาฯ ด้วย ลูกบ้านที่นี่สามารถเข้าออกได้ทั้งสองทางเลยนะ ทั้งจากถนนรามคำแหงและถนนหัวหมากฮะ


แปลนอาคารยาวตั้งแต่ถนนรามคำแหงถึงถนนหัวหมาก

มี Shop House 2 ฝั่ง ออกได้สองทาง แปลนตึก 3 อาคารเรียงเป็นแนวยาว

ที่ดินของโครงการ Supalai Veranda รามคำแหง จะมีความคล้ายกับโครงการ Supalai Veranda สุขุมวิท 117 อยู่ครับ คือเป็นแปลนแบบตอนลึกยาวเข้าไป ทำให้ตัวอาคารจะขนานไปกับที่ดิน อย่างโครงการนี้ก็ทำได้ถึง 3 อาคารด้วยกัน ตั้งแต่ถนนรามคำแหงยันถนนหัวหมาก ทำให้ลูกบ้านสามารถเข้าออกได้ 2 ทาง อันนี้ถือเป็นข้อดีของคนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวเลยฮะ

Master Plan

ถ้าดู Master Plan ก็จะเห็นว่าที่ดินของโครงการยาวมากครับ ถ้าใครอยากออกกำลังกาย ลองเดินจากหน้าโครงการไปจนถึงข้างหลังดู รับรองเรียกเหงื่อได้ดีแน่นอน แต่ละอาคารก็จะมีจุด Drop-off แล้วก็ที่จอดรถด้านหน้าอีก แล้วถ้าเพื่อนๆ กลัวว่าการที่มี Community Mall กับร้านสะดวกซื้ออยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของโครงการจะทำให้คนนอกเข้ามาในโครงการได้ง่าย บอกเลยว่าเขามีที่จอดรถแยกให้ครับ จะได้ไม่ไปปะปนกับของลูกบ้าน สำหรับ Community Mall ที่จอดรถก็จะอยู่ด้านหลัง ก่อนจะถึงป้อมยาม และร้านค้าด้านหลัง ก็จะมีที่จอดรถอยู่ข้างๆ เช่นกัน หายห่วงได้เลยฮะ

อาคาร A

สำหรับอาคาร A ที่อยู่ด้านหน้า ใกล้กับถนนรามคำแหง จะมีลิฟต์โดยสารทั้งหมด 4 ตัว และเซอร์วิสลิฟต์อีก 1 ตัว ห้องพักอาศัยจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 7 – 32 โดยแต่ละชั้นจะมีประมาณ 27 ห้องครับ ถ้าเป็น 2 Bedroom จะอยู่หัวมุมของอาคารทั้ง 4 ด้านเลย ส่วนห้องที่มีเยอะที่สุดก็จะเป็นสตูดิโอฮะ

อาคาร B

มาต่อกันที่อาคารตรงกลางอย่างอาคาร B กันบ้าง อาคารนี้จะมีลิฟต์โดยสาร 4 ตัว และเซอร์วิสลิฟต์ 1 ตัว ห้องพักอาศัยก็จะเริ่มตั้งแต่ชั้น 7 – 34 แต่ละชั้นจะมีประมาณ 27 ห้องเช่นเดียวกันครับ แล้วก็จะมีบันไดหนีไฟอยู่ทั้ง 2 ฝั่งของอาคารเลย

อาคาร C

ในส่วนของอาคาร C จะมีลิฟต์โดยสาร 3 ตัว และเซอร์วิสลิฟต์ 1 ตัว ห้องพักอาศัยก็เริ่มตั้งแต่ชั้น 7 – 26 แต่ละชั้นจะมีประมาณ 28 ห้อง

ส่วนใหญ่แล้วแต่ละอาคารจะมีห้อง Studio ค่อนข้างเยอะกว่าห้องไทป์อื่นๆ ครับ ส่วน 2 Bedroom ก็จะอยู่หัวมุมของทุกอาคาร และ 1 Bedroom กับ 1 Bedroom Plus ก็จะกระจายๆ กันไป


แปลนห้องกว้างอยู่สบายสไตล์ศุภาลัย

ห้องพักอาศัยของโครงการ Supalai Veranda รามคำแหงเริ่มตั้งแต่ Studio ไปจนถึง 2 Bedroom ขนาด 28 – 67 ตารางเมตร แน่นอนว่าห้องที่เยอะที่สุดจะเป็น Studio ครับ ส่วน 2 Bedroom จะมีน้อยที่สุด เพราะจะอยู่แค่หัวมุมของอาคารทั้ง 4 ด้านเท่านั้น ชั้นนึงก็จะมีแค่ 4 ห้องเองครับ เดี๋ยวเราจะพาไปดูแปลนแต่ละไทป์กันฮะ

Studio

สำหรับห้อง Studio จะมีทั้งหมด 2 ขนาดด้วยกัน คือ 28 กับ 30 ตารางเมตร แปลนห้องไม่ได้ต่างกันเลยครับ เหมือนกันทั้งหมด จะต่างก็ตรงที่ขนาดของพื้นที่นี่แหละ โดยเขาจะรวมพื้นที่ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องทานอาหาร และห้องครัวเอาไว้ด้วยกัน แบบไม่มีอะไรมากั้น แล้วยังมีโซนสำหรับวางโซฟา Daybed ด้วยนะ ห้องนี้เหมาะกับคนที่อยู่คนเดียวฮะ หรือเหมาะจะซื้อไว้ลงทุน ไว้ปล่อยเช่า เพราะทำเลดี ติดรถไฟฟ้า ใกล้มหาวิทยาลัย และใกล้โรงพยาบาล เรียกได้ว่าเป็นแหล่งที่มีคนอาศัยอยู่เยอะเลย

1 Bedroom

ห้อง 1 Bedroom จะทั้งหมด 3 ขนาดครับ คือ 35, 41 และ 42 ตารางเมตร สำหรับห้อง 41 กับ 42 ตารางเมตร แปลนจะเหมือนกันเลย ต่างกันที่พื้นที่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วน 35 ตารางก็จะเป็นอีกแปลนนึงครับ

ถ้าเพื่อนๆ ดูรูปทางด้านซ้ายมือจะเป็นแปลนของ 35 ตารางเมตร มีการแบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน ตั้งแต่ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องครัว และห้องน้ำ โดยเข้ามาจะเจอกับห้องนั่งเล่นก่อน ประตูห้องนอนเป็นแบบบานเลื่อนกระจก ดังนั้นถ้าเข้ามาในห้องแล้ว เราก็จะเห็นทั้งห้องนั่งเล่นและห้องนอนพร้อมกัน ส่วนห้องครัวกับห้องน้ำก็จะอยู่ติดกัน ได้ครัวแบบปิดด้วยนะ

ส่วนห้องขนาด 41 – 42 ตารางเมตร จะต่างกับ 35 ตารางเมตร ตรงขนาดของห้องนอนครับ ห้องนอนจะใหญ่ขึ้นมาก มีมุมแต่งตัวแบบ Walk-in Closet แล้วตำแหน่งของห้องน้ำก็เปลี่ยนไปด้วย จากที่อยู่ติดกับห้องครัว ย้ายมาอยู่ในห้องนอนแทน ก็จะสะดวกสำหรับเจ้าของห้อง เวลาอาบน้ำเสร็จแล้วออกมาก็แต่งตัวได้เลย ส่วนครัวก็เป็นแบบปิดครับ

1 Bedroom Plus

ห้อง 1 Bedroom Plus จะมี 3 ขนาดเหมือนกันฮะ คือ 42, 43 และ 44 ตารางเมตร แต่ว่าแปลนห้องทั้ง 3 ขนาดเหมือนกันทั้งหมดเลยครับ สิ่งที่ไม่เหมือนกันอย่างเดียวคือขนาดของห้องนั่นเอง โดย 1 Bedroom Plus จะเป็นครัวเปิดทั้งหมด เข้าห้องมาจะเจอครัวก่อน จากนั้นจะเป็นมุมทานอาหาร แล้วก็ห้องนั่งเล่นที่เชื่อมต่อกันทั้งหมด ติดกับห้องนั่งเล่นจะเป็นห้องอเนกประสงค์ ขนาดใหญ่พอๆ กับห้องนั่งเล่นรวมกับมุมทานอาหารเลยฮะ

ส่วนห้องนอนจะเป็นแนวยาว สามารถวางเตียงขนาดใหญ่ได้สบายๆ มีมุมสำหรับแต่งตัวด้วย พื้นที่ห้องนอนเหลือๆ สามารถตกแต่งเพิ่มได้อีกเยอะเลย ระเบียงจะอยู่ติดกับห้องนอน ส่วนห้องน้ำก็จะอยู่ในห้องนอนเหมือนกันฮะ

2 Bedroom

มาถึงไทป์สุดท้าย เป็น 2 Bedroom มี 3 ขนาดครับ คือ 59, 66 และ 67 ตารางเมตร เอาจริงถึงแม้ขนาดจะต่างกัน แต่เป็นแปลนห้องแบบเดียวกันนะ โดยจะเป็น 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ Master Bedroom จะมีห้องน้ำในตัว มีมุมสำหรับทำ Walk-in Closet และมุมวางโซฟา Daybed ส่วนห้องน้ำอีกห้องจะอยู่ระหว่างห้องนอนเล็กกับห้องครัว ถ้าเราเปิดประตูเข้ามาจะเจอโซนทานอาหารขนาด 4 ที่นั่งก่อนเลย ฝั่งขวาจะเป็นครัวปิดขนาดใหญ่ ส่วนห้องนั่งเล่นจะอยู่ติดกับระเบียง สำหรับนอนเล็กที่ไม่เล็ก สามารถวางเตียงขนาดใหญ่และตู้เสื้อผ้าได้ หรือถ้าเพื่อนๆ ไม่ได้ต้องการห้องนอนเล็ก จะทำเป็นห้องอื่นๆ ตามไลฟ์สไตล์ที่ชอบก็ได้นะครับ


มาดูห้องกัน

สำหรับโครงการ Supalai Veranda รามคำแหง จะมีห้องตัวอย่างให้ดูทั้งหมด 2 ห้องด้วยกันครับ เป็นห้อง Studio ขนาด 30 ตารางเมตร กับ 1 Bedroom ขนาด 35 ตารางเมตร ถึงขนาดจะไม่ได้ต่างกันมาก แต่แปลนของทั้งสองห้องไม่เหมือนกันเลยนะ โดยทุกห้องขายแบบ Fully Fitted ครับ

ห้อง Fully Fitted จะได้อะไรบ้าง?

  • ชุดเคาน์เตอร์ครัวมาตรฐานของศุภาลัย
    • มีอ่างล้างจาน (แต่ไม่มีเตาไฟฟ้ากับเครื่องดูดควัน)
  • ห้องน้ำ
    • อ่างล้างหน้า
    • กระจก
    • ชักโครก
    • ฉากกั้นอาบน้ำแบบบานเลื่อนกระจก
    • ฝักบัว
    • ชั้นวางของ
    • เครื่องทำน้ำอุ่น
  • วอลเปเปอร์
  • เครื่องปรับอากาศ

ตามไปดูห้องตัวอย่างกันต่อฮะ


Studio ขนาด 30 ตารางเมตร

ห้องนี้เป็นแบบสตูดิโอครับ คือจะรวมทุกอย่างไว้ในห้องเดียวเลย ทั้งโซนครัว โซนนั่งเล่น และโซนห้องนอน ค่อนข้างเหมาะสำหรับการยู่คนเดียว และคนที่ไม่ชอบดูแลห้องเยอะ หรือทำความสะอาดห้องบ่อยๆ เพราะห้องนี้เราขยับไม่กี่ก้าวก็ถึงโซฟา ถึงเตียงนอน ถึงครัวแล้ว ไม่ต้องเดินเยอะให้เสียเวลา จะหยิบจับอะไรก็ง่ายครับ

ในส่วนของครัวก็จะได้เคาน์เตอร์แบบมาตรฐานของศุภาลัยเหมือนกับในห้องตัวอย่างเลย คือได้ทั้งเคาน์เตอร์ครัว ตู้เก็บของด้านบน มีช่องวางไมโครเวฟ มีอ่างล้างจาน แต่ไม่มีเตาไฟฟ้าและเครื่องดูดควัน ผนังที่ติดกับครัวก็ปูเป็นกระเบื้องเอาไว้ให้ จะได้เช็ดทำความสะอาดง่ายฮะ

เดินผ่านห้องครัวมา ด้านซ้ายจะเป็นโซนนั่งเล่น สามารถวางโซฟาขนาด 2 ที่นั่งได้ หรือถ้าเราไม่ได้จะวางโต๊ะกาแฟเล็กๆ วางโซฟา 2 ที่นั่งแบบ L Shape ก็ได้นะครับ เอาไว้นอนดูทีวีชิวๆ

ตรงข้ามกับโซฟาก็จะเป็นชั้นวางทีวีและโต๊ะเครื่องแป้ง หรือถ้าใครไม่ต้องการโต๊ะเครื่องแป้ง ขยายชั้นวางทีวีให้ยาวขึ้น เพื่อจะได้วางทีวีจอใหญ่ๆ ได้ ยังไงระยะห่างระหว่างโซฟากับชั้นวางทีวีก็เหลือเยอะอยู่แล้ว วางทีวีจอใหญ่ๆ ไม่เป็นปัญหาแน่นอนฮะ

ในส่วนของเตียงนอนสามารถวางเตียงขนาดใหญ่ได้ มีพื้นที่สำหรับวางโต๊ะข้างเตียงเล็กๆ ด้วย

ริมหน้าต่างห้องตัวอย่างเขาวางเป็นโซฟา Daybed เอาไว้ แต่เราจะเปลี่ยนเป็นมุมอื่นๆ ก็ได้นะครับ มุมทำงาน มุมเก็บของต่างๆ ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราเลย จากรูปจะเห็นว่ามีพื้นที่ระหว่างโซฟา Daybed กับเตียงเหลืออยู่นะ เราสามารถออกแบบเพิ่มเติมได้ว่ามุมนี้อยากใช้ทำอะไรฮะ

ตรงข้ามกับเตียงก็วางตู้เสื้อผ้าได้ ส่วนระเบียงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ที่เห็นว่ามีเครื่องซักผ้าอันนี้ทางโครงการไม่ได้แถมนะฮะ แต่วางเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่ได้ชิวๆ เลย

ส่วนห้องน้ำจะอยู่ด้านหน้าตรงข้ามกับครัว สิ่งที่ได้ก็จะมีอ่างล้างหน้า กระจก ชักโครก ฉากกั้นกระจกแบบบานเลื่อน ฝักบัว ชั้นวางของ และเครื่องทำน้ำอุ่น ทุกอย่างที่กล่าวมาจะเป็นสีขาวหมดเลยครับ ยกเว้นก๊อกน้ำที่จะเป็นสีเงิน

ทั้งระเบียงและหน้าต่าง เขาติดกระจกมาให้บานใหญ่ ทำให้ห้องมีช่องแสงเยอะ จะเห็นว่าห้องครัวอาจจะไม่สว่างเท่าห้องนั่งเล่นกับห้องนอน จริงๆ ถ้าไม่เปิดไฟก็ยังสว่างอยู่ครับ


1 Bedroom ขนาด 35 ตารางเมตร

ห้องนี้ต้องบอกว่าถ้าใครชอบห้องที่เป็นสัดเป็นส่วนน่าจะถูกใจครับ เพราะเขาแบ่งห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องน้ำ และห้องครัวออกจากกันอย่างชัดเจนเลย ประตูก็จะเป็นบานเลื่อนกระจกทั้งหมด ทำให้ห้องดูกว้างขึ้น แล้วแสงจากด้านนอกก็เข้ามาได้มากขึ้นด้วย อย่างห้องนี้ถ้าเปิดประตูเข้ามาก็จะเจอกับห้องนั่งเล่น และสามารถมองทะลุไปยังห้องนอนได้ ส่วนห้องครัวกับห้องน้ำก็จะอยู่แยกออกไปฮะ

ในส่วนของห้องนั่งเล่นสามารถวางโซฟาได้หลายแบบเลย เพื่อนๆ จะวางโซฟาเหมือนกับห้องตัวอย่าง หรือวางเป็น L Shape หรือวางยาวเต็มผนัง แล้วหาโต๊ะทานอาหารขนาดไม่ใหญ่มากมาวางเป็น 4 ที่นั่งได้นะ ใช้พื้นที่ร่วมกันไปเลย จะนั่งกินข้าวก็ได้ หรือจะเอาไว้นั่งทำงานก็ได้ ช่วยประหยัดพื้นที่ได้ฮะ

ระยะห่างระหว่างโซฟากับชั้นวางทีวีเหลือๆ ครับ จะซื้อทีวีจอใหญ่ๆ มาวางก็ได้นะ ถ้าเพิ่มชั้นหรือตู้ต่างๆ เข้าไป ก็จะทำให้เรามีพื้นที่เก็บของมากขึ้นด้วย

มุมทานอาหาร สามารถวางโต๊ะขนาด 2 ที่นั่งได้ครับ

ในส่วนของห้องนอนจะเห็นว่าได้หน้าต่างบานใหญ่เลย เป็นบานกระทุ้งนะครับ สามารถเปิดให้อากาศถ่ายเทได้ สำหรับเตียงวางได้ 5 – 6 ฟุตเลย แล้วแต่ชอบ เพราะยังไงพื้นที่ข้างเตียงก็เหลือทั้ง 2 ฝั่ง ถ้าใครไม่ได้ต้องการทีวีในห้องนอน จะทำเป็นตู้เสื้อผ้าเพิ่มเติมหรือยกโต๊ะเครื่องแป้งมาไว้มุมนี้แทนก็ได้นะ

ห้องครัวจะเป็นประตูบานเลื่อนกระจกกรอบสีขาวเหมือนกับห้องนอนเลย ได้ชุดครัวมาตรฐานของศุภาลัยเหมือนกันฮะ แต่ห้องนี้สามารถวางเครื่องซักผ้าด้านในได้เลย ไม่ต้องไปวางไว้ที่ระเบียง ช่วยประหยัดพื้นที่ระเบียงได้ด้วย

ที่ระเบียงจะมีก๊อกน้ำให้ คอมเพรสเซอร์แอร์ก็จะแขวนด้านบน ทำให้เรามีพื้นที่เหลือทำอย่างอื่นได้ เผื่อเพื่อนๆ อยากจะหาเก้าอี้กับโต๊ะเล็กๆ มาวางรับลมชมวิว หรือใช้เป็นที่ปลูกต้นไม้ ทำสวนก็สวยไปอีกแบบนะ

ห้องน้ำจะอยู่ติดกับครัวเลย จะเข้าห้องน้ำก็ต้องผ่านครัวครับ ข้อดีคือ เวลาแขกหรือเพื่อนมาที่ห้อง ไม่ต้องเข้าห้องน้ำผ่านห้องนอนของเรา ก็จะมีความเป็นส่วนตัวหน่อย

นี่เป็นระยะห่างระหว่างโซฟากับทีวีที่ผมบอก ก็คือเหลือเยอะมาก เป็นห้องนั่งเล่นที่กว้างครับ เพดานก็สูง 2.55 เมตร ไม่ได้ทำให้ห้องดูอึดอัด แถมยังมีแสงแดดส่องเข้ามาได้ตลอด ก็ทำให้ห้องของเราดูโปร่งโล่งตลอดทั้งวัน

ห้อง Studio กับ 1 Bedroom ก็มีแปลนห้อง คาแรคเตอร์ และการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเพื่อนๆ ครับ ว่าไลฟ์สไตล์เป็นยังไง ชอบการใช้ชีวิตแบบไหน จะได้เลือกห้องให้ถูกใจ ถูกกับความต้องการของตัวเองครับ

สรุป

ส่วนกลางเยอะ ดูดี ในราคาที่เป็นมิตรเหมือนเดิม ทำเลติดรถไฟฟ้า ออกได้ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง

สำหรับโครงการศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง เช่นเคยครับ โครงการนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นโครงการที่เก็บข้อดีต่างๆ ของความเป็นศุภาลัยมาได้ครบถ้วน อย่างเรื่องของราคา ที่นี่ก็ทำออกมาได้ดีตามสไตล์ครับผม เนื่องจากทำเลรามคำแหงก็ถือเป็นย่านนึงที่ปัจจุบันก็ไม่ได้ไกลเมืองแล้วขึ้นไปก็ตรงสู่สุขุมวิท เลี้ยวไปก็ออกรัชดา-พระราม 9 แถมยังได้โครงการติดรถไฟฟ้าแบบแทบจะ 0 เมตรเลย มาในราคาเริ่มต้น 2.23 ล้าน หรือเฉลี่ยตารางเมตรละ 76,000 ก็ถือว่าเป็นราคาคอนโด Highrise ติดถนนใหญ่ที่เป็นคอนโดใหม่ ที่น่าจะดีที่สุดในย่านนี้แล้ว

ซึ่งตัวทำเลของรามเองก็ต้องบอกว่ามีจุดเด่นในตัวเองหลายอย่างครับ คือเป็นย่านเก่าแก่ มีความเจริญในตัวอยู่แล้ว และก็ไม่ได้อยู่ไกลย่านใจกลางเมืองมากด้วยทั้งโซนสุขุมวิทและรัชดา แต่ช่วงที่ผ่านมาด้วยการก่อสร้างต่างๆ หลายคนอาจจะมองข้ามย่านนี้ไป แต่ต้องบอกว่าการก่อสร้างรถไฟฟ้าเค้าใกล้จะเรียบร้อยแล้วนะครับ อีกไม่นานก็จะกลับมาเป็นถนนปกติแล้ว หลังจากรถไฟฟ้าเสร็จก็น่าจะทำให้ย่านนี้เดินทางสะดวกขึ้นเยอะทีเดียว

การเดินทางในย่านนี้เองในปัจจุบันก็จะมีทั้งรถ ซอยทางลัด และไม่ไกลจากจุดขึ้นลงทางด่วนมาก ส่วนที่เป็น shortcut ของย่านนี้เลย ทีมงานขอยกให้กับเรือคลองแสนแสบครับ ที่สามารถเข้าสู่ย่านอโศก/สยามได้แบบลัดๆ ใช้เวลาไม่นาน จุดขึ้นลงอยู่ไม่ไกลจากโครงการมาก

ตัวที่ดินที่โครงการได้มาก็ค่อนข้างมีความพิเศษครับ คือได้ที่ดินเป็นแนวลึก สามารถเข้าออกโครงการได้จาก 2 ทาง ก็จะสะดวกตรงที่วันไหนข้างหน้ารถติดก็ไปออกข้างหลัง ข้างหลังติดหนีออกหน้าได้ และเป็นทำเลที่ใกล้กับกกท.และม.ราม ดังนั้นร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งของกินแถวนี้ก็ค่อนข้างจะหายห่วงทั้งด้านหน้าและด้วนหลัง รวมไปถึงตัวโครงการเองก็ทำ Shop house ไว้สองด้านเช่นกัน

แต่ก็บอกว่าบรรยากาศในย่านนี้ส่วนใหญ่ อาจจะไม่ได้มีร้านเก๋ๆ หรือร้านแพงๆ มาเปิดเท่าไหร่ ก็จะเป็นร้านระดับราคาไม่แพงมาก คนก็อาจจะพลุกพล่าน รถเยอะหน่อย ส่วนงานก่อสร้าง ถนนที่กำลังทำอยู่ ถ้าใครที่ผ่านมาดูโครงการในช่วงนี้ ถนนก็อาจจะงงๆ หน่อย รถติดหน่อย แต่อีกไม่นานก็จะแล้วเสร็จละครับ ส่วนตัวรถไฟฟ้าคาดว่าจะเปิดได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเพราะรอเปิดประมูลคนเดินรถ

มาพูดถึงตัวโครงการกันบ้างครับ อย่างที่บอกว่าโครงการเป็นที่ดินแนวลึก มีทางเข้าออก 2 ทาง อาคารที่ทำออกมาก็เลยจะมี 3 อาคารครับ ที่ดินฝั่งนึงเป็นบ้านและตึกไม่สูงมาก ส่วนอีกฝั่งติดกับที่ของกกท.เลย ที่เป็นสนามกีฬา ส่วนใหญ่ทั้ง 2 ฝั่งในระยะใกล้ยังเป็นพื้นที่โล่งครับ ดังนั้นแต่ละอาคารแทบจะไม่มีวิวบล๊อกเลย ส่วนฝั่งที่อยู่ติดกับกกท.ชั้นล่างหน่อย เค้าจะมีสนามยิงปืนอยู่ ก็อาจจะได้ยินเสียงตอนซ้อมยิงปืนเวลากลางวันได้บ้างครับ แต่ฝั่งนี้ก็จะได้วิวสวนสีเขียวของกกท.และเห็นราชมังฯ ด้วย

ตัวโครงการตามสไตล์แบรนด์เวอเรนด้าเลยคือก็จะเน้นโครงการขนาดใหญ่ ยูนิตเยอะหน่อย เพื่อให้ทำราคาออกมาได้หยิบจับได้ง่ายขึ้น อย่างที่นี่มี 2,073 unit ก็ถือว่าเป็นโครงการที่ใหญ่มากโครงการนึง ดังนั้นส่วนกลางที่ทำมาให้ของที่นี่ก็พยายามจัดออกมาให้มีจำนานเยอะตามลูกบ้าน ซึ่งจุดที่น่าสนใจของโครงการนี้คือนอกจากพื้นที่ส่วนกลางจะเยอะแล้ว ยังทำออกมาดูดีขึ้นกว่าก่อนเยอะพอสมควรเลยครับ

เป็นส่วนกลางคอนโดศุภาลัยยุคใหม่ที่ดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Lobby, ห้อง Sky lounge เดี๋ยวนี้ก็มีหินอ่อนแผ่นใหญ่ๆ กับเค้าเหมือนกันนะ และทำออกมาดูดีด้วย โดยที่ราคายังเป็นสไตล์ศุภาลัยแบบเดิม ก็เป็นจุดที่ทางทีมงานรู้สึกว่าโครงการนี้ทำออกมาได้ดีครับ นอกจากนี้ส่วนกลางก็ยังมีสนามบาส, สระว่ายน้ำ 2 สระ ที่สระเด็กแยกและได้เรือโจรสลัดมาเล่นบนตึกเลย อันนี้แปลกดี รวมไปถึงมีห้อง Game room ห้อง Social Club ที่ชั้น 1 ของแต่ละลึกอีก

ส่วนห้องของที่นี่ก็จะได้ตามมาตรฐานครับ ขนาด 28 ตารางเมตรขึ้นไป ไปจนถึง 2 ห้องนอน 67 ตารางเมตร มีชุดครัว แอร์ วอลเปเปอร์ ฉากกั้นอาบน้ำ และเครื่องทำน้ำอุ่นให้ เป็นห้องขายแบบ Fully Fitted สำหรับใครที่สนใจก็ต้องบอกว่าตึกจริงเพิ่งสร้างเสร็จหมาดๆ เลย เพิ่งเปิดตึกให้ลูกบ้านที่ซื้อเข้าตรวจ

สำหรับใครที่สนใจก็สามารถลงทะเบียนรับข้อมูล/นัดหมายได้เลยครับ แต่แอบกระซิบว่าโครงการนี้ขายดีพอสมควรด้วยราคากับทำเล ขายไปได้ 90% ถ้าใครสนใจ อยากได้ห้องวิวไหน อาจจะรีบไปดูกันนิดนึง เพราะเหลือไม่เยอะเท่าไหร่แล้วครับ อ่อ สำหรับงานวัน Grand Opening เปิดตึก 25-26 มิถุนายนนี้ มีโปรแถมเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ด้วยครับผม

โทร. 1720


Related posts
รีวิวเจาะลึก

รีวิวเจาะลึก : "Centro รามอินทรา 2" บ้านเดี่ยวที่ใกล้ถนนรามอินทราและรถไฟฟ้าสายสีชมพู ในราคาเริ่ม 8 ล้านกลางๆ

รีวิวเจาะลึก

เจาะจุดเด่น "MUSE CONDO สะพานใหม่" คอนโดใหม่ตรงข้ามตลาดยิ่งเจริญ ระยะเดินแค่ 170 ม. จากสถานี BTS สะพานใหม่

รีวิวเจาะลึก

รีวิวเจาะลึก : "Reference สาทร-วงเวียนใหญ่" คอนโดวิวโค้งน้ำเจ้าพระยา ใกล้สาทรแค่ 2 สถานี ในบรรยากาศส่วนกลางที่ไม่เหมือนใคร

รีวิวเจาะลึก

เจาะจุดเด่น “MILFORD เอกมัย-ลาดพร้าว” บ้าน Private Luxury Townhome ติดทาวน์อินทาวน์