ตั้งแต่ฝั่งธนมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ก็เรียกได้ว่าย่านฝั่งธนเป็นอีกย่านนึงที่มีคอนโดมาเปิดค่อนข้างหลากหลาย ด้วยทำเลที่ราคายังไม่แพงมาก ราคาอยู่ในระดับสบายกระเป๋า แต่ได้คอนโดติดรถไฟฟ้าสายหลัก เดินทางค่อนข้างสะดวก ไม่ไกลเมือง ทำให้หลายๆ คนทั้งคนในย่านนี้เอง หรือบางคนที่อาจจะยังไม่มีทำเลในใจ ก็มีย่านนี้อยู่ในตัวเลือกครับ
มาวันนี้เราก็จะพาไปดูคอนโดย่านฝั่งธน กับโครงการ “ศุภาลัย ปาร์ค สถานีแยกไฟฉาย” ที่มาพร้อมพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่รอบโครงการและส่วนกลาง Rooftop เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท ที่นี่จะเป็นอย่างไร แล้วทำไมต้องเป็นที่แยกไฟฉาย เดี๋ยววันนี้เราจะพาไปรู้จักที่นี่กันให้มากขึ้นกันครับ
จุดเด่นโครงการ
330 เมตรจากรถไฟฟ้า MRT สถานีไฟฉาย
คอนโดอารมณ์บ้าน ห้องกว้าง
พร้อมพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่
ส่วนกลาง Rooftop
ชมวิวกรุงเทพแบบกว้างๆ
จรัญสนิทวงศ์
ถนนเก่าแก่ของย่านฝั่งธน ที่ขนานกับแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้เมืองเก่า
ถ้าพูดถึงย่านฝั่งธน ก็ต้องบอกว่าย่านนี้เป็นย่านเก่าแก่ย่านนึงของกรุงเทพเลยครับ อาจจะไม่ต้องย้อนไปถึงยุคธนบุรียังเป็นเมืองหลวงหรือเป็นจังหวัดแยกออกมาจากกรุงเทพฯ แต่ถ้าลองมองย้อนไปยุค 30-40 ปีที่แล้ว เราก็จะเห็นย่านนี้มีความคึกคัก อาจจะไม่ถึงกับเป็นย่านธุรกิจใหญ่ แต่ก็เรียกได้ว่ามีการอยู่อาศัยกันหนาแน่น และมีบ้านเรือนและธุรกิจขนาดเล็กๆ ตั้งอยู่ค่อนข้างเยอะครับ โดยก็จะเป็นบ้านแนวราบและบรรดาตึกแถวเป็นส่วนใหญ่ ทีมงานเองก็เป็นคนนึงที่โตมากับตึกแถวฝั่งธนเหมือนกัน
ซึ่งถนนจรัญสนิทวงศ์เอง ก็เป็นหนึ่งในถนนเก่าแก่ของย่านนี้ โดยเป็นถนนที่ขนานกับแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดทาง และด้วยทำเลที่แค่ข้ามแม่น้ำก็จะถึงย่านเมืองเก่าอย่างสนามหลวง ราชดำเนิน ก็น่าจะเป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้ย่านนี้มีคนมาอยู่อาศัยกันเยอะตั้งแต่ในอดีตครับ
ซึ่งที่ผ่านมา ฝั่งธนเองก็อาจจะดูพัฒนาน้อยกว่าฝั่งพระนครมาตลอด จากการที่เมืองขยายในยุค 20 ปีที่แล้ว ค่อนข้างจะขยายไปโซนตะวันออก ด้านรัชดา-ลาดพร้าว หรือสุขุมวิท-บางนากัน แต่สิ่งที่มาเปลี่ยนย่านนี้ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ก็หนีไม่พ้น “รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย” ครับ
ต้องบอกว่าแต่ก่อน ตึกสูงในย่านนี้แทบจะนับตึกได้เลย แต่การมาของรถไฟฟ้า ก็เรียกได้ว่าเปลี่ยนย่านนี้ไปเยอะมาก ปัจจุบันเส้นจรัญฯ เองก็เป็นถนนอีกเส้นนึงที่เรียกได้ว่ามีโครงการต่างๆ มาเปิดตลอดสาย ทั้งคอนโดเอง รวมไปจนถึงอาคารสำนักงานต่างๆ
ทำให้จรัญนอกจะเป็นถนนที่เก่าแก่ของย่านนี้ ยังเป็นถนนอีกเส้นนึงที่เดินทางสะดวก และค่อนข้างมีความเจริญในตัวเองครับ
รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ย่านฝั่งธน เข้าเมืองได้สะดวกขึ้น จากทำเลที่อยู่ใกล้เมืองอยู่แล้ว
ถ้าพูดถึงรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนเดิม แต่ก่อนคนก็จะคุ้นเคยกันว่าเป็นรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ซึ่งเส้นทางเริ่มแรกเดิมที เค้าก็จะเริ่มตั้งแต่หัวลำโพง วิ่งตามถนนพระราม 4 มาที่บริเวณแยกอโศก ตัดเข้าถนนรัชดาและวิ่งมาจนถึงถนนลาดพร้าว ก่อนจะผ่าน 5 แยกลาดพร้าวมาหมอชิต แล้วสุดที่บางซื่อครับ
ซึ่งในภายหลัง ก็ได้มีการก่อสร้างส่วนต่อขยายเพิ่มขึ้น จะเรียกว่ารถไฟฟ้าใต้ดินไม่ได้แล้วนะ เพราะบางช่วงที่ก่อสร้างก็จะมีการยกระดับขึ้นมาอยู่เหนือพื้นดินครับผม โดยเส้นทางที่ก่อสร้างเพิ่มเติม ก็แบ่งออกเป็น 2 ฝั่งด้วยกัน
1. ส่วนต่อขยายหัวลำโพง – หลักสอง
ส่วนนี้จะเป็นส่วนต่อขยายทางฝั่งหัวลำโพง โดยจะวิ่งผ่านเยาวราช – สามยอด – สนามไชย ลอดใต้แม่น้ำมาโผล่ฝั่งธนที่สถานีอิสรภาพ ก่อนจะขึ้นมาลอยฟ้าที่สถานีท่าพระ และวิ่งตามถนนเพชรเกษมไปจนสุดที่สถานีหลักสองครับ
2. ส่วนต่อขยายบางซื่อ – ท่าพระ
ส่วนนี้จะเป็นการสร้างส่วนต่อขยายในอีกฝั่งนึง เริ่มตั้งแต่หลังออกจากสถานีบางซื่อ ซึ่งจะขึ้นมาเป็นลอยฟ้าเลยครับ และจะผ่านย่านเตาปูน บางโพ ก่อนจะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา มาวิ่งบนถนนจรัญเกือบตลอดสาย ผ่านย่านสำคัญอย่างบางอ้อ, บางยี่ขัน, บางขุนนนท์, แยกไฟฉาย ก่อนจะมาสุดที่สถานีท่าพระ
สังเกตว่าทั้ง 2 สายจะมีสถานีท่าพระใช่ไหมครับ สำหรับสถานีท่าพระจะเป็นหนึ่งใน Interchange ใหญ่ของย่านฝั่งธน เป็นจุดที่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินทั้ง 2 ฝั่งมาบรรจบกันครับ ทำให้โดยรวมการวิ่งของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ก็จะกึ่งๆ คล้ายกับวงกลมที่วิ่งรอบเมืองนั่นเอง (แต่ต้องเปลี่ยนรถด้วยนะ นั่งยาวเป็นวงกลมไม่ได้ครับ)
ซึ่งพอรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสร้างเส้นทางส่วนต่อขยายครบ และเปิดให้บริการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้สายนี้กลายมาเป็นอีกหนึ่งรถไฟฟ้าสายสำคัญที่วิ่งรอบเมือง และผ่านเมืองชั้นในในบางจุดครับ โดยเป็นสายที่สามารถนั่งเพื่อเข้าสู่ย่านสามย่าน, พระราม 4, อโศก, รัชดา, บางซื่อ, จตุจักรได้เลย
นอกจากนี้ยังเป็นรถไฟฟ้าสายที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่นเรียกได้ว่าน่าจะเยอะเกือบๆ ที่สุดแล้ว ก็เป็นตัวเลือกเพิ่มเติมในการเดินทางได้ครับ
แยกไฟฉาย
ใกล้แหล่งงาน/มหาลัย เชื่อมต่อชุมชนเดิม เพิ่มเติมคือวันนี้มีรถไฟฟ้าแล้ว
ต้องยอมรับครับว่าถ้าเราดูทำเลคอนโดติดรถไฟฟ้า เอาแค่ช่วงบนถนนจรัญสนิทวงศ์เอง เส้นนี้ก็มีรถไฟฟ้าหลายสถานีอยู่ ตัวเลือกในการซื้อคอนโดก็ค่อนข้างหลากหลาย แล้วแยกไฟฉายมีจุดเด่นอะไร ทำไมถึงมีโครงการมาตั้งที่นี่กัน??
ซึ่งแยกไฟฉาย ไม่ได้เป็นสถานีที่ใกล้เมืองที่สุดครับ ดูจากแผนที่หลายคนก็น่าจะเห็นภาพ หรือถ้าจะดูเรื่องความใกล้ห้าง ก็มีสถานีที่ใกล้ห้างโซนเซ็นทรัลปิ่นเกล้า, พาต้า หรือ The Sense มากกว่านี้ (ถึงแม้จะไม่ได้ใกล้ในระยะเดินได้)
แต่สิ่งที่ทำให้คอนโดทำเลแยกนี้น่าสนใจก็เพราะที่แยกไฟฉาย จะเป็นแยกที่เชื่อมต่อกับศิริราชและวังหลัง ที่เป็นทั้งแหล่งงาน และจุดต่อเรือที่สำคัญของย่านนี้ครับ
วังหลัง – ศิริราช – ท่าพระจันทร์
สำหรับแยกไฟฉาย เดิมทีจะเป็นแยกที่ตัดกันระหว่างถนนพรานนกกับถนนจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งจากแยกนี้ประมาณกิโลนิดๆ ก็จะถึงกับโรงพยาบาลศิริราชและตลาดวังหลังครับ
ถ้าพูดถึงศิริราช น่าจะแทบไม่มีใครไม่รู้จักโรงพยาบาลนี้ กับโรงพยาบาลริมน้ำที่เรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ แห่งหนึ่งของประเทศไทย ที่นี่จะเป็นทั้งโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลขนาดใหญ่ทั้งในรูปแบบของโรงพยาบาลรัฐทั่วไป และโรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ที่เปิดขึ้นมาใหม่เพื่อแข่งขันกับโรงพยาบาลกลุ่มเอกชน ดังนั้นจุดนี้ก็จะเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ของย่านนี้เลยครับ
ซึ่งตรงบริเวณตรงข้ามกับศิริราชก็จะเป็นตลาดวังหลัง จุดนี้หลายๆ คนน่าจะพอได้ยิน หรือทราบกันอยู่แล้วหละครับว่าของกินเยอะ มาชอปปิ้งกันได้ แต่จุดที่น่าสนใจอีกอย่างคือตรงนี้จะเป็นท่าเรือ โดยจะมีทั้งเรือสำหรับนั่งไปสาทรหรือโซนเกียกกายได้ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของตรงนี้คือเรือข้ามฟากครับ
ซึ่งพอข้ามฟากไป สิ่งที่อยู่ตรงข้ามก็จะเป็นท่าพระจันทร์ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ท่าช้างก็จะมีมหาวิทยาลัยศิลปากรตั้งอยู่ด้วยครับ ซึ่งทั้งสองมหาวิทยาลัยนี้จะอยู่ใกล้กับสนามหลวง/พระบรมหาราชวัง/วัดพระแก้ว ดังนั้นอย่างที่เรารู้ๆ กันก็คือที่อยู่ที่พัก ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ในย่านเมืองเก่าสำคัญแบบนั้นมันแทบจะไม่มีครับ
ดังนั้นเราก็จะเห็นน้องๆ นักศึกษาหรือว่าบุคลากรมหาวิทยาลัย มาหาที่พักในฝั่งตรงข้ามแม่น้ำที่เป็นฝั่งธน แล้วเดินทางข้ามแม่น้ำไปนั่นเองครับ
ศิริราช
วังหลัง
ธรรมศาสตร์
ถนนตัดใหม่ พรานนก – สาย 4
พูดถึงแยกไฟฉาย ในฝั่งของถนนพรานนกไปแล้ว ถ้าใครที่อยู่ย่านนี้มานาน คงจะคุ้นเคยกับชื่อเรียก “สามแยกไฟฉาย” ซึ่งในปัจจุบัน ตรงนี้เค้าก็ไม่ได้เป็นแค่สามแยกอีกต่อไปแล้วครับ เพราะมีการสร้างถนนพรานนก – พุทธมลฑลสาย 4 ที่จะวิ่งตัดกับถนนราชพฤกษ์และถนนพุทธมลฑลสายต่างๆ ไปจนถึงสาย 4 (ปัจจุบันกำลังสร้างถึงพุทธมลฑลสาย 3)
ซึ่งต้องบอกว่าหลายๆ คนที่ซื้อคอนโดในละแวกฝั่งธน บางคนก็โตมากับบ้านที่อยู่ในฝั่งธนเองครับ พอเริ่มทำงาน เริ่มมองหาที่ขยับขยาย จากคนรอบตัวของผู้เขียนเอง ก็มีหลายคนเลย ที่ก็อยากขยับมามีพื้นที่เป็นของตัวเอง ให้เดินทางสะดวกขึ้น หาคอนโดติดรถไฟฟ้า แต่ก็ยังอยากได้เป็นทำเลฝั่งธนที่คุ้นเคยเหมือนเดิม เพื่อที่จะได้ยังไปมาหาสู่กับที่บ้านได้
ซึ่งตรงนี้ก็จะเป็นจุดเด่นของแยกไฟฉายครับ เพราะถนนตัดใหม่ก็เรียกได้ว่าเป็นเส้นที่ตัดทะลุถนนฝั่งธนหลายสาย เลยทำให้แยกไฟฉายจะสามารถเชื่อมต่อกับโซนต่างๆ ของฝั่งธนได้แบบขับรถแปปเดียวถึง ใช้เวลาไม่นานครับ ทำให้เป็นย่านที่สามารถไปทำงานและไปกลับบ้านได้ในที่เดียวกัน
ดังนั้นย้อนกลับมาที่คำถาม แล้วทำเลแยกไฟฉายมีจุดเด่นที่แตกต่างกับที่อื่นยังไง ทำไมถึงมาตั้งโครงการตรงนี้ ก็ต้องบอกว่าน่าจะเป็นความที่ทำเลค่อนข้าง Balance ข้อดีหลายอย่างมาไว้ในตัวเองครับ คืออาจจะไม่ได้เด่นในด้านใดด้านหนึ่งสุด แต่มีทั้งแหล่งงานขนาดใหญ่ใกล้ๆ โดยที่ยังได้ทำเลที่ติดรถไฟฟ้าด้วย มีความเป็นแหล่งชุมชน ถึงจะไม่ได้มีห้างใหญ่ แต่ก็มีทั้งตลาดและ Makro, Foodland, HomePro อยู่ไม่ไกล รวมไปถึงเป็นจุดที่สามารถเชื่อมต่อไปในหลายๆ ย่านของฝั่งธน และทีสำคัญราคาของทำเลนี้ยังอยู่ในช่วงที่จับต้องได้ครับ
ที่ตั้งโครงการ
330 เมตรจากรถไฟฟ้า แต่ได้ความสงบอารมณ์บ้าน มีระยะห่างจากถนนใหญ่เล็กน้อย
จุดเด่นของที่ตั้งโครงการนี้คือจะอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีแยกไฟฉายแค่ 330 เมตรครับ ก็ถือว่าเป็นระยะเดินที่ไม่ไกลมาก แต่ตัวโครงการจะไม่ได้อยู่ติดกับถนนจรัญสนิทวงศ์ซะทีเดียว แต่จะเดินเข้าซอยจรัญสนิทวงศ์ 28/2 มาระยะประมาณ 100 เมตรครับ
ลักษณะของตัวซอยจะเป็นตึกแถว 2 ฝั่งถนน ด้วยตัวซอยที่เป็นซอยตัน ทำให้การจราจรของซอยนี้ก็จะไม่จอแจ ค่อนข้างสงบครับ มีร้านของกินบ้างประปราย ซึ่งพอตัวโครงการเข้ามาในซอยเล็กน้อยก็จะได้เรื่องของความสงบ ไม่ได้ยินเสียงรถจากการจราจรครับ แต่ก็แลกมากับการที่ตึกอาจจะไม่ได้เห็นเด่นจากริมถนน
ในแง่ของการเดินทาง ถ้าใช้รถไฟฟ้า จากสถานีไฟฉาย จะต้องเดินข้ามสะพานลอยก่อนทีนึงครับ ระยะเดินไม่ไกลมาก แปปเดียวถึง จะติดนิดนึงก็คืออาจจะไม่มีร้านสะดวกซื้อระหว่างทางเดินมาและไม่ค่อยมีร้านของกินมากเท่าไหร่ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ตลาดนครหลวงฝั่งตรงข้ามโครงการครับ
ซึ่งจากสถานีแยกไฟฉาย จะใช้เวลาไปสถานีต่างๆ ในเมืองประมาณนี้ครับ
สถานีไฟฉาย >> สถานีท่าพระ : 4 นาที
สถานีไฟฉาย >> สถานีวัดมังกร : 15 นาที
สถานีไฟฉาย >> สถานีสามย่าน : 20 นาที
สถานีไฟฉาย >> สถานีสีลม : 21 นาที
สถานีไฟฉาย >> สถานีลุมพินี : 23 นาที
สถานีไฟฉาย >> สถานีบางซื่อ : 17 นาที
สถานีไฟฉาย >> สถานีจตุจักร : 21 นาที
ข้อดีก็คือตรงนี้สามารถเลือกไปได้สองทางเลย ไม่ว่าจะเป็นย่านบางซื่อ-จตุจักร หรือย่านสีลม-พระราม 4 แต่ถ้าไปฝั่งสีลม-พระราม 4 ก็อาจจะต้องเปลี่ยนรถนิดนึงที่สถานีท่าพระครับ (แต่ว่าไม่ต้องออกจากสถานีหรือเสียเงินเพิ่มนะ) แต่ก็อาจจะมีจำนวนสถานีในการเข้าเมืองที่หลายป้ายนิดนึง ซึ่งในอนาคต ที่สถานีบางขุนนนท์ที่ถัดออกไป 1 สถานีจะมีรถไฟฟ้าสายสีส้มมาตัด เป็นอีก 1 interchange ก็จะช่วยให้สามารถตรงเข้าสู่เมืองได้สะดวกขึ้นกว่าเดิมครับ
ในแง่ของการเดินทางด้วยรถยนต์ ก็สามารถใช้ถนนจรัญฯ เพื่อไปเข้าเมืองฝั่งสาทรได้ครับ หรือถ้าใครที่ทำงานย่านเมืองเก่า ก็สามารถไปทางสะพานปิ่นเกล้า-สะพานพระราม 8 ได้เช่นเดียวกัน ย่านจรัญเองก็จะเป็นทำเลนึงที่ค่อนข้างใกล้กับเมืองเก่ามากครับ
ส่วนการใช้ขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ เนื่องจากถนนจรัญฯ ก็เป็นถนนสายหลักของย่านนี้ ดังนั้นรถเมล์ในเส้นนี้ก็จะมีหลากหลายสายครับ สามารถเลือกใช้บริการได้
ส่วนท่าเรือที่ใกล้กับโครงการมากที่สุด จะเป็นท่าเรือวังหลัง อยู่ห่างออกไปประมาณ 2 กิโลครับ ตรงนี้อย่างที่บอกก็คือสามารถข้ามฟากไปท่าพระจันทร์, ท่าช้างได้ หรือจะขึ้นเรือเพื่อไปย่านเกียกกาย-รัฐสภาใหม่ หรือย่านสะพานพุทธ สะพานตากสินก็ได้เช่นเดียวกันครับ
รูปแบบโครงการ
คอนโด Highrise 22 ชั้น 2 อาคาร กับส่วนกลาง Rooftop ว่ายน้ำพร้อมวิวเมือง
ข้อมูลโครงการ
ชื่อโครงการ : | Supalai Park สถานีแยกไฟฉาย |
Developer : | บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) |
เนื้อที่โครงการ : | ประมาณ 6 ไร่ |
จำนวนห้องพักอาศัย : | 726 ยูนิต |
รูปแบบโครงการ : | High Rise 22 ชั้น 2 อาคาร |
ลิฟต์ : | ลิฟต์โดยสารอาคารละ 3 ตัว และเซอร์วิสลิฟต์อาคารละ 1 ตัว |
ที่จอดรถ : | 56% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) |
ค่าส่วนกลาง : | 40 บาท/ตารางเมตร/เดือน |
ค่ากองทุน : | 400 บาท/ตารางเมตร |
Facility : | อาคาร A : – Lobby – Mail Room – Backyard Garden – Rooftop Garden – Fitness – Sky Lounge – Sky Walk อาคาร B : – Lobby – Mail Room – Backyard Garden – Sauna – Infinity Edge Swimming Pool – Kids Pool ด้านนอกอาคาร : – Jogging Trial – สวนสาธารณะ – สนามเด็กเล่น – EV Charger – Smart Locker |
แบบห้อง : | Studio ขนาด 29.5 – 31 ตารางเมตร 1 Bedroom ขนาด 34 – 43 ตารางเมตร 1 Bedroom Plus ขนาด 44.5 – 45 ตารางเมตร 2 Bedroom ขนาด 64.5 – 74.5 ตารางเมตร |
ราคา : | เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท* |
ราคาเฉลี่ย : | ประมาณ 69,000 บาท/ตารางเมตร |
สถานะโครงการ : | สร้างเสร็จแล้วพร้อมเข้าอยู่ |
โครงการ Supalai Park สถานีแยกไฟฉาย เป็นโครงการ High Rise ขนาดใหญ่ที่มีทั้งหมด 2 อาคารด้วยกัน ทั้งสองอาคารจะสูง 22 ชั้น มีห้องพักอาศัยทั้งหมด 726 ยูนิต ซึ่งชั้นดาดฟ้าเขาจะมีแต่พื้นที่ส่วนกลางครับ ลูกบ้านทั้งสองอาคารสามารถใช้ข้ามอาคารกันได้เลย เพราะด้านบนเขามีสะพาน Sky Walk เชื่อมทั้งสองอาคารเอาไว้ ก็ถือว่าสะดวกดีครับ มาชั้นเดียวแต่ไปได้หมด และด้วยความที่เขาใช้แบรนด์ Supalai Park ก็จะเน้นไปที่พื้นที่สีเขียวเป็นหลัก ตั้งแต่ด้านนอกอาคาร ชั้น 5 และชั้นดาดฟ้า รวมๆ แล้วก็มีพื้นที่สีเขียวประมาณ 65% ทำให้ส่วนกลางต่างๆ มีต้นไม้ มีธรรมชาติประดับประดาอยู่ฮะ
ตัวโครงการจะอยู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 28/2 เป็นซอยตันนะครับ เข้าซอยมานิดเดียว โครงการจะอยู่ทางด้านขวามือ ส่วนรอบข้างจะเป็นตึกแถวที่มีผู้คนในชุมชนอาศัยอยู่ ทางเข้าค่อนข้างกว้างเลย เดี๋ยวเราจะพาเพื่อนๆ ไปดูส่วนกลางของที่นี่กันครับ
ส่วนกลางที่ชั้น 1
พื้นที่ Lobby ขนาดใหญ่ แยกกันสำหรับแต่ละอาคาร พร้อมจุด Dropoff ในร่ม
มาเริ่มที่จุดที่อยู่ใกล้ทางเข้าโครงการที่สุดกันก่อนครับ แต่ละอาคารเขาจะมีมุม Drop-off ของตัวเอง ถ้านั่งรถสาธารณะมาหรือเพื่อนมาส่งก็สามารถวนมาจอดด้านหน้า Lobby ของตัวเองแล้วออกได้เลย ไม่ต้องไปกลับรถไกล และไม่เปียกฝนครับ ตรงกลางระหว่างอาคารก็มีสวนที่เป็น Welcome Garden ด้วย ถ้าเราอยู่ด้านล่างแล้วเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนจะเห็นสะพาน Sky Walk ที่เชื่อมสองอาคารเข้าไว้ด้วยกัน
Lobby
Tower A
มาดู Lobby A กันก่อน เดินเข้ามาใน Lobby จะมีมุมนั่งเล่นค่อนข้างเยอะเลย มานั่งเล่น นั่งทำงาน อ่านหนังสือ รอเพื่อ รอบริการขนส่งต่างๆ ได้ การตกแต่งจุดนี้ก็จะมีการใช้หินอ่อนเข้ามาด้วยครับ ดูดีเลย
Tower B
สำหรับ Lobby ของ Tower B จะใหญ่และกว้างกว่า Tower A ครับ มีพื้นที่ให้ได้นั่งหลายมุม ใครชวนเพื่อน ชวนแขกมาหาที่คอนโดก็ให้มานั่งรอที่ Lobby ได้สบายๆ
Mail Room
ห้องจดหมายจะมีทั้ง 2 อาคารนะครับ อยู่บริเวณใกล้กับ Lobby ทำออกมาสวยทีเดียว
ส่วนกลางอื่นๆ
นอกจาก Lobby และ Mail Room บริเวณด้านหน้าที่ใต้อาคารของ Tower A จะมีตู้ Smart Locker เอาไว้ให้ใช้งานด้วยครับ สามารถใช้ฝากของให้เพื่อนได้ ไม่ต้องกลัวนิติปิด ส่วน EV Charger ก็มีให้บริการเหมือนกัน สามารถจอดชาร์จได้ 2 คันครับ จริงๆ ที่ชั้น 1 ยังมีสวนข นาดใหญ่พร้อมสนามเด็กเล่นอีกนะครับ แต่เดี๋ยวเราพูดถึงอีกที เพราะที่นี่มีสวนหลายจุดมาก ตามชื่อแบรนด์ Supalai Park เลย
ไฮไลท์ส่วนกลางดาดฟ้า
ที่นี่จะยกส่วนกลางหลักมาไว้ดาดฟ้าแทบทั้งหมดเลย พร้อมสระว่ายน้ำ infinity edge รับวิวเมือง
Infinity Edge Swimming Pool
ที่นี่ Facility ส่วนใหญ่ของโครงการจะถูกยกมาไว้ที่ดาดฟ้าชั้น 22 แทบทั้งหมดเลยครับ จุดที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยคงหนีไม่พ้นกับสระว่ายน้ำแบบ Infinity Edge สระจะเป็นรูปตัว L วิวที่ได้คือดีมาก เป็นวิวเมืองที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ไม่มีตึกสูงใดๆ มาบดบัง จะมาว่ายน้ำออกกำลังกาย มาแช่น้ำชิวๆ หรือนั่งเล่นริมสระ บอกเลยว่าบรรยากาศข้างบนค่อนข้างสงบฮะ
ซึ่งตัวสระจะอยู่บน Tower B แต่ถูกยกขึ้นมาจากชั้นดาดฟ้าปกติอีกชั้นนึง ทำให้สามารถ Take วิวได้แบบโล่งๆ เลย แต่ต้องเดินขึ้นบันไดมาหน่อยนะฮะ
มองจากด้านบนก็จะเห็นสถานีรถไฟฟ้าด้วยครับ
Sky Walk
เนื่องจากที่นี่มี 2 อาคาร พื้นที่ส่วนกลางบนชั้นดาดฟ้าเค้าก็จะทำออกมาเชื่อมกันโดยมีสะพาน Sky Walk ที่จะเชื่อม Tower A กับ Tower B ให้เดินหากันได้ครับ
แถมตัว Sky Walk ตรงกลางเขาจะติดตั้งกระจกสี่เหลียมเจาะช่องเอาไว้ ซึ่งกระจกนี้มองทะลุลงไปเห็นข้างล่างเลยครับ สูงมากกกก มองแล้วเสียวๆ หน่อย ก็ต้องบอกว่าเค้ามีลูกเล่นนะ ไม่ได้ทำเป็นสะพานเฉยๆ
Fitness
กลับมาที่อาคาร A บ้างครับ ที่บนอาคาร A จะมีห้องฟิตเนส ขนาดห้องค่อนข้างกว้าง เพดานสูงโปร่ง ไม่อึดอัด มองวิวได้หลายฝั่งครับ จะเป็นวิวเมือง วิวอาคารฝั่งตรงข้าม หรือวิวสวนด้านข้างก็ได้ อุปกรณ์ที่ให้ก็ครบครัน ทั้ง Weight Training ลู่วิ่ง จักรยานต่างๆ
Sky Lounge
ใกล้ๆ กันกับห้อง Fitness ที่ Tower A จะเป็นห้อง Sky Lounge สำหรับให้ลูกบ้านมานั่งพักผ่อน ห้องนี้ค่อนข้างใหญ่และเป็นห้องแบบเพดานสูงเช่นเดียวกัน มีหลายมุมให้เราได้เลือกครับ ไม่ว่าจะเป็นโซฟาชิวๆ โต๊ะเล็ก โต๊ะบาร์ริมหน้าต่าง เป็นห้องอเนกประสงค์ที่จะมานั่งทำงานก็ได้ มานั่งเล่นนอนเล่นเฉยๆ ก็ดี รอบห้องจะเป็นหน้าต่างกระจกทั้งผนังเลย ทำให้ห้องดูกว้างและโปร่งมากขึ้น
โซนที่เป็นเคาน์เตอร์บาร์ก็มีนะครับ เอาไว้จัดปาร์ตี้เล็กๆ ได้
พื้นที่สีเขียวรอบโครงการ
โครงการมาพร้อมกับสวนหลายจุด ตามชื่อแบรนด์ Supalai Park ที่เน้นพื้นที่สีเขียว
Welcome Garden
บรรยากาศด้านนอกอาคาร และบริเวณ Welcome Garden ครับ ตัว Welcome Garden จะเป็นสวนที่อยู่ระหว่าง 2 ตึก ใครที่ขับรถเข้ามาก็จะผ่านสวนตัวนี้ เป็นเหมือนสวนไว้ต้อนรับของโครงการครับ มองขึ้นไปจากสวนจะเห็น Sky walk ข้ามระหว่าง 2 ตึก ที่ชั้นจอดรถ ตรงนี้โครงการจะมีการทำ Vertical Garden ไว้ด้วยนะครับ รอต้นไม้โตก็น่าจะเป็นกำแพงสีเขียวดูร่มรื่นขึ้น
Backyard Garden
ขึ้นมาชั้น 5 บนชั้นเหนือที่จอดรถของทั้ง 2 ตึก ทั้ง Tower A และ Tower B จะเจอกับสวนสีเขียวขนาดใหญ่ เหมาะกับการวิ่งเล่นครับ ข้างๆ มีชิงช้าให้มานั่งรับลมชิวๆ ด้วย Backyard Garden จะมีทั้งสองอาคารเลยนะ อยู่ชั้นเดียวกันด้วย แต่อยู่คนละฝั่ง ไม่ได้หันหน้าเข้าหากัน
Roof Garden
Tower A
มาถึงดาดฟ้ากันบ้างครับ ที่ดาดฟ้าของทั้ง 2 อาคารก็จะมีพื้นที่สีเขียวด้วยเช่นเดียวกัน โดยบน Tower A โซนนี้จะเป็นสวนที่อยู่ติดกับฟิตเนสเลยครับ มานั่งเล่นได้ หรือถ้าเราออกกำลังกายเหนื่อยๆ แล้วอยากจะนั่งพักยืดเส้นยืดสาย มุมนี้ก็เป็นมุมที่ดีเลย และที่ตรงนี้เค้าจะมีลานสนามกอล์ฟเล็กๆ เอาไว้ให้ลูกบ้านได้เล่นกันด้วยคับ
Tower B
หลังจากข้ามฝั่งมาจาก Skywalk ของ Tower A มาถึง Tower B ก็จะมีสวนอีกหนึ่งจุดครับ มาฝั่งนี้จะเจอสวนสีเขียว ต้นไม้ ใบหญ้า เก้าอี้ ให้เราได้ผ่อนคลายก่อนเลยฮะ ก่อนที่จะสามารถเดินต่อไปที่สระว่ายน้ำได้
สวนสาธารณะและสนามเด็กเล่น
สำหรับสวนที่ใหญ่ที่สุดของโครงการ จะอยู่บริเวณ On ground ที่ชั้น 1 ด้านข้างของตึก A ซึ่งฟังก์ชั่นของสวนนี้จะจัดออกมาค่อนข้างหลากหลาย ทั้งเป็นสวนพักผ่อน เป็นสนามเด็กเล่น รวมไปถึงมี Jogging Track สำหรับมาวิ่งออกกำลังกายได้ ตอนช่วงเย็นๆ อากาศดีๆ น่ามาใช้งานทีเดียวครับ เป็นอีกจุดที่สามารถมาใช้งานพักผ่อนได้จริง สวนค่อนข้างมีต้นไม้ใหญ่เยอะ ถ้ารอต้นไม้โตเต็มที่ น่าจะร่มรื่นทีเดียวครับ
แปลนอาคาร/แปลนห้อง
726 ห้องแบ่งออกเป็นสองอาคาร ยูนิตไม่แน่นมาก ห้องกว้าง มีให้เลือกตั้งแต่ Studio จนถึง 2 Bedroom
ดูพื้นที่ส่วนกลางกันไปเยอะแล้ว เดี๋ยวเรามาดูแปลนอาคารกันบ้างฮะ ที่นี่เขาออกแบบแปลนมาเป็นรูปตัว L 2 อาคารที่ไม่ได้หันหน้าเข้าหากันแต่อย่างใด ปกติถ้าอาคารเป็นรูปตัว L เราจะเห็นการออกแบบให้มาประกบกันเป็นสี่เหลี่ยมบ่อยๆ แต่ที่นี่ไม่ฮะ วาง L สองตัวเหมือนกันไปเลย ทั้ง 2 อาคารจะสูง 22 ชั้น มีห้องพักอาศัย 726 ยูนิต ถ้าเพื่อนๆ ดูในแปลนก็จะเห็นพื้นที่สีเขียวค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะด้านข้างโครงการที่มีสวนสาธารณะและสนามเด็กเล่น
แต่ละอาคารจะมีจุด Drop-off ของตัวเอง อยู่ติดกับ Lobby ระหว่าง 2 อาคารมีระยะห่างพอสมควร ไม่ได้ชิดติดกันฮะ
Tower A
สำหรับ Tower A จะมีลิฟต์โดยสารทั้งหมด 3 ตัว และเซอร์วิสลิฟต์อีก 1 ตัว มีบันไดหนีไฟทั้ง 2 ฝั่ง จากแปลนจะเห็นว่าห้องที่อยู่หัวมุมจะเป็น 2 Bedroom ทั้งหมดเลย ชั้นนึงจะมีห้องพักอาศัยประมาณ 22 ยูนิต ชั้น 2 – 4 จะเป็นลานจอดรถ มีที่จอดรถ 55% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) ปกติแล้วจะเป็นแบบเวียนจอด แต่ถ้าซื้อห้อง 2 Bedroom ขนาด 70 ตารางเมตรขึ้นไปจะได้ที่จอดรถ 2 คัน คันนึงเป็นที่จอดแบบ Fix ส่วนอีกคันจะได้แบบเวียนจอดครับ ตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไปจะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัย
Tower B
ส่วน Tower B ก็ไม่ได้แตกต่างจาก Tower A เลยฮะ มีลิฟต์โดยสาร 3 ตัวและเซอร์วิสลิฟต์อีก 1 ตัวเหมือนกัน ชั้นนึงก็จะมีห้องพักอาศัยประมาณ 22 ยูนิต ที่นี่จะมีห้องพักอาศัยที่เป็น 1 Bedroom กับ 1 Bedroom Plus เยอะเลยครับ ซึ่งเป็นห้องที่ขายดีของ Supalai Park สถานีแยกไฟฉายด้วย
แปลนห้อง
อย่างที่บอกไปด้านบนฮะว่าห้อง 1 Bedroom กับ 1 Bedroom Plus เป็นแปลนขายดีของ Supalai Park สถานีแยกไฟฉาย แต่ใช่ว่า Studio กับ 2 Bedroom จะขายไม่ดีนะครับ เพียงแค่ขายดีไม่เท่าห้อง 1 Bedroom กับ 1 Bedroom Plus เท่านั้นเอง เดี๋ยวเราจะพาเพื่อนๆ มาดูกันว่าทำไมถึงขายดีฮะ
Studio
สำหรับแปลน Studio จริงๆ จะมี 2 ขนาดด้วยกัน คือ 29.5 กับ 31 ตารางเมตร แต่ทั้ง 2 ขนาดแปลนคือเหมือนกันเลยครับ ห้องนี้จะเป็นตอนลึก เอาครัวไว้ด้านหน้า เป็นครัวแบบเปิด ไม่มีประตูบานเลื่อนกระจกกั้นใดๆ ห้องน้ำอยู่ตรงข้ามกับครัว ส่วนโซนนั่งเล่นกับโซนห้องนอนจะอยู่รวมกันเป็นพื้นที่เดียว แต่ก็ยังมีมุมริมหน้าต่างให้ทำเป็นโซฟา Daybed หรือไม่ก็วางโต๊ะทำงานได้
ห้องนี้ค่อนข้างจะเหมาะกับคนที่อยากอยู่คนเดียว ไม่ต้องการพื้นที่เยอะ ขี้เกียจทำความสะอาดหรือขี้เกียจเดินไปห้องนู้นห้องนี้มุมนู้นมุมนี้ อยากก้าวเดียวถึงทุกโซน หรือแค่เอื้อมก็สามารถหยิบจับของที่ต้องการได้ ห้องนี้ก็ค่อนข้างตอบโจทย์เลย แต่ถ้าถามว่าอยู่ 2 คนได้มั๊ย ก็อยู่ได้นะครับ เพียงแต่ว่าจะทำอะไรก็คือจะเห็นกันตลอดเวลา ไม่ได้มีมุมให้หลบไปใช้เวลาเงียบๆ คนเดียวเท่าไหร่
1 Bedroom
สำหรับ 1 Bedroom จะมีหลายขนาดครับ คือ 34, 34.5, 41.5, 42.5 และ 43 ตารางเมตร ซึ่งทั้ง 5 ขนาด ผมแบ่งออกมาได้ 2 แปลนด้วยกันครับ
แปลนแบบ 34 กับ 34.5 ตารางเมตร แปลนนี้ก็คือห้อง 1 Bedroom ตอนลึกที่เราพบได้ทั่วไปครับ มีความคล้ายกับห้อง Studio มากๆ คือครัวอยู่ด้านหน้าเหมือนกัน เป็นครัวเปิดด้วย ห้องน้ำก็อยู่ตรงข้ามกับครัว เดินเข้ามาเป็นห้องนั่งเล่น จะต่างกันตรงที่เขากั้นห้องนอนด้วยประตูบานเลื่อนกระจก และระเบียงที่ยาวมากครับ
ส่วนแปลนแบบ 41.5 42.5 และ 43 ตารางเมตร จะเหมือนกันเลยครับ แปลนนี้ห้องนั่งเล่นจะอยู่ด้านหน้า มีพื้นที่สำหรับมุมทานข้าวด้วยนะ คือสามารถวางโซฟาขนาดใหญ่ ไปพร้อมๆ กับโต๊ะทานข้าวแบบ 4 ที่นั่งได้ ซึ่งถ้าถามว่าวางได้จริงมั๊ย เดี๋ยวรอดูห้องตัวอย่างได้เลยครับ เรามีมาให้ดูด้วย พื้นที่เหลือเฟือแน่นอน ติดกับห้องนั่งเล่นจะเป็นห้องนอนที่มีประตูบานเลื่อนกระจกกั้น ส่วนห้องน้ำอยู่ใกล้กับประตูทางเข้าห้อง และครัวที่ได้ก็เป็นครัวปิดอยู่ติดระเบียง พื้นที่ครัวค่อนข้างยาวเลย สามาร Built-in ตู้เก็บของต่างๆ เพิ่มเติมได้
1 Bedroom เป็นห้องที่ถ้าอยากอยู่คนเดียวก็สบาย หรือจะอยู่ 2 คนก็สะดวกครับ พื้นที่แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้แบบที่ต่างคนต่างมีสเปซให้กันและกัน
1 Bedroom Plus
ห้อง 1 Bedroom Plus จะมีทั้งหมด 2 ขนาดด้วยกัน คือ 44.5 และ 45 ตารางเมตรครับ ซึ่งทั้ง 2 ขนาดแปลนก็จะเหมือนกันเลย ใครที่ชอบห้องกว้างขึ้นมาหน่อย มีพื้นที่ใช้สอยเยอะ ห้องนี้ก็น่าสนใจฮะ แปลนเขาไม่เหมือนกับห้องอื่นๆ ด้วยนะ แต่ถ้าใครอ่านรีวิวคอนโดศุภาลัยของ LivingPop ก็จะเจอแปลนแนวนี้มาบ้าง
เป็นห้องที่เปิดเข้ามาจะเจอห้องนั่งเล่นก่อนเลย พื้นที่ห้องนั่งเล่น โต๊ะกินข้าว และครัวเชื่อมต่อกันทั้งหมด ผมว่าห้องนี้ค่อนข้างออกแบบตกแต่งเพิ่มเติมได้เยอะเลย ด้วยความที่โซนนั่งเล่นมีพื้นที่เยอะ เวลาเราเปิดประตูเข้ามาทำให้ห้องดูกว้างมากครับ ห้องนอนกับห้องอเนกประสงค์จะมีประตูบานเลื่อนกระจกกั้นเอาไว้ ห้องอเนกประสงค์ไม่เล็กนะครับ ทำเป็นห้องนอนเล็กยังได้เลย ส่วนห้องน้ำจะอยู่ติดกับครัว แต่ข้อเสียของห้องนี้คือคอมเพรสเซอร์แอร์ค่อนข้างเกะกะที่ระเบียง ด้วยความที่ได้แอร์ 3 ตัว ทำให้มีคอมเพรสเซอร์แอร์ 3 เครื่องเช่นกัน ก็กินพื้นที่ระเบียงทั้งด้านไปเลย เหลือพื้นที่ให้เราไปยืนชมวิวได้ไม่เยอะครับ
ห้องนี้จะอยู่คนเดียวหรือ 2 คนก็ได้ มีพื้นที่ในการใช้ชีวิตเหลือเฟือเลย
2 Bedroom
สำหรับ 2 Bedroom จะมี 3 ขนาดด้วยกัน คือ 64.5, 70 และ 74.5 ตารางเมตร แปลนห้องเขาก็จะแตกต่างกันไปครับ แต่ว่าจะได้ครัวปิดเหมือนกัน มี 2 ห้องน้ำเหมือนกัน ห้องนอนทั้ง 2 ห้องจะเป็นผนังแบบทึบเหมือนกัน ซึ่งเรามีห้อง 2 Bedroom ที่เป็นห้องตัวอย่างมาให้เพื่อนๆ ได้ดูกันด้วยนะฮะ
ห้องกว้าง ราคาไม่แรง
ที่นี้จะมีจุดเด่นเรื่องของขนาดห้องที่ใหญ่ ในราคาเริ่มต้น 1.99 ล้าน พื้นที่ห้องจะกว้าง อารมณ์เหมือนอยู่บ้านครับ
โครงการ Supalai Park สถานีแยกไฟฉาย จะมีห้องตัวอย่างทั้งหมด 3 ห้องด้วยกันครับ ปกติโครงการที่เราไปรีวิวมาก่อนหน้านี้ของศุภาลัย ก็จะเป็นห้อง Studio บ้าง 1 Bedroom บ้าง หรือไม่ก็ 1 Bedroom Plus แต่สำหรับโครงการนี้ห้องตัวอย่างค่อนข้างใหญ่ มีทั้ง 1 Bedroom, 1 Bedroom Plus และ 2 Bedroom ถ้าเพื่อนๆ กำลังมองหาคอนโดห้องกว้าง มีพื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือ อยากให้มาดูห้องที่นี่กันก่อนฮะ
ทุกห้องที่นี่จะขายแบบ Fully Fitted ครับ คือจะได้ในส่วนของชุดครัว ทั้งเคาน์เตอร์ครัว อ่างล้างจาน ชั้นเก็บของ และ Backsplash ส่วนห้องน้ำก็จะได้สุขภัณฑ์ทั้งอ่างล้างหน้า กระจก ชักโครก ฉากกั้นอาบน้ำกระจก และเครื่องทำน้ำอุ่น นอกจากนี้ยังมีวอลเปเปอร์ เครื่องปรับอากาศ Digital Door Lock และ Home Automation ด้วย สามารถเปิดปิดแอร์กับไฟได้ครับ
เดี๋ยวเราไปดูกันดีกว่าว่าห้องของที่นี่จะกว้างเหมือนที่ผมบอกรึเปล่า ตามไปเล้ยยย
1 Bedroom ขนาด 41.5 ตารางเมตร
ห้องนี้จะเป็นแปลนที่เราจะเห็นได้บ่อยๆ ครับ เปิดเข้ามาเป็นห้องนั่งเล่น สามารถมองทะลุไปเห็นห้องนอนได้ผ่านประตูบานเลื่อนกระจก ส่วนปีกซ้ายของห้องจะเป็นห้องครัว และระเบียง ส่วนห้องน้ำจะอยู่ด้านหน้า เข้าทางห้องนั่งเล่นได้ทางเดียว ข้อดีของห้องนี้คือได้ครัวติดระเบียง และได้ห้องนั่งเล่นที่ไม่มืด เพราะห้องนอนเป็นประตูบานเลื่อนกระจกทั้งฝั่ง บวกกับหน้าต่างที่ได้ค่อนข้างใหญ่ ทำให้รับแสงจากด้านนอกเข้ามาได้เยอะ
มาเริ่มดูห้องตัวอย่างจริงๆ กันบ้างครับ ห้องนี้ถ้าเปิดประตูเข้ามาก็เจอห้องนั่งเล่นเลย แต่ด้วยความที่ห้องกว้าง 41.5 ตารางเมตร ทำให้ห้องนั่งเล่นนี้มีพื้นที่ใช้สอยเยอะพอสมควร เพราะนอกจากจะวางโซฟาขนาดใหญ่ได้แล้ว ก็ยังมีพื้นที่ทำเป็นมุมทานอาหารด้วย
วางโซฟาได้หลากหลายรูปแบบเลยครับ แล้วถ้ามีโต๊ะกาแฟตรงกลางก็ไม่ทำให้ห้องดูแคบลงด้วย
ถ้าดูรูปด้านล่างก็จะเห็นมุมทานอาหารที่ผมบอก เอาจริงก็วางโต๊ะกินข้าวแบบ 4 ที่นั่งได้สบายๆ เลย พื้นที่เหลือๆ ครับ หรือจะทำเป็นมุมทำงานก็ได้นะ
มาต่อกันที่ห้องนอนฮะ วางเตียงขนาดใหญ่ได้แบบชิวๆ ด้านข้างมีพื้นที่วางโต๊ะข้างเตียงกับโต๊ะเครื่องแป้งด้วย
ส่วนปลายเตียงจะ Built-in ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางทีวีต่างๆ ก็มีพื้นที่เหลือครับ ใครอยากวางโต๊ะทำงานไว้ริมหน้าต่าง เวลาทำงานจะได้มองวิวสวยๆ ก็ลองจัดสรรพื้นที่ได้นะ
มาดูฝั่งซ้ายของห้องที่เป็นครัวกับระเบียงกันบ้างฮะ ห้องนี้จะได้ครัวที่ค่อนข้างยาวเลย ถึงแม้จะมีเคาน์เตอร์ครัวกับพื้นที่วางตู้เย็นแล้ว ก็ยังมีที่เหลือให้ Built-in เคาน์เตอร์ ชั้น หรือตู้เก็บของเพิ่มได้อีก ซึ่งห้องตัวอย่างเขาก็วางเป็นเครื่องซักผ้าไว้ให้ดูเป็นไอเดียฮะ ข้อดีคือ เราไม่ต้องเอาเครื่องซักผ้าไปวางไว้ที่ระเบียง แถมได้ที่เก็บของเพิ่มด้วย ไม่ปล่อยพื้นที่ให้เสียเปล่า ใครที่ชอบทำอาหารน่าจะชอบครัวของห้องนี้ครับ อ้อ! แล้วเขายังได้ครัวปิดที่อยู่ติดระเบียงด้วย ไม่ต้องห่วงเรื่องการระบายอากาศเลย
ระเบียงเขาจะแขวนคอมเพรสเซอร์แอร์ไว้ด้านข้างครับ มีก๊อกน้ำ และไฟติดตั้งมาให้เรียบร้อย
1 Bedroom Plus ขนาด 44.5 ตารางเมตร
ต่อไปจะเป็นห้องที่ใหญ่ขึ้นมากว่าห้องก่อนหน้านี้ครับ ถ้าเพื่อนๆ ดูที่แปลนห้องจะเห็นถึงความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือเข้ามาเป็นห้องนั่งเล่นเหมือนกันก็จริง แต่เราก็จะเห็นห้องอเนกประสงค์ และห้องนอนด้วย ส่วนครัวที่ได้จะเป็นครัวเปิดฮะ อยู่ติดกับทางเข้าห้องน้ำเลย
ห้องนี้ถ้าเราเปิดประตูเข้ามาจะเป็นห้องนั่งเล่นก่อนอย่างที่บอกครับ ห้องนั่งเล่นค่อนข้างยาวเลย อยากจะวางโซฟายาวแค่ไหนก็ได้
ส่วนตรงข้ามโซฟาเองก็มีพื้นที่ให้ Built-in หรือออกแบบตกแต่งได้อีกเยอะครับ ทั้งตู้เก็บของ เก็บรองเท้า ชั้นวางทีวีต่างๆ
มุมนี้ใช้เป็นมุมถ่ายรูปได้เลย จริงๆ พื้นที่ใช้สอยค่อนข้างเยอะ มีหลายๆ มุมที่เราสามารถเพิ่มเติมไลฟ์สไตล์หรือความชอบของเราลงไปได้
ครัวค่อนข้างใหญ่ ทางโครงการเขาจะให้ชุดเคาน์เตอร์มาเหมือนกับห้องตัวอย่างเลยครับ แต่พวกโต๊ะทานอาหารไม่ได้มีให้นะ มุมนี้เราออกแบบเองได้เลย จะวางโต๊ะทานอาหารแบบไหน หรือทำเป็น Island ทำเป็นบาร์เก๋ๆ ก็ได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับรสนิยมของเพื่อนๆ เลย