fbpx
รีวิวเจาะลึก

รีวิวเจาะลึก Supalai Parc เอกมัย – พัฒนาการ : คอนโดใกล้เมือง ที่ราคาจับต้องได้แบบสุดๆ เริ่ม 1.89 ล้าน

ถ้าพูดถึงคอนโดทำเลใกล้ใจกลางเมือง ถ้าเอาแบบติดถนนใหญ่จะต้องมีงบเท่าไหร่ครับ?? หลายคนอาจจะมีเลขในจะเป็นสัก 3 ล้าน หรือถ้าแบบราคาน่ารักๆ หน่อยก็จะเป็น 2 ล้านกว่าใช่ไหมครับ แต่วันนี้เราจะพามารู้จักกับโครงการที่ห่างจากเอกมัยแค่ 2 กิโลเมตร อยู่ติดถนนใหญ่ “พัฒนาการ” ในราคาที่มาเริ่มต้นไม่ใช่เลข 3 ไม่ใช่เลข 2 แต่เป็น 1.89 ล้านบาท!! กับโครงการ

“Supalai Parc เอกมัย – พัฒนาการ”

ที่นี่จะเป็นคอนโดทำเลใกล้เมือง ในราคาที่เอื้อมถึงได้ตามสไตล์ศุภาลัย อย่างราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท ราคานี้ได้ห้อง 30 ตารางเมตรนะครับ หารเฉลี่ยออกมาก็อยู่ประมาณ 6 หมื่นกว่าบาท/ตารางเมตรเท่านั้นเอง ราคานี้นี่จริงๆ เป็นราคาเดียวกับคอนโดชานเมืองไกลๆ ด้วยซ้ำฮะ หรือถ้าเฉลี่ยทั้งโครงการก็จะอยู่ประมาณ 7 หมื่นบาทต่อตร.ม. ซึ่งก็ขยับขึ้นมาไม่มาก

ที่นี่จะเป็นอย่างไร? น่าสนใจแค่ไหน?? นอกจากเรื่องของราคาแล้วมีอะไรอีก วันนี้ LivingPop จะพาไปรู้จักที่นี่กันแบบเจาะลึกครับ


จุดเด่นโครงการ

ที่ตั้งใกล้โซนเอกมัย-สุขุมวิท

ราคาแบบนอกเมือง
เฉลี่ย 70,000/ตร.ม.

ส่วนกลางเยอะที่สุดเท่าที่ศุภาลัยเคยทำมา


ถ้าพูดถึงคอนโดจากศุภาลัย หลายๆ ครั้ง (จริงๆ ต้องบอกว่าแทบทุกโครงการ) จะทำราคาออกมาได้ดีเสมอๆ เลยครับ ราคาค่อนข้างจะถูกกว่าคู่แข่งในย่านเดียวกัน กับการที่ทางศุภาลัยคุมต้นทุนต่างๆ ค่อนข้างเก่ง แต่ยังทำตึกออกมาได้ดี รวมไปถึงรูปแบบโครงการหลายๆ ที่ก็จะทำออกมาใหญ่หน่อย ให้ได้ Economy of Scale ทำให้สุดท้ายลูกค้าที่ซื้อ ได้ของในราคาที่จับต้องได้

มาถึงรอบนี้กับโครงการ “Supalai Parc เอกมัย – พัฒนาการ” ก็เช่นกันครับ ที่นี่ยังเอาจุดแข็งเดิมที่เป็นจุดเด่นของศุภาลัยมาครบ แต่มาพร้อมกับการ Rebrand ครั้งใหญ่ของแบรนด์ Supalai Park เปลี่ยนเป็น Supalai Parc ที่นอกจากแค่เรื่องของราคา ที่นี่จะเน้นเรื่องของ Design ต่างๆ ที่ดูดีขึ้นกว่ายุคก่อนๆ ที่เราเคยเห็น ส่วนกลางของที่นี่ก็ถูกเพิ่มเติมเข้ามา กลายเป็นโครงการที่มีส่วนกลางเยอะที่สุดเท่าที่ศุภาลัยเคยทำ รวมไปถึง Spec ห้องต่างๆ ก็มีการอัพเกรดยกชุดเช่นเดียวกัน ทำให้ที่ “Supalai Parc เอกมัย – พัฒนาการ” ที่นี่จะไม่ใช่แค่เน้นเรื่องราคาครับ

ซึ่งทำเลที่ตั้งของโครงการ ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะไม่ได้เป็นทำเลเบอร์ 1 ที่คนจะนึกถึง  ไม่ได้ติดรถไฟฟ้าแบบชิดสถานี แต่เป็นทำเลที่สำหรับที่มองหาที่อยู่โซนเพชรบุรี-สุขุมวิท แล้วราคาบนถนนเพชรบุรีไปไกลตารางเมตรละ 100,000 บาท up ไปแล้ว ที่นี่ขยับออกมาอีกนิด ยังใกล้สุขุมวิทเหมือนกัน แต่ราคาจับต้องได้ เป็นเจ้าของได้จริง หรือใครอยู่เป็นครอบครัวก็มีพื้นที่ให้กับทุกคน ตรงนี้เป็นจุดไม้ตายของทำเลที่ตั้งที่มาพร้อมราคาแบบนอกเมืองครับ

นึกภาพว่านอกจากราคาที่เริ่ม 1.89 ล้านบาท (สำหรับห้อง 30 ตร.ม.) อย่างห้อง 35 ตร.ม. ก็จะราคาอยู่แค่ 2 ล้านกลางๆ หรือถ้าอยากได้ใหญ่ขึ้นอีก 40 ตร.ม. ก็ยังมีที่ราคาไม่เกิน 3 ล้าน หรือถ้าใครมองห้องใหญ่ 2-3 ห้องนอน ห้องใหญ่สุดของโครงการ 3 ห้องนอน 100 ตร.ม.ก็ยังอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านบาท ถูกกว่า 2 ห้องนอนของหลายๆ ที่อีกครับ

แต่ก่อนจะพูดถึงตัวโครงการ เรามาดูทำเลกันก่อนครับ

เพชรบุรีตัดใหม่ – พัฒนาการ

ถนนขนานกับสุขุมวิท ย่านใกล้เมือง ที่ราคาคอนโดยังเป็นมิตร

สำหรับถนนเพชรบุรี ต้องบอกว่าเป็นอีกถนนที่อยู่คู่กับกทม.มานาน (ถึงจะเรียกว่าเพชรบุรีตัดใหม่) ซึ่งตัวถนนเพชรบุรีเค้าก็จะผ่านย่านสำคัญๆ ของกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็นย่านราชเทวี, ประตูน้ำ, อโศก-เพชร และด้วยความเป็นถนนที่คู่ขนานกันกับถนนสุขุมวิท ดังนั้นซอยต่างๆ ของสุขุมวิทฝั่งเลขคี่ เค้าก็จะมาทะลุออกถนนเพชรบุรีกันหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นซอย/ถนนดังๆ อย่างถ.อโศกมนตรี (สุขุมวิท 21), สุขุมวิท 39, ซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55), ซอยเอกมัย (สุขุมวิท 63), ซอยปรีดีฯ (สุขุมวิท 71)

ซึ่งด้วยความที่ถนนเพชรบุรีเป็นถนนใจกลางเมืองอีกเส้นนึง และขนานกับถนนสายสำคัญของกรุงเทพอย่างสุขุมวิท แถมมีระยะห่างไม่ไกลกันด้วย ในช่วงสมัย 30-40 ปีก่อนถนนเพชรบุรีก็จะเป็นอีกเส้นนึงที่มีความเจริญพอสมควร อย่างย่านประตูน้ำก็จะเป็นแหล่งห้างต่างๆ ในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นห้างพันธุ์ทิพย์ ห้างเมโทร มีอาคารออฟฟิศต่างๆ มาตั้ง ถึงจะไม่ได้กระจุกตัวหนาแน่นเท่ากับฝั่งสุขุมวิทที่เป็นเส้นหลักของย่านธุรกิจ จนกระทั่งการมาของรถไฟฟ้าในยุคปี 2540 ครับ ทำให้ความเจริญและการพัฒนาเมืองเปลี่ยนไป หลังจากมีรถไฟฟ้าเข้ามา บรรดาออฟฟิศ, โซนธุรกิจ, ห้างต่างๆ โครงการใหม่ๆ ก็จะหันไปเกาะทำเลติดรถไฟฟ้ากันแทน ทำให้ฝั่งเพชรบุรีอาจจะดูเงียบเหงาไปบ้าง

แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนก็คือที่ตั้งของถนนเพชรบุรีครับ เพราะยังไง๊ยังไงถนนเพชรบุรี ก็ตั้งอยู่กลางเมืองขนานกับถนนสุขุมวิทเหมือนเดิม อยู่ใกล้ๆ กัน และหลังจากที่สุขุมวิทมีรถไฟฟ้ามา 20 กว่าปี พื้นที่สำหรับการพัฒนาในสุขุมวิทชั้นในเริ่มเต็ม ถึงจุดที่ราคาที่ดินไปตร.ว.ละหลายล้าน คอนโดไปตร.ม.ละหลายแสน 

การที่ถนนเพชรบุรีไม่มีรถไฟฟ้า เลยกลายเป็นจุดเด่นไปซะอย่างงั้น

คือกลายเป็นว่าในขณะที่กลางสุขุมวิทคอนโดไปตารางเมตรละ 2-3 แสนกันแล้ว บนถนนเพชรบุรีที่มีท้ายซอยที่เชื่อมต่อกับซอยหลักต่างๆ ของถนนสุขุมวิท ถ้ามาเลือกคอนโดบนถนนเส้นนี้ก็จะยังหาคอนโดในระดับ 1 แสนบาทต่อตร.ม.ได้ครับ อารมณ์ของตรงนี้ก็จะคล้ายกับคอนโดบนถนนพระราม 4 ที่เชื่อมต่อกับซอยสุขุมวิทฝั่งเลขคู่ แต่ราคาจับต้องได้มากกว่าคอนโดที่ตั้งบนสุขุมวิทแท้ๆ เช่นกัน

ก็เป็นข้อดีที่ย่านตรงนี้มันดันยังเจริญช้ากว่า เลยทำให้ราคาต่างๆ มันยังไม่ไปไกลจนถึงดาวอังคารครับ เป็นราคาที่เข้าถึงได้สำหรับกลุ่มคนวัยทำงานมาซักระยะนึง ซึ่งในระยะหลักๆ ช่วย 3-4 ปีมานี้ เราจะเห็นโครงการคอนโดต่างๆ มาเปิดบนถนนเพชรบุรีกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ จากที่ก่อนหน้านี้อาจจะเงียบๆ หน่อย

แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเดินทาง ถ้าจะใช้รถไฟฟ้าแน่นอนว่าคงไม่สะดวกเท่า แต่ก็มีหลายคนที่เลือกทำเลนี้จากความใกล้สุขุมวิท มองว่าเวลาทำงานไม่ต้องใช้รถไฟฟ้า เรียก Grab, เรียกวิน ไปแปปเดียว 5 นาที 10 นาทีก็ถึงที่ทำงานเหมือนกัน หรือใช้รถส่วนตัวก็จะง่ายเลย ก็จะเป็นจุดที่เป็นทั้งจุดเด่นและจุดด้อยของทำเลนี้ครับ

ต้นพัฒนาการ ย่านที่ยังใกล้สุขุมวิท

ถนนต่อจากเพชรบุรีตัดใหม่ ทำเลสำหรับคนมองหาการเข้าเมืองแบบเดียวกัน แต่ขยับออกมานิดให้ราคาย่อมเยาขึ้น

ถ้าย้อนกลับไปหน่อย ประมาณ 10 ปีนิดๆ ในช่วงปลายยุคปี 2000 สัก 2007-2008 เชื่อไหมครับว่าคอนโดบริเวณปากซอยทองหล่อ บนถนนสุขุมวิท ใกล้ BTS ทองหล่อด้วยนะ ราคาเปิดโครงการนึง ณ ตอนนั้นประมาณไม่ถึง 1 แสนบาทต่อตร.ม.เริ่มต้นประมาณ 9 หมื่นบาทได้ ถัดมาในยุคปัจจุบัน คอนโดฝั่งเพชรบุรีตอนนี้ก็ต้องบอกว่าส่วนใหญ่โครงการใหม่ๆ ราคาก็เกินตร.ม.ละ 1 แสนอัพกันหมดแล้ว

ซึ่งแน่นอนกว่าก็ยังมีคนกลุ่มนึงที่ก็ยังมองหาคอนโดในเมือง เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งงานหรือที่ทำงาน แต่เพชรบุรีเมื่อราคาแสนอัพ อาจจะยังตึงๆ หรือเกินงบเกินไป ไม่ก็อาจจะได้ห้องที่พื้นที่ใช้สอยไม่มากเท่าความต้องการ

โซนช่วงต้นของถนนพัฒนาการเลยจะเป็นอีกโซนนึง ที่เป็นถนนเชื่อมต่อตรงมาจากเพชรบุรี ได้ข้อดีคล้ายๆ กัน แต่มีระยะขยับออกมาหน่อย ราคาจับต้องได้มากขึ้นครับ ทีนี้เราลองมาดูกันครับว่าจากฝั่งตรงข้ามของโครงการ ถ้าเดินทางเข้าสุขุมวิทโซนต่างๆ จะมีระยะทางเท่าไรบ้าง ก็ต้องบอกว่าไม่ถึงกับติดซะทีเดียว แต่ใช้รถไปแปปเดียวถึงครับ

ปรีดีพนมยงค์ (สุขุมวิท 71) :

ซอยที่ใกล้ที่สุดจะเป็นสุขุมวิท 71 ครับ ตัวแยกจะห่างจากโครงการไปแค่ประมาณ 700 เมตร ส่วนความยาวซอยจะอยู่ประมาณ 3.2 กิโล อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราไปช่วงไหนของซอย

เอกมัย (สุขุมวิท 63) :

สำหรับแยกที่เข้าเอกมัย จะห่างออกไปประมาณ 2 กิโล หรือถ้าจะไปถึงปากซอยเอกมัยฝั่งสุขุมวิทเลยก็มีระยะเพิ่มอีกประมาณ 2.7 กิโลครับ

ทองหล่อ (สุขุมวิท 55) :

ทองหล่อก็จะคล้ายๆ กับเอกมัย ซอยไม่ห่างกันมาก มีระยะจากโครงการประมาณ 2.5 กิโล

พร้อมพงษ์ (สุขุมวิท 39) : 

หรือถ้าถัดไปอีกหน่อย ก็จะเป็นสุขุมวิท 39 ที่จะไปทะลุออกพร้อมพงษ์ ตรงนี้ก็จะห่างจากโครงการประมาณ 4 กิโลครับ

ที่ตั้งโครงการ

ติดถนนใหญ่ช่วงต้นพัฒนาการ ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน 800 เมตรจาก ARL รามคำแหง

ทีนี้เราลองมาดูที่ตั้งโครงการกันแบบชัดๆ ใกล้ๆ บ้างครับ ตัวที่ตั้งอย่างที่บอกไปว่าจะอยู่ช่วงต้นของถนนพัฒนาการ ที่ดินของโครงการนี้จะเป็นลักษณะแนวลึกและค่อนข้างใหญ่ครับ ดังนั้นที่ด้านหลังของโครงการเนี่ยเค้าก็จะติดกับถนนกำแพงเพชร 7 ด้วย เท่ากับว่าโครงการติดถนนทั้งหน้าและหลังเลย

แต่น่าเสียดายนิดนึงตรงที่ถนนกำแพงเพชร 7 ฝั่งด้านหลัง เป็นถนนของการรถไฟครับ ดังนั้นการขอเชื่อมต่อทางเข้าออกจะทำได้ค่อนข้างยาก ตรงนี้ทางโครงการเลยจะไม่ได้ทำทางให้รถเข้าออกครับ แต่จะมีเป็นประตูคนเดินให้สามารถออกได้ เผื่อเรียกรถไป ARL รามคำแหงใกล้ขึ้นกว่าฝั่งด้านหน้า

ซึ่งด้านหน้าโครงการจะติดกับถนนพัฒนาการเลยครับ อยู่เลยทางขึ้น/ลงทางด่วนมาประมาณ 300 เมตร โดยด้านหน้าโครงการจะมีสะพานข้ามแยกคลองตันอยู่ เป็นจุดที่สะพานลงมาหน้าโครงการพอดี แต่น่าเสียดายนิดนึงที่จะไม่สามารถเลี้ยวเข้าโครงการจากบนสะพานได้ครับ ดังนั้นถ้ามาโครงการจะต้องใช้เป็นทางข้างล่างนะฮะ แต่ก็แลกมากับระยะที่ใกล้แยก/ใกล้ ARL รามคำแหงมากขึ้น

โดยในการใช้รถ จากโครงการถ้าจะเข้าเมืองจะมีจุดกลับรถห่างออกไปประมาณกิโลนิดๆ ที่บริเวณแยกพัฒนาการ 25 ที่มีอุโมงค์พัฒนาการครับ แต่ถ้าใช้รถสาธารณะก็จะสามารถข้ามสะพานลอยที่อยู่ใกล้กับหน้าโครงการ เดินมาเรียกรถฝั่งตรงข้ามได้เลย


ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน

สำหรับการเดินทางด้วยรถ ที่นี่ค่อนข้างหายห่วง เป็นจุดขายของโครงการนี้อยู่แล้วครับ กับการที่ใช้รถนิดเดียวถึงโซนต่างๆ ใจกลางเมือง แต่ถ้าเลี้ยวออกมาจากหน้าโครงการ อาจจะมีต้องไปกลับรถนิดนึงเท่านั้นเอง ซึ่งถนนพัฒนาการตรงนี้ นอกจากไปโซนสุขุมวิทชั้นในแบบที่เล่าไปแล้ว เค้าก็จะเชื่อมต่อกับถนนหลายสายครับ

อย่างถนนอีกเส้นที่ขนานกับเพชรบุรีนั่นก็คือถนนพระราม 9 ช่วงเวลาไหนเพชรบุรีรถติด ก็สามารถเลี่ยงมาใช้พระราม 9 แทนได้ เป็นทางเลือกในการใช้งาน ซึ่งถนนพระราม 9 ก็จะเชื่อมต่อกับย่านรัชดา-ดินแดง-อนุสาวรีย์ชัยฯ ใครทำงานโซนนี้ก็จะสามารถใช้เส้นนี้ได้ครับ นอกจากนี้ที่ตั้งโครงการก็จะสามารถเชื่อมต่อไปย่านรามคำแหง และย่านเลียบด่วนได้ โดยที่ไม่ไกลมากครับ ส่วนถนนพัฒนาการฝั่งออกนอกเมืองก็จะไปโผล่ศรีนครินทร์ ย่านนี้ก็จะเป็นแหล่งชุมชน มีห้าง มีของกินต่างๆ

ส่วนจุดเด่นของที่ตั้งโครงการที่นี่คือเค้าจะใกล้กับจุดขึ้นลงทางด่วนด้วยครับ คือถ้าจะวิ่งข้างล่าง แน่นอนความถนนเพชรบุรีก็ต้องยอมรับว่าเราอาจจะเลี่ยงรถติดบ้างไม่ได้ ดังนั้นทางด่วนก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับใครที่อาจจะทำงานอยู่โซนไกลๆ ออกไปครับ อย่างเช่นใครที่จะไปโซนพระราม 4 – คลองเตย – ลุมพินี – สีลม – สาทร ก็สามารถขึ้นทางด่วนฉลองรัชตรงข้างโครงการ ไปเชื่อมต่อทางด่วนขั้นที่ 1 ไปย่านต่างๆ ใจกลางเมืองได้ครับ หรือจะใช้เป็นตัวลัดประหยัดเวลา ทะลุไปออกสุขุมวิทแบบเร็วๆ ก็ได้เช่นกัน ก็จะมีทางลงที่ซอยสุขุมวิท 50 ตรงบริเวณอ่อนนุชครับ

ซึ่งทางด่วนตรงนี้จะขึ้นลงไปได้ 2 ทางเลย สามารถใช้ขึ้นเพื่อไปย่านเลียบด่วน หรือออกพระราม 9 ได้ด้วยเช่นเดียวกันครับ (แต่แนะนำว่าถ้าจะขึ้นด่วนตรงนี้ไปย่านพระราม 9-แจ้งวัฒนะ ไปใช้ทางขึ้นที่อยู่บนถนนพระราม 9 จะลดด่านที่ต้องผ่านไปด่านนึง ประหยัดไป 30 บาทครับ ตัวด่านอยู่ห่างโครงการ 2 โลนิดๆ)

ดังนั้นด้วยความที่จุดขึ้นลงตรงนี้ไปได้ทั้ง 2 ทาง เลยทำให้สามารถใช้เชื่อมต่อไปได้หลายโซนครับ


ใกล้ ARL รามคำแหง 800 เมตร

ถึงที่นี่จะดูสะดวกมากสำหรับคนที่ใช้รถส่วนตัว/รถสาธารณะเข้าไปโซนสุขุมวิท แต่ก็มีอีกทางเลือกนึงในการเดินทางด้วยนะครับ โดยที่ตั้งของโครงการเค้าจะอยู่ใกล้กับแยกคลองตัน ซึ่งถัดเข้าไปจากแยกนิดเดียวก็จะเป็นที่ตั้งของสถานี Airport Rail Link (Aera1 City) ตรงนี้สามารถใช้เพื่อเชื่อมต่อไปในเมื่องอย่าง BTS พญาไท หรือไปลงมักกะสันเพื่อเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ไปย่านอโศก-พระราม 9 ได้ครับ

ระยะห่างจากรถไฟฟ้าอาจจะไม่ถึงกับใกล้ แต่ก็ไม่ได้เป็นระยะที่ไกลจนเดินไม่ไหว พอเดินได้ถ้าใจสู้ มีระยะอยู่ประมาณ 800 เมตร ซึ่งสำหรับใครที่ไม่อยากเดิน ก็เรียกพี่วินก็จะแค่ไม่กี่บาทครับ แต่นอกจากนี้

ทางโครงการจะมี Shuttle Bus รับส่งจากโครงการ มาที่สถานีให้ด้วยนะครับ

ก็สามารถใช้งานรถไฟฟ้าสายนี้ เพื่อเป็นอีกทางในการเดินทางเข้าเมืองได้ สำหรับใครที่ไม่ได้อยากใช้รถ นอกจากนี้ก็ยังมีรถไฟฟ้าสายอื่นที่อยู่ไม่ไกลมาก อย่างรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สถานีใกล้สุดก็จะเป็นสถานีพระโขนง อยู่ที่ปากซอยสุขุมวิท 71 ตรงนี้ก็จะห่างจากโครงการประมาณ 4 กิโลครับ และในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ปัจจุบันกำลังก่อสร้าง) สถานีรามคำแหง 12 อยู่ช่วงต้นของถนนรามคำแหง ตรงนี้ก็จะห่างจากโครงการประมาณ 2 กิโลกว่า เป็นอีกทางเลือกในการใช้งานในอนาคตเข้าสู่โซนรัชดา-ราชเทวีครับ


ทางเลือกการเดินทางอื่นๆ

นอกจากการเดินทางด้วยรถ หรือด้วยรางแล้ว จุดที่ตั้งโครงการยังใกล้กับการเดินทางด้วย “เรือ” อีกด้วยครับ โดยท่าเรือที่ใกล้ที่จุดจะเป็นท่าสะพานคลองตันและท่าราม 1 อยู่ใกล้กับ ARL รามคำแหง ซึ่งตัวเรือคลองแสนแสบนี้จะสามารถใช้เป็นทางลัดเข้าสู่ย่านอโศก-ราชประสงค์-สยามได้ โดยที่เราไม่ต้องเจอรถติดครับ

ส่วนขนส่งสาธารณะอื่นๆ จากการที่ถนนพัฒนาการก็เป็นถนนสายใหญ่ที่อยู่คู่กับกรุงเทพฯ มานาน ดังนั้นพวกรถเมล์ต่างๆ ก็จะมีหลายสายผ่านหน้าโครงการอยู่แล้วครับ สามารถเลือกใช้ทั้งไปกลับได้ ป้ายรถเมล์อยู่ไม่ไกลจากตัวโครงการ อย่างหน้าปากซอยพัฒนาการ 20 ตรงนี้ก็จะเป็นเหมือนกับจุดต่อรถของย่านนี้ นอกจากรถเมล์ก็จะมีรถสองแถวที่มาจากด้านพัฒนาการมาจอดอีกด้วยครับ ส่วนรถแท็กซี่ก็มีผ่านตลอดวัน 

สิ่งอำนวยความสะดวกใกล้โครงการ

ระยะเดินใกล้ๆ มีพอประมาณ แต่ถัดไปไม่ไกลมีให้เลือกอีกหลายที่

ในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกใกล้โครงการ ถ้าเป็นใกล้ๆ โครงการจะเป็นร้านอาหารเล็กๆ แบบในตึกแถวเป็นหลักครับ รอบโครงการอาจจะไม่ถึงกับคึกคักมาก แต่ถ้าเดินนิดนึงไม่ไกลจากโครงการข้ามสะพานลอยมาฝั่งซอยพัฒนาการ 18-20 ตรงนี้จะเป็นซอยใหญ่ ที่ไปทะลุออกอ่อนนุชได้ ตรงปากซอยตรงนี้จะมีทั้งหอพักและร้านค้า ก็จะมีทั้งเซเว่น/แฟมิลี่มาร์ท รวมไปถึงมีศูนย์อาหารตั้งอยู่ที่ตรงนี้ครับ เป็นแหล่งชุมชน จุดต่อรถของคนตรงนี้เลย ไปตอนเย็นๆ คนจอแจมากครับ นอกจากนี้ในโครงการก็จะมี Shop House อีก 7 ยูนิตนะครับ 

แต่ถ้าขยับออกมาอีกหน่อย ที่ใกล้ที่สุดก็จะเป็น Nasa Street บริเวณ ARL รามคำแหง ที่จะมีร้านของกินตอนเย็น กับมี Starbucks ตั้งอยู่ครับ หรือถ้าไปโซนหัวถนนรามคำแหง ตรงนี้ก็จะมี Foodland และ KFC Drive Thru ตั้งอยู่ ส่วนเลยไปหน่อยจะเป็น The Mall รามคำแหง ที่ตอนนี้ฝั่งนึงทุบเตรียมสร้างใหม่ กับอีกฝั่งปิดรีโนเวท ตอนนี้ก็จะเงียบเหงานิดนึง แต่อนาคตก็น่าจะเป็นแหล่ง Shopping อีกที่ของย่านนี้ครับ

ถ้ามาฝั่งสุขุมวิท ตรงนี้ก็จะใกล้กับห้างต่างๆ เช่นกัน อย่างบริเวณแยกเพชรบุรี-เอกมัยจะมี Foodland อีกสาขานึงครับ ในซอยเอกมัยก็มี Donki มี @Ekkamai ที่เป็น Community ใหญ่ มี Big C เอกมัย และย่านเอกมัย-ทองหล่อก็อย่างที่เรารู้กันว่าเป็นย่านกินดื่มอันดับต้นๆ อยู่แล้วครับ ก็จะมีร้านอาหาร, ร้านนั่งชิว, คาเฟ่, ร้านเที่ยวชื่อดังอยู่ค่อนข้างเยอะ

แต่สำหรับใครไม่อยากไปฝั่งในเมือง บนถนนพัฒนาการเอง เลยออกไปหน่อยก็จะมีทั้ง London Street, Lotus’s และ Maxvalu ที่บริเวณแยกศรีพัฒน์ ส่วนบนถนนพระราม 9 ก็จะมี The Nine ที่เป็น Community Mall ที่คนย่านพระราม 9 รามคำแหงชอบมาครับ มีซุปเปอร์อย่างเสรีมาร์เก็ตเป็นตัวดึงดูด และรอบข้างมีร้านอาหารดังๆ หลายเจ้านะครับ

…ส่วน Show DC อันนี้นับไหมนะ เอาเป็นว่าก็เผื่อใครมาดูมิสแกรนด์ครับ แต่ตัวห้างน่าจะไม่ค่อยมีอะไรแล้ว 555555

รูปแบบโครงการ

เป็นคอนโด High Rise 2 อาคาร ที่มีสวนและบ่อน้ำขนาดใหญ่

สำหรับแบรนด์ Supalai Parc เอกมัย – พัฒนาการ ต้องเล่าก่อนว่าแบรนด์นี้ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์เก่าแก่ที่อยู่คู่มากับศุภาลัย จากโครงการแรกๆ อย่าง Supalai Park พหลโยธินตรงข้ามแดนเนรมิตรในช่วงเมื่อ 20 ปีก่อน ซึ่งเมื่อก่อนคำว่า Parc ของศุภาลัยเขาไม่ใช่ตัว C นะครับ เดิมทีเขาใช้เป็นตัว K = Park แบบนี้ แต่ด้วยความที่มาถึงปัจจุบัน ศุภาลัยอยากรีแบรนด์ให้ Park ดูทันสมัยขึ้น ก็เลยมีการปรับชื่อ รวมไปถึงยกเครื่องงานดีไซน์ การจัด spec รวมไปถึงงานส่วนกลางต่างๆ บวกกับให้สอดคล้องกับคอนเซปต์ที่มาในสไตล์ฝรั่งเศส ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้คำในภาษาฝรั่งเศสอย่าง Parc แทน

อย่างที่ผมบอกไปว่าที่นี่จะมีทั้งหมด 2 อาคารด้วยกัน ที่ดินเป็นแบบตอนลึกก็จะมีตึกที่อยู่ติดถนน และตึกที่อยู่ด้านใน แต่ด้วยความที่โครงการนี้เขามีสายไฟฟ้าแรงสูงผ่านตรงกลางที่ดิน เลยทำให้มีช่องว่างระหว่างอาคารค่อนข้างเยอะ เขาเลยเลยออกแบบให้เป็นพื้นที่สวนสำหรับลูกบ้าน มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ รวมไปถึงน้ำตก ที่จะช่วยสร้างบรรยากาศให้ร่มรื่น น่ามาพักผ่อนฮะ ส่วนที่เป็นสายไฟฟ้าแรงสูงเพื่อนๆ ก็ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะทางโครงการเองเขาก็บอกว่ามีการวัดระยะตามกฎหมาย วางแผนต่างๆ ไม่ให้ไปกระทบถึงลูกบ้านอย่างแน่นอน

ตัวโครงการถือว่าขนาดค่อนข้างใหญ่เลยครับ ด้วยที่ดินขนาดถึง 13 ไร่ จัดออกมาได้ 1,642 ยูนิต (ห้องพักอาศัย 1,635 ยูนิต และร้านค้า 7 ยูนิต) ซึ่งโครงการไซส์ประมาณนี้ก็จะมีจุดเด่นในเรื่องของราคาที่จะทำออกมาได้น่ารักกว่าโครงการขนาดเล็กๆ รวมไปถึงพอเพื่อนบ้านเยอะหน่อย พื้นที่ส่วนกลางต่างๆ ก็สามารถทำออกมาใหญ่ได้ มีให้เลือกใช้หลากหลายขึ้น ก็เป็นจุดเด่นของโครงการประเภทนี้

โครงการนี้ทางศุภาลัยให้พื้นที่ส่วนกลางมาค่อนข้างเยอะ และดีไซน์ก็ค่อนข้างทันสมัย เหมาะกับทุกวัย ภายในห้องพักก็มีการเพิ่มสเปคของเทียบเท่าแบรนด์ Loft เลย ให้ของคุณภาพดีฮะ แล้วสำหรับคนที่ใช้รถ EV อยู่ หรือมีแผนในอนาคตว่าจะใช้ ทางโครงการก็ติดตั้งมาให้อาคารละ 2 หัว ซึ่งสามารถติดตั้งหัวเพิ่มได้อีก ไม่ใช่แค่ 2 นะ เพราะเขาเตรียมระบบเอามาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ลูกบ้านจะได้ไม่ต้องแย่งกัน


ข้อมูลโครงการ

ชื่อโครงการ : Supalai Parc Ekkamai – Pattanakarn (ศุภาลัย ปาร์ค เอกมัย – พัฒนาการ)
Developer : บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
เนื้อที่โครงการ :13-0-97 ไร่
จำนวนห้องพักอาศัย :1,642 ยูนิต (ห้องพักอาศัย 1,635 ยูนิต และร้านค้า 7 ยูนิต)
รูปแบบโครงการ :High Rise 2 อาคาร
– อาคาร A มี 30 ชั้น
– อาคาร B มี 27 ชั้น
ลิฟต์ :– อาคาร A มีลิฟค์โดยสาร 4 ตัว เซอร์วิสลิฟต์ 1 ตัว
– อาคาร B มีลิฟค์โดยสาร 3 ตัว เซอร์วิสลิฟต์ 1 ตัว
ที่จอดรถ :60% (ประมาณ 989 คัน)
ค่าส่วนกลาง :39 บาท/ตารางเมตร/เดือน
Facility :อาคาร A
Lobby, Drop Store, Shop, Vending Machine, EV Charger, Food Drop, Olympic POOL (50m.)& jacuzzi /Full FITNESS / BOARDGAME ROOM/ AEROBIC&YOGA, Steam Room,
Co-living Space และ Garden

อาคาร B
Lobby, Drop Store, Shop, Vending Machine, EV Charger, Food Drop, STREET Basketball / FUN & ADVENTUROUS / GAME ZONE / SKYLOUNGE / SKY GARDEN / WORKSHOP STUDIO / LIVE STUDIO/ PRIVATE MEETINGROOM / THE RAINBOW / และ Garden
แบบห้อง : เริ่มต้น Studio 30 ตารางเมตร – 3 bedroom 100 ตารางเมตร
ราคา :เริ่มต้น 1.89 – 8.11 ล้านบาท
ราคาเฉลี่ย : ประมาณ 70,000 บาท/ตารางเมตร
สถานะโครงการ : ยื่น EIA และจะสร้างประมาณปลายปีนี้
คาดว่าจะแล้วเสร็จ : กลางปี 2569

คอนเซปต์การออกแบบ

มาใน Theme “European Style” ตั้งแต่สวนหน้าทางเข้าโครงการไปจนถึงพื้นที่ส่วนกลาง

ด้วยความที่โครงการนี้ศุภาลัยเขาใช้แบรนด์ Parc ที่บ่งบอกถึงความเป็นสวน ความเขียว ความต้นไม้ ความธรรมชาติต่างๆ เขาเลยตีความออกมาด้วยการทาตัวอาคารให้เป็นสีเขียวด้วยครับ แต่ไม่ใช่เขียวธรรมดา เพราะเขามีการไล่เฉดสีด้วย จากขาวๆ เทาๆ เป็นสีเทา ก่อนจะเป็นสีเขียวที่ยอดตึกไล่กันไปเรื่อยๆ ส่วนฐานหรือชั้นจอดรถเป็นสีน้ำตาล ฟีลเหมือนเป็นลำต้นฮะ ส่วนการออกแบบพื้นที่สวนและพื้นที่ส่วนกลางมาในสไตล์ European มีความอิงฝรั่งเศส อย่างสวนหน้าโครงการก็ทำศาลาที่จำลองฐานของหอไอเฟลมาด้วย

ส่วนพื้นที่ส่วนกลางการออกแบบจะใส่ดีเทลของ Arch หรือพวกเส้นโค้งต่างๆ เข้าไป ตามมุมต่างๆ ของโครงการ ส่วนโทนสีที่ใช้ก็เน้นไปที่สีเขียวและสีส้ม จะบอกว่าที่นี่เขามีการคิดถึงการใช้ชีวิตของลูกบ้านในหลายๆ อย่างเลยครับ อย่างที่ชั้น 1 เขาจะมีโซน Food Drop เอาไว้ส่งอาหารส่งของได้ ข้อดีคือเราไม่จำเป็นต้องออกไปรับด้านนอกตัวอาคาร พอเราไม่ได้ไปตั้งโต๊ะหรืออะไรก็ตามด้านหน้า มันก็จะไม่เกะกะ และทำให้อาคารของเราสวยงามเหมือนเดิม อย่างคอนโดที่ผมอยู่ตอนนี้ ด้านหน้า Lobby ก็คือมีโต๊ะเอาไว้วางของที่ลูกบ้านสั่งมา บางวันคือรกมากครับ แถมมีขยะอีก มองไปแล้วแอบรู้สึกขัดตา 555 ก็เลยรู้สึกชอบ Food Drop ของที่นี่นะ นอกจากนี้ก็ยังมีพวก Drop Store เอาไว้เก็บพัสดุของส่วนกลางด้วย ไม่ต้องเอาไปกองๆ รวมกันไว้ที่ห้องนิติฯ เพราะเขาจะทำห้องมาสำหรับเก็บพัสดุของลูกบ้านโดยเฉพาะเลย เป็น Detail ที่คิดมาเพิ่มตามการใช้งานของคนอยู่คอนโดสมัยนี้

ความน่าสนใจของที่นี่อีกอย่างนึงอย่างที่ผมบอกไปในตอนต้นฮะ ว่าที่นี่เขาให้ส่วนกลางเยอะ ตอบโจทย์ Lifestyle ของลูกบ้านมากขึ้น คือจะมีพวกห้อง Board Game, Workshop Studio และ Live Studio เพิ่มเข้ามา แถมห้องยังตกแต่งสวย ลืมภาพศุภาลัยแบบเก่าๆ ที่เชยๆ ไปได้เลย งาน Interior ของส่วนกลางโครงการนี้พาเพื่อนมาก็ไม่อายใครครับ

เดี๋ยวผมจะพาเพื่อนๆ ไปดูพื้นที่ส่วนกลาง และ Facilities ต่างๆ ของแต่ละอาคารกันเลยฮะ มาดูกันว่าจะสวยอย่างที่ผมพูดรึเปล่า

ส่วนกลาง Tower A

มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ความยาวระดับโอลิมปิค วิวดี ได้พื้นที่ส่วนกลางเยอะ

สำหรับ Tower A จะเป็นตึกที่ตั้งอยู่ที่บริเวณด้านหน้าโครงการ ถ้าเราเดินเข้ามาจากทางเข้าโครงการด้านหน้า จะไม่ได้เจอกับ Lobby เป็นอันดับแรกนะครับ ถ้าใครเคยไปบางโครงการที่ใหญ่ๆ หน่อยอาจจะคุ้นเคยกับการจัดวางพื้นที่ชั้นหนึ่งในลักษณะนี้ คือเราจะเจอกับร้านค้าก่อนประมาณ 4 ยูนิต แล้วค่อยถึง Lobby แล้วถัดจาก Lobby ไปก็จะมีร้านค้าอีก 1 ยูนิตด้วย เท่ากับว่าอาคาร A มีร้านค้าทั้งหมด 5 ยูนิต และจะมีห้องนิติอยู่ที่ชั้น 1 ตึกนี้ครับ สำหรับส่วนกลางอื่นๆ จะอยู่แยกกันดังนี้ครับ

ชั้น 5 จะมีสระว่ายน้ำ Olympic POOL (50m.)& jacuzzi / Full FITNESS / BOARDGAME ROOM/ AEROBIC&YOGA
ชั้น 30 จะมี Co-living Space กับพื้นที่สวน

Lobby

ในส่วนของ Lobby ค่อนข้างใหญ่เลย มีหลายโซนให้เราได้นั่งเล่น อย่างที่ผมบอกฮะว่าการตกแต่งเขาเน้นไปที่สีส้ม-น้ำตาล แล้วก็มีสีเขียวแทรกอยู่ตามมุมต่างๆ เป็นคู่สีที่ตรงกันข้ามกัน แต่ก็ดูเข้ากันได้ดี มีการใส่ความโค้งเข้ามาเยอะเลยครับใน Lobby นี้ ตั้งแต่ผนังยันเฟอร์นิเจอร์ที่เลือก ฟิลลิ่งก็จะออกมาในโทนสว่างแต่มีความต้นไม้ตามแบรนด์ Parc ที่จะมีความใกล้ชิดธรรมชาติ

Swimming Pool

สระว่ายน้ำของตึก A จะถูกออกแบบมาสำหรับใช้ออกกำลังกายเป็นหลัก ตัวสระนี่จะยาว 50 เมตรระดับโอลิมปิกเลยครับ แต่ก็ไม่ใช่แค่ออกกำลังกายอย่างเดียว ส่วนนึงของสระจะทำออกมาเป็นโซนพักผ่อน สามารถมาแช่ Jacuzzi ข้างๆ ได้นะครับ แล้วพื้นที่รอบๆ สระว่ายน้ำก็จะมีเก้าอี้ให้ เอาไว้นอนเล่น นอนอาบแดดได้

Board Game

ห้องนี้สามารถมาเล่นบอร์ดเกมกับเพื่อนๆ หรือจะจอยกับลูกบ้านคนอื่นๆ ก็ได้ มีวิวสระให้ได้มองกันเพลินๆ เพดานสูงโปร่ง ได้หน้าต่างกระจกบานสูงด้วย หรือถ้าไม่ได้มาเล่นเกม อยากจะมานั่งทำงานในห้องนี้ก็ได้นะ

Aerobic&Yoga

ห้องนี้อยู่ริมสระเหมือนกันฮะ เขาแยกออกจากห้องฟิตเนสเลย ลูกบ้านที่อยากเล่นโยคะจะได้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เปิดปิดม่านเองได้ ทั้งยังจะมีอุปกรณ์ต่างๆ เตรียมไว้ให้ โดยเฉพาะเสื่อโยคะและกระจกบานใหญ่

Full FITNESS

ฟิตเนสที่นี่ค่อนข้างใหญ่ อุปกรณ์ครบ มีทั้งโซน Cardio, Weight Training และ Boxing Room ด้วยความที่อยู่คนละฝั่งกับสระว่ายน้ำ เลยจะได้เป็นวิวเมืองแทน สีสันก็จะดูมีความ Active หน่อยครับห้องนี้

Co-living Space

ถัดขึ้นมาที่ชั้น 30 จะมีส่วนกลางอีกหนึ่งจุดเป็น Co-living Space ที่มาพักผ่อน มาทำงาน หรือมานั่งเล่นก็ได้ พออยู่ชั้นบนสุด วิวที่ได้ก็จะเป็นวิวเมืองโล่งๆ ฮะ ได้หน้าต่างกระจกบานใหญ่ด้วย แสงธรรมชาติเข้ามาได้แบบเต็มๆ แถวนี้ใกล้ๆ ยังไม่มีตึกบังด้วยครับ

ส่วนกลาง Tower B

สระว่ายน้ำมีลูกเล่นเยอะ สนุกได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

มาถึงอาคาร B กันบ้าง สำหรับพื้นที่ส่วนกลางของชั้น 1 ก็จะคล้ายๆ กันกับอาคาร A ครับ แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ STREET Basketball มีโครงการคอนโดไม่เยอะครับที่เขาให้สนามบาสฯ มาด้วย อย่างที่ Supalai Veranda รามคำแหงเองก็มีเหมือนกัน แต่ว่าอยู่ชั้น 6 ซึ่งทางลูกบ้านก็บอกว่ามีเสียงดังอยู่บ้าง ดังนั้นทางศุภาลัยเขาเลยเอามาปรับกับโครงการนี้ ให้ย้ายไปอยู่ที่ชั้น 1 แทนฮะ จะได้ไม่ต้องรบกวนลูกบ้านคนอื่นๆ มากนักเวลาที่มาใช้ส่วนกลาง แล้วอาคาร B ก็จะมีร้านค้าอีก 2 ยูนิตด้วย

ชั้น 5 จะมีสระว่ายน้ำ FUN & ADVENTUROUS, Game Zone
ชั้น 27 จะมี SKYLOUNGE / SKY GARDEN / WORKSHOP STUDIO / LIVE STUDIO / PRIVATE MEETINFROOM / THE RAINBOW

Fun & Adventurous

ถ้าสระว่ายน้ำอาคาร A เน้นออกกำลังกาย สระอาคาร B ก็จะเป็นเหมือนสวนน้ำย่อมๆ ก็ว่าได้ครับ โซน Fun & Adventurous นี่ต้องเรียกว่ารวมหลายๆ อย่างไว้ในนี้เลย ให้อารมณ์เหมือนสวนน้ำมากกว่าสระว่ายน้ำครับ เน้นเล่น ไม่เน้นออกกำลังกาย ใจกลางสระจะมี Curtain Waterfall หรือม่านน้ำตกที่ขนาบข้างไปด้วย Island Seat เกาะกลางที่สามารถนั่งแช่น้ำได้ ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะโซนที่เป็นสระเด็กมีเครื่องเล่นและสไลเดอร์ด้วย เป็นสระว่ายน้ำที่เน้นความชิวจริงไรจริง ปกติเราจะเห็นโครงการศุภาลัยต้องมีโซนสนามเด็กเล่น ที่นี่ก็คืออัพเกรดให้เป็นที่เล่นในน้ำเลย

STREET Basketball

สนามบาสฯ ก็จะมีการตกแต่งด้วย Graffiti สวยๆ มีแป้นบาสฯ ให้ 1 อัน สามารถมาเล่นได้ตลอดทั้งวัน เพราะมุมนี้จะไม่โดนแดดครับ อยู่ที่บริเวณชั้น 1 ข้าง Lobby

Game Zone

โซนนี้จะเป็น Semi-outdoor ใกล้กับสระว่ายน้ำนะครับ ก็จะมีทั้งมุมที่มีโต๊ะพูลและเครื่องเล่นอื่นๆ รวมไปถึงมุมนั่งเล่นที่อยู่ข้างๆ Game Area ด้วย

Sky Lounge

มาถึงชั้น 27 ที่เป็นชั้นบนสุด ห้องนี้เขาแบ่งออกเป็นหลายมุมครับ มีทั้งที่นั่งแบบโซฟา และโต๊ะยาว จะนั่งคนเดียวหรือมานั่งกับเพื่อนก็ได้ นอกจากจะเห็นวิวเมืองแล้ว ก็ยังได้วิวสวนข้างๆ ด้วย เบื่อมองพวกตีกรามบ้านช่องแล้วก็มามองพื้นที่สีเขียวกันบ้างครับ

Workshop Studio

ห้องนี้มีทั้งโซนปกติ และโซนแบบส่วนตัว สำหรับคนที่ต้องการความเงียบ เป็นห้องที่ออกแบบมาเอาใจกิจกรรมของคนยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Workshop ต่างๆ หรือจะใช้ห้องเพื่ออัดรายการ อัด podcast และ Live Streaming ต่างๆ สำหรับสายขายของออนไลน์หรือชาว Content Creator ดีไซน์ทันสมัยดีฮะ น่ามาใช้งานมากๆ อยู่ตรงข้ามกับห้อง Sky Lounge เลย

พื้นที่ Outdoor

ได้พื้นที่สีเขียวกว่า 4.5 ไร่ มาพร้อมพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจมากมาย กระจายทั่วทั้งโครงการ

เป็นแบรนด์ Parc จะขาดเรื่องของ Park ไปได้ยังไง ที่นี่ก็ให้พื้นที่สวนมาแบบจุใจครับจากพื้นที่โครงการที่มีขนาดใหญ่กว่า 13 ไร่ เลยจัดพื้นที่สีเขียวออกมาได้กว่า 4.5 ไร่ มีพื้นที่สีเขียวที่เป็นสวนตั้งแต่ด้านหน้าโครงการ ส่วนตรงกลางโครงการระหว่าง 2 ตึก เนื่องจากมีสายไฟแรงสูงผ่าน ตรงนี้ก็เลยทำให้พื้นที่ดินของโครงการมีที่โล่งขนาดใหญ่ ทำออกมาเป็นบ่อน้ำเล็กๆ มีน้ำตก ให้ลูกบ้านมาใช้งานเป็นพื้นที่พักผ่อน ส่วนด้านหลังเองก็มีต้นไม้อยู่พอสมควรเลย รวมไปถึงบริเวณกำแพงที่เขาจะใส่ต้นไม้มาให้ดูร่มรื่นมากขึ้นด้วย ซึ่งที่นี่รอบๆ ตัวอาคารจะเป็นที่จอดรถค่อนข้างเยอะเลย ซึ่งที่จอดรถ 60% นี่ยังไม่นับรวมที่จอดรถบางส่วนนอกอาคารนะครับ นอกจากนี้ก็ยังมีลู่วิ่งอยู่รอบๆ อาคารด้วย วิ่งเป็นรอบได้เลย ความยาวเกือบจะจากหน้าไปหลังโครงการ อ่อ และที่ Rooftop ของตึกก็ยังมีพื้นที่สวนด้วยอีกทั้ง 2 อาคารครับ

Eiffel Pavilion

สวนแรกที่เราจะเจอหลังจากเข้ามาในโครงการ มุมนี้อยู่ด้านหน้าเลยครับ เป็นศาลาที่เขาจำลองหอไอเฟลของฝรั่งเศสมาแบบกรุบกริบ มานั่งเล่นชิวๆ ได้ครับ เป็นมุมที่ต้นไม้เยอะ มีทั้งน้ำพุตรงกลาง และทางเดิน ร่มรื่นเลยแหละ นอกจากเป็นความร่มรื่นของโครงการแล้ว ตัวสวนก็จะช่วยเบรกอารมณ์และความวุ่นวายจากถนนภายนอกโครงการ ให้ตัวตึกกับถนนด้านนอกมีระยะห่างออกจากกันครับ ซึ่งตัวโครงการเค้าจะเก็บต้นไม้ตั้งเดิมของที่ดินเอาไว้ด้วย เป็นต้นขนาดใหญ่หลายต้นเลยครับ

Sunken Courtyard

สวนสีเขียวนี้จะอยู่ใจกลางอาคาร เชื่อมระหว่างอาคาร A และอาคาร B เขาทำที่นั่งเป็นแบบขั้นบันไดด้วย เหมาะกับการมานั่งเล่นมากๆ ตรงนี้ก็จะอยู่ใกล้กับบ่อน้ำครับ

Waterside & Victoria Pond

บ่อน้ำตรงนี้ให้อารมณ์เหมือนสระบัวครับ ให้เราได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติยิ่งขึ้นไปอีก ความยาวของบ่อก็ไม่ได้เล็กๆ นะ เป็นบ่อจริงจังเลย แต่ไม่ได้ให้ลงไปว่ายนะครับ เน้นชมทางสายตา แล้วก็มีที่นั่งริมน้ำให้เราได้มาปล่อยตัวปล่อยใจกันด้วย ซึ่งนานๆ ทีเราจะเห็นโครงการคอนโดที่มีสระน้ำในสวนเป็นพื้นที่แบบนี้ เป็นเพราะระยะ Setback จากสายไฟแรงสูง ทำให้โครงการใส่พื้นที่สำหรับพักผ่อน on ground ขนาดใหญ่อะไรแบบนี้มาได้ครับ แต่ที่นี่ไม่มีเสาตั้งอยู่ในโครงการนะครับ แค่สายพาดผ่านเฉยๆ

Waterfall & Amphitheatre

มุมน้ำตกที่ข้างหลังสามารถมานั่งได้ คือโซนนี้ทั้งโซนนอกจากจะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทั้งต้นไม้ ทั้งบ่อน้ำแล้ว ยังได้ฟังเสียงน้ำตกด้วย ผมว่าตอนเย็นบรรยากาศน่าจะดีมากแน่ๆ ส่วนด้านหลังน้ำตกเขาทำเป็นพื้นที่พักผ่อนกล้างแจ้ง ถ้าเพื่อนๆ สังเกตก็จะเห็นว่ามุมนี้เองก็มีการใช้ Arch หรือเส้นโค้งเข้ามา ให้สอดรับไปกับตัวอาคารด้านหลัง ที่ชั้นจอดรถเองเขาก็ใส่รายละเอียดของความโค้งลงไป ทำให้ตัวอาคารไม่ดูแข็งกระด้างจนเกินไปฮะ

สวนสีเขียวบน Rooftop ทั้ง 2 อาคาร

ชั้นบนสุดของทั้ง 2 อาคาร นอกจากจะมีพื้นที่พักอาศัย และพื้นที่ส่วนกลางที่อยู่ด้านในอาคารแล้ว ยังมีพื้นที่สีเขียวที่อยู่ด้านนอกอาคารด้วย ก็ไม่ได้เป็นสวนเล็กๆ นะครับ สามารถเดินเล่นได้เลย มีมุมพักผ่อนกระจายตามจุดต่างๆ รับลมชมวิวได้ เพื่อนๆ เห็นเจ้าโค้งใหญ่ๆ บนยอดตึกนั่นมั๊ยครับ ทางศุภาลัยเขาบอกว่ามันคือสายรุ้งฮะ ถ้าขับรถผ่านที่นี่ก็ดูรู้เลยว่าโครงการอะไร ก็ดูเป็นเอกลักษณ์ดีครับ

แปลนอาคาร

อาคาร A จะใหญ่ และสูงกว่าอาคาร B กับพื้นที่สีเขียวที่กระจายตัวอยู่ทั้งโครงการ

เดี๋ยวเราจะพาเพื่อนๆ ไปดูแปลนแต่ละอาคารกันต่อเลย

Master Plan

อย่างที่เห็นว่าที่ดินเป็นตอนลึกติดถนนใหญ่ มีสายไฟฟ้าแรงสูงผ่านตรงกลาง ดังนั้นก็จะแบ่งออกเป็น 2 อาคาร มีสวนและบ่อน้ำอยู่ตรงกลางครับ ที่นี่มีที่จอดรถ 60% นะ แต่เขายังไม่ได้นับรวมด้านนอกอาคารบางส่วน จะบอกว่ารอบโครงการมีที่จอดรถเยอะมากกกกกกก ก็จะตอบโจทย์ของคนอยู่ที่นี่ที่ทำเลมีจุดเด่นเรื่องของการใช้รถครับ และรอบโครงการเค้าก็จะมีลู่วิ่งด้วย ซึ่งระยะวิ่งรวมของที่นี่ประมาณ 950 เมตร คือถ้าวิ่งรอบๆ ตัวอาคารตามเส้นสีแดงในผังที่เราเห็น จะยาวประมาณ 800 เมตร สามารถวิ่งวนแบบต่อเนื่องได้เลย ตัวลู่วิ่งจะบางส่วนจะทอดไปตามถนนรอบโครงการครับ ซึ่งจะมีที่จอดรถด้วย ถ้ามีรถจอดหน้ายาวนิดนึงอาจจะต้องวิ่งหลบหน่อย แต่ตัวรถที่วิ่งในโครงการจะเป็นแบบ One-Way ดังนั้นตอนวิ่งเรื่องรถเบียดก็ไม่น่าจะมีปัญหา มีพื้นที่เหลือๆ ครับ แต่ถ้าใครอยากเดินชิวๆ รอบสระบัวก็สามารถออกกำลังกายได้ครับ มีระยะทาง 150 เมตร


Tower A

รูปแบบของแปลนอาคารทั้ง 2 อาคารจะคล้ายกันคือมาในลักษณะตัว C แต่จะกางออกนิดๆ พอช่วยให้วิวของปีกทั้ง 2 ข้างไม่หันไปเจอฝั่งตรงข้ามแบบตรงๆ 100% สำหรับตึก A จะมีขนาดใหญ่กว่า มีจำนวนห้องเยอะกว่าครับ ชั้น 6 จะมีทั้งโซนห้องพักอาศัยและพื้นที่ส่วนกลาง คนที่อยู่ชั้นนี้ก็จะอยู่ใกล้กับสระว่ายน้ำ ห้องริมๆ ก็อาจจะได้ยินเสียงรบกวนอยู่บ้าง แต่สะดวกเวลาเดินไปใช้ส่วนกลางและมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะเป็นวิวสระครับ นอกจากสระว่ายน้ำ ด้านในอาคารก็ยังมี Board Game, Aerobic&Yoga และ Fitness อีก

ชั้น 7 – 29 จะเป็นโซนห้องพักอาศัยแบบล้วนๆ เลย จากแปลนจะสังเกตว่าแบบห้องของโครงการนี้ค่อนข้างที่จะหลากหลายมากครับ โดยที่ห้องมุมทั้งหมดจะวางเป็นห้อง 2 ห้องนอน ส่วนถัดเข้ามาก็จะเป็นห้องไซส์ 30-46 ตารางเมตรครับ สังเกตว่าห้องที่อยู่ติดกับมุมด้านในใกล้บันไดหนีไฟทั้ง 2 ด้านจะมีการย่นระยะเข้ามาเพื่อให้วิวห้องไม่บังกับห้องอีกฝั่งนึงด้วย

ส่วนชั้น 30 ก็จะมีพื้นที่พักอาศัยบางส่วน ชั้นนี้จะพิเศษตรงที่จะมีห้องขนาดใหญ่แบบ 3 ห้องนอนอยู่ครับ มีพื้นที่มากกว่าห้องปกติ จำนวนห้อง 3 ห้องนอนมีไม่มาก น่าจะหมดไวครับ แถมยังได้อยู่ชั้นเดียวกับห้อง Co-living Space แล้วก็พื้นที่สวนขนาดใหญ่ที่แบ่งคนละครึ่งกับโซนพักอาศัย ชั้นนี้ก็จะเหมือนเรามีสวนส่วนตัวเดินออกไปใช้งานที่ห้องได้เลย


Tower B

มาต่อที่อาคาร B กันบ้าง ที่ชั้น 6 อาคารนี้ก็มีสระว่ายน้ำเหมือนกันฮะ แต่การออกแบบแตกต่างกันนะ อาคารนู้นจะมาแนวเรียบๆ ส่วนอาคารนี้เน้นกิจกรรมและสีสันฮะ อย่างสระว่ายน้ำเขาจะมีเกาะกลางที่สามารถนั่งแช่น้ำได้ มีม่านน้ำตก ส่วนสระเด็กก็มีเครื่องเล่นและสไลเดอร์อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าให้อารมณ์เหมือนสวนน้ำมากกว่าสระว่ายน้ำ บอกเลยว่าเป็นสระที่เด็กๆ น่าจะชอบ และเป็นสระที่ชิวมากฮะ วันไหนเหนื่อยมากๆ อยากเที่ยว แต่ไม่อยากออกไปไหน ก็มาเล่นน้ำที่นี่ได้ ให้ฟีลทดแทนกันได้อยู่นะ นอกจากนี้ก็จะมี Game Area ที่อยู่ด้านในอาคารด้วย เป็นห้องแบบ Semi-Outdoor

ชั้น 6 – 26 ก็จะเป็นห้องพักอาศัยครับ ดีไซน์ตึกอย่างที่บอกว่าจะคล้ายกับอาคาร A เลย แต่ว่าจะเล็กกว่าหน่อย สังเกตว่าห้องตรงส่วนช่วงกลางอาคารจะน้อยกว่า แต่ปีกด้านข้างของตึกทั้ง 2 ฝั่งจะยาวกว่าเล็กน้อย

ชั้น 27 จะเป็นชั้นบนสุดของอาคารครับแบ่งเป็น 3 โซน ฝั่งซ้ายเป็นสวน ตรงกลางเป็น Sky Lounge กับ Workshop Studio และฝั่งขวาเป็นโซนพักอาศัย มีห้อง 3 ห้องนอนให้เลือกเช่นเดียวกับอาคาร A


Private Storage Room

ห้องเก็บของที่ซื้อเพิ่มได้ อยู่ในชั้นเดียวกันกับห้องตัวเอง

อีกหนึ่งความพิเศษของโครงการนี้อยู่ตรงที่แต่ละชั้นเขามีห้อง Private Storage ครับ ซึ่งปกติแล้วคอนโดส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีห้องเก็บของมาให้ หรือถ้าบางคอนโดมีห้องแบบนี้ เขาก็จะเอาไว้รวมกันหรือไม่ก็อยู่ในโซนที่จัดไว้ในมุมใดมุมหนึ่งของโครงการ เป็นพื้นที่ปล่อยให้ลูกบ้านที่ต้องการเก็บของมาเช่าใช้งาน แต่ที่นี่น่าจะเป็นที่แรกเลยที่ดีไซน์ห้องเก็บของออกมาเป็นแบบนี้ คือเค้าจะมีห้องเก็บของให้ทุกชั้นครับ ไม่ได้เช่าด้วยนะ แต่เป็นการซื้อขายขาดเลย ชั้นนึงมีประมาณ 4-5 ห้องแล้วแต่ตึก พื้นที่ประมาณ 3.5 – 5.5 ตารางเมตร ในเรื่องของราคาเทียบต่อตารางเมตรก็จะถูกกว่าราคาห้องแบบครึ่งต่อครึ่งเลย ตกตารางเมตรละประมาณ 3 หมื่นกว่า อารมณ์ว่าเราจ่ายค่าห้องเพิ่มขึ้นแสนนิดๆ แต่ได้พื้นที่เก็บของเพิ่มอีก 3-5 ตารางเมตรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเราเลย

ข้อดีคือเรามีพื้นที่เก็บของเพิ่ม เหมาะมากๆ กับคนที่ของเยอะ โดยที่เราไม่ต้องมาหาที่เก็บไว้ในห้องตัวเอง ทำให้ห้องดูไม่สวยครับ รวมไปถึงเราไม่เสียพื้นที่ในห้องที่ตร.ม.แพงกว่าเท่าตัวไปฟรีๆ กับการเก็บของต่างๆ ให้เราใช้งานพื้นที่ในห้องได้แบบเต็มที่ ซึ่งบางทีการอยู่คอนโดเราก็จะมีของชิ้นใหญ่ๆ อย่างกระเป๋าเดินทาง กล่องเอกสาร อุปกรณ์ชิ้นใหญ่ๆ หรือของที่นานๆ ใช้ที ห้องนี้ก็จะเน้นเก็บของต่างๆ เหล่านี้ครับ เพราะ ตัวห้องเค้าจะกระจายอยู่ในจุดต่างๆ ของชั้น ดังนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ติดกับห้องของเราโดยตรง แต่เค้าก็จะให้ซื้อได้แค่ในชั้นเดียวกันนะครับ เดินไปมาง่ายครับไม่ได้ข้ามชั้น ตำแหน่งของห้อง ถ้าเพื่อนๆ ดูในผังด้านล่าง ก็จะเห็นห้องขาวๆ ที่เขียนว่า SA หรือ SB คือห้อง Private Storage นั่นเอง ยิ่งถ้าเราซื้อห้องที่อยู่ติด Private Storage เท่ากับว่าเราได้พื้นที่ห้องเพิ่มในราคาไม่แรง เป็นอีก Facilities นึงที่น่าสนใจมากๆ สำหรับคนของเยอะ

แปลนห้อง

มีแบบห้องให้เลือกเยอะมากกกก โดยเฉพาะ 2 ห้องนอน

ต้องบอกเลยว่าแปลนห้องที่โครงการนี้เยอะมากกกกกกกกครับ แถมแต่ละอาคารบางแปลนก็ไม่เหมือนกันอีก แล้วขนาดห้องมีตั้งแต่ Studio – 3 Bedroom ดังนั้นขนาดก็จะเยอะมากๆ โดยเฉพาะ 2 ห้องนอน เยอะจนผมงง 5555 ที่นี่เขาจะมีมุมที่เรียกว่า Me Corner หรือมุมอเนกประสงค์ด้วย เอาไว้ทำเป็นมุมอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการฮะ

ที่นี่จะขายห้องแบบ Fully Fitted ได้ชุดครัว มีเคาน์เตอร์ ตู้เก็บของ เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน และอ่างล้างจาน ส่วนห้องน้ำเป็นห้องน้ำสำเร็จรูป ดังนั้นทุกห้องก็จะได้ Spec ในห้องน้ำเหมือนกันทั้งหมดเลย มีทุกอย่างครบครับ ทั้งอ่างล้างหน้า กระจก ชักโครก ห้องอาบน้ำ ฉากกั้น ฝักบัว และเครื่องทำน้ำอุ่น นอกจากนี้ก็จะมีวอลเปเปอร์สีขาว ได้พื้น SPC ได้แอร์ของ LG ที่สามารถดักฝุ่น pm 2.5 ได้ แล้วก็ได้ Digital Door Lock ของ Hafele ด้วย

เดี๋ยวผมจะเอาแปลนห้องที่เด่นๆ มาให้เพื่อนๆ ได้ดูกันนะครับ


Studio

ห้องนี้ก็คล้ายๆ กับห้องสตูดิโอทั่วไปของศุภาลัยฮะ ก็เป็นห้องตอนลึกที่ได้ครัวปิดอยู่ด้านหน้า มีประตูบานเลื่อนเปิดปิดให้สำหรับแยกโซนห้องครัว ด้านในเป็นโซน Living รวมกันทั้งหมด มีมุมริมหน้าต่างที่สามารถดัดแปลงเป็นมุมต่างๆ ตามที่เราชอบได้ หรือก็คือมุม Me Corner นั่นเอง ข้อดีของแปลนนี้คือเป็นห้องที่สามารถปรับเปลี่ยนการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้เยอะมากครับ ถ้าต้องการพื้นที่ห้องนั่งเล่นเพิ่ม อาจจะเลื่อนเตียงไปติดกับหน้าต่างเลย หรือถ้าอยากได้พื้นที่นั่งรับประทานอาหารก็อาจจะขยับโซฟาหน่อย วางข้างโซฟาริมผนังได้ ส่วนผนังอีกฝั่งก็จะสามารถวางตู้ขนาดใหญ่ๆ ได้ครับ


1 Bedroom

ห้องนี้ก็จะมีแปลนที่เด่นๆ อยู่ 3 แปลนด้วยกันฮะ คือแบบห้องหน้าแคบกับห้องหน้ากว้าง อย่างห้องแรกเขาจะรวมโซนนั่งเล่นกับกินข้าวเอาไว้ด้วยกัน ส่วนครัวจะอยู่ปีกซ้าย ได้ครัวปิด และต้องเข้าห้องน้ำทางห้องครัว ส่วนห้องนอนก็วางเตียง โต๊ะ ตู้ได้ปกติ แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือมุม Me Corner ที่อยู่ติดกับระเบียง เหมือนห้องที่แยกออกมา แต่ไม่ได้กั้นประตูเท่านั้นเองฮะ ซึ่งเราจะทำเป็นมุมอื่นๆ ก็ได้

ส่วนแปลนแบบ 35 ตารางเมตรอีกแบบ เขาจะเอาครัวไว้ด้านหน้าแทนครับ แต่ยังได้ครัวปิดอยู่นะ ส่วนโซน Living ค่อนข้างยาว วางโต๊ะกินข้าวได้ วางโซฟาได้ แล้วก็ทำเป็นมุมทำงานริมหน้าต่างได้อีก ส่วนห้องนอนทำเป็น Walk-in Closet ได้ สามารถ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้เยอะเลย ส่วนห้องน้ำก็ต้องเข้าจากในห้องนอน ค่อนข้างเป็นห้องที่เหมาะกับการอยู่ 1 – 2 คนฮะ มีที่ให้ได้เก็บของวางของเยอะ กำลังสบายๆ ไม่อึดอัด


1 Bedroom Plus

ถ้าเพื่อนๆ ดูทั้ง 3 แปลนจะเห็นว่าไม่มีแปลนไหนที่เหมือนกันเลยครับ อย่างห้องแรกขนาด 40 ตารางเมตร ห้องนี้เขาเอาครัวไว้ข้างหน้าก็จริงนะ แต่มองไปไม่ได้เห็นข้างในตัวห้องครับ มองไปจะเจอผนังก่อน เราต้องเดินเข้าไปถึงจะเจอโซน Living มีห้องน้ำอยู่ติดกับมุมกินข้าว ริมสุดเป็นห้องอเนกประสงค์ที่มีประตูบานเลื่อนกระจกกั้นให้ ส่วนห้องนอนอยู่ติดระเบียง มุมตู้เสื้อผ้าสามารถ Built-in เต็มผนังได้เลย

ส่วนห้องขนาด 45.50 ตารางเมตร โซน Living จะอยู่ด้านหน้าเลย แต่ครัวจะอยู่ด้านข้าง ซึ่งห้องน้ำก็จะต้องเข้าไปด้านในห้องครัว ถ้าเราเดินมาจากห้องนอนก็จะแอบอ้อมนิดนึงนะ ห้องอเนกประสงค์ค่อนข้างกว้าง ทำเป็นห้องนอนเล็กได้นะ ส่วนห้องนอนก็คล้ายๆ กับห้องก่อนหน้านี้ฮะ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้แบบเต็มผนัง พื้นที่ข้างเตียงเหลือๆ

ส่วนอีกห้องนึงขนาด 46 ตารางเมตร ขนาดต่างกันนิดเดียว แต่ Layout แตกต่างกันเยอะมากฮะ โดยห้องนี้เขาจะแบ่งออกเป็น 3 ฝั่งด้วยกัน ฝั่งขวาเป็นครัวกับห้องอเนกประสงค์ เป็นห้องอเนกประสงค์ที่ไม่ได้เป็นประตูบานเลื่อนกระจก แต่เป็นประตูบานทึบแทน ส่วนตรงกลางเป็นมุมกินข้าวและห้องนั่งเล่น มีระเบียงอยู่ติดกัน และฝั่งซ้ายเป็นห้องน้ำกับห้องนอนที่กว้างขวาง สามารถแต่งเพิ่มได้อีกเพียบเลย ผมว่าเป็นห้องที่ค่อนข้างใหญ่ และแบ่งแต่ละห้องเป็นสัดส่วนแยกออกจากกันทั้งหมด จริงๆ บางโครงการเรียกห้องขนาดนี้เป็น 2 ห้องนอนแล้ว ก็อยู่ที่ว่าเพื่อนๆ จะชอบห้องแบบไหนฮะ


2 Bedroom

แปลน 2 ห้องนอนจะเยอะนิดนึงนะครับ อันนี้คือผมคัดมาละนะ จริงๆมีเยอะกว่านี้อีก เริ่มจากห้องแบบ 2 Bed 1 Bath ขนาด 51.50 ตารางเมตรจะเป็นแปลนห้องมาตรฐานทั่วไปของศุภาลัยฮะ คือตรงกลางเป็นห้องนั่งเล่นกับมุมกินข้าว ฝั่งขวาเป็นครัวกับห้องนอนเล็ก ส่วนฝั่งซ้ายเป็นห้องน้ำกับห้องนอนใหญ่

ส่วนห้องขนาด 55.50 ตารางเมตร ห้องนี้โซน Living จะอยู่ด้านหน้า แล้วครัวไปอยู่ติดกับระเบียงแทน ห้องนอนเล็กจะได้ประตูบานเลื่อนกระจก อยู่ติดกับห้องนอนใหญ่เลย ส่วนห้องน้ำก็มีห้องเดียวอยู่ตรงข้ามห้องนอนเล็ก

ห้องขนาด 56 ตารางเมตร Layout ก็แตกต่างออกไปครับ ถึงแม้ว่าขนาดแต่ละห้องจะห่างกันแค่เล็กน้อยก็ตาม ห้องนี้เดินเข้ามาเจอครัวก็จริง แต่ได้ครัวเปิด อาจจะเพราะห้องออกแนวเฉียงๆ เขาเลยไม่ได้ติดตั้งประตูมาให้ เดินเข้ามาหน่อยจะเป็นโซน Living ส่วนห้องนอนก็อยู่ติดกันเลย แต่ห้องน้ำจะเดินไกลหน่อยฮะ

มาดูห้องขนาด 64 ตารางเมตรกันบ้าง ห้องนี้จะได้เป็น 2 Bed 2 Bath โดยโยกครัวไปไว้ฝั่งซ้ายแทน เป็นครัวปิด ที่มีห้องน้ำอยู่ด้านใน ตรงกลางเป็นโซน Living ถัดไปหน่อยเป็นห้องนอนเล็กที่ได้ประตูบานเลื่อนเช่นกัน ส่วนห้องนอนใหญ่มีโซนสำหรับ Walk-in Closet โดยเฉพาะเลย แถมมีห้องน้ำในตัวด้วย

ห้องขนาด 66.50 ตารางเมตร ห้องนี้เปิดเข้าห้องมาเป็นโซน Living เหมือนเดิม ทางขวาเป็นห้องน้ำ และทางซ้ายเป็นห้องครัว ส่วนห้องนอนต้องเดินเข้าไปอีก ได้เป็นประตูบานทึบทั้งสองห้องเลย แต่การวาง Layout ของห้องนอนใหญ่ไม่เหมือนห้องไหนเลยครับ เพราะตู้เสื้อผ้าอยู่ด้านหน้าแทน

มาถึงห้องสุดท้ายขนาด 50 ตารางเมตร ห้องนี้เดินเข้ามาคือเห็นแต่ประตูห้องนอนเล็ก แต่ถ้าเลี้ยวขวามาหน่อย ก็จะเจอกับโซน Living ห้องน้ำกับห้องครัวอยู่ติดกัน แต่ไม่ได้เข้าทางเดียวกัน เข้าคนละทางโดยมีชั้นวางทีวีกั้นเอาไว้ฮะ ส่วนห้องนอนก็อยู่ติดกัน แต่ห้องนอนเล็กจะได้ระเบียงด้วย

เอาจริง Layout ห้องรายละเอียดค่อนข้างยิบย่อยนะครับ เพื่อนๆ ควรคำนึงถึงการใช้ชีวิตประจำวันของเราเป็นหลัก ว่าเราใช้พื้นที่ไหนเยอะ อยากได้กี่ห้องนอน ต้องมีมุมทำงานด้วยมั๊ย หรืออยู่กันกี่คน เพราะแค่ขนาดเปลี่ยน ตำแหน่งห้องเปลี่ยน การวาง Layout ก็ต่างกันแล้ว ต้องใช้เวลาตัดสินใจกันพอสมควรเลยแหละ


3 Bedroom

มาดูห้องขนาดใหญ่ที่สุดในโครงการกันบ้าง กับ 100 ตารางเมตร ใหญ่จริงไรจริง ห้องนี้เข้ามาเจอโต๊ะกินข้าวก่อนเลย อยู่ติดกับมุมนั่งเล่น ซึ่งหลังโซฟาวางโต๊ะทำงานได้ พื้นที่กว้างมากๆ ห้องครัวเองก็ใหญ่ ได้ประตูบานทึบด้วย เราสามารถ Built-in ครัวให้เต็มมากกว่านี้ได้นะครับ ส่วนห้องนอนจะอยู่ฝั่งซ้ายห้องนึง ส่วนฝั่งขวาจะมีอีกสองห้อง ห้องนอนใหญ่กว้างมาก ตอบโจทย์สำหรับคนที่เสื้อผ้าเยอะสุดๆ

ห้องขนาด 85.50 ตารางเมตร ห้องนี้จะเป็นครัวเปิดครับ อยู่ด้านหน้าทางเข้าเลย ห้องนอนใหญ่จะอยู่ฝั่งซ้ายแยกออกมา มีมุมสำหรับทำ Walk-in Closet แยกด้วย ส่วนโซน Living อยู่ตรงกลางเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือติดระเบียง ได้กระจกเข้ามุม ส่วนห้องนอนเล็กสองห้องอยู่ติดกันเลย

และห้องสุดท้ายขนาด 91 ตารางเมตร ถ้าเป็นห้องอื่นๆ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่โซน Living จะอยู่ตรงกลางใช่มั๊ยครับ แต่ห้องนี้เขาเอาไปไว้ริมเลย คือรวมทั้งครัว โต๊ะกินข้าว และห้องนั่งเล่นไว้ด้วยกัน โดยเขาทำเป็นครัวเปิด มี Island ที่เชื่อมต่อกับโต๊ะกินข้าวด้วย ติดกันก็จะมีห้องนอนเล็กกับห้องน้ำครับ ส่วนฝั่งขวาเป็นห้องนอนอีกห้อง ที่อยู่ติดกับห้องนอนใหญ่ มีห้องน้ำในตัว และ Built-in ตู้เสื้อผ้าเพิ่มเองได้ แต่ห้อง 3 ห้องนอนจะมีอยู่ไม่มากนะครับ

นี่เป็นแค่แปลนห้องส่วนนึงที่ผมเอามาให้เพื่อนๆ ดู ก็ต้องบอกว่ามีขนาดห้องให้เลือกเยอะ ขึ้นอยู่กับขนาดครอบครัวและการใช้ชีวิตของเพื่อนๆ ครับ อย่างห้อง Studio ก็จะเหมาะกว่าถ้าอยู่คนเดียว ส่วน 1 Bedroom กับ 1 Bedroom Plus สามารถอยู่ 1 – 2 คนได้แบบสบายๆ 2 Bedroom อยู่ 2 – 3 คนกำลังดี ส่วน 3 Bedroom ก็เหมาะกับครอบครัวใหญ่ฮะ พื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชันการใช้งาน อยากให้เพื่อนๆ ได้ลองดูไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของตัวเอง แล้วไล่ดูแปลนห้องทีละแบบ ลองจินตนาการดูครับว่าถ้าเราใช้ชีวิตอยู่ในห้องนั้นจะเป็นยังไง เผื่อจะช่วยในการตัดสินใจได้

1 Bedroom ขนาด 35.5 ตารางเมตร

ห้องนี้จะได้ครัวปิด พร้อมโซน Me Corner เอนกประสงค์ ส่วนห้องนอนจะหลบมุมเป็นส่วนตัวขึ้น

ห้องตัวอย่างของที่นี่จะมีทั้งหมด 2 แบบด้วยกันครับ เป็น 1 Bedroom ขนาด 35.5 ตารางเมตร กับ 1 Bedroom Plus ขนาด 40.5 ตารางเมตร ขนาดไม่ได้แตกต่างกันมาก การวาง Layout ของห้องค่อนข้างจะเหมือนกันมากฮะ สิ่งที่เป็นจุดเด่นของทางศุภาลัยก็คือมุมอเนกประสงค์ที่เขามาใส่มาให้ หรือ Me Corner เป็นมุมที่เราสามารถดัดแปลงเป็นอะไรก็ได้ตามไลฟ์สไตล์เลย

ห้องนี้จะเป็นห้องหน้ากว้างครับ ถ้าเป็นห้องที่ขนาดเล็กกว่านี้หรือห้อง 30 ตารางเมตร จะเป็นห้องหน้าแคบ ซึ่งข้อดีของห้องนี้นอกจากจะได้ครัวปิดแล้ว ยังมีมุมโปรด Me Corner ด้วย ซึ่งพื้นที่ที่เขาจัดสรรมาค่อนข้างดีเลย ขนาดไม่เล็ก สามารถทำเป็นมุมอื่นๆ นอกเหนือจากการเป็นแค่มุมทำงานได้ ทั้งยังได้ห้องนอนและหน้าต่างกระจกขนาดใหญ่ด้วย ทำให้ห้องดูโปร่ง โล่ง เวลาเราเดินเข้าไปแล้วไม่รู้สึกอึดอัด

มาเริ่มดูห้องตัวอย่างกันเลย ห้องนี้เขาก็จะมาในโทนสีฟ้านะครับ ด้านหน้าเขาทำเป็นมุมโต๊ะกินข้าว รวมกับโซนนั่งเล่นเลย ห้องน้ำจะอยู่ด้านหน้าสุด ตรงข้ามกับมุมกินข้าว ด้วยความที่เพดานสูง 2.7 เมตร ทำให้เรามองเข้าไปในห้องดูกว้างขึ้น เอาจริงเพราะไม่มีกำแพงหน้าห้องด้วย เลยถ่ายห้องออกมาได้แบบกว้างๆ เลย

มุมกินข้าวสามารถวางโต๊ะแบบ 2 ที่นั่งได้ หรือถ้าใครอยากได้โต๊ะที่ใหญ่หน่อย ผมว่า 4 ที่นั่งก็ยังได้อยู่นะครับ โซนนั่งเล่นสามารถวางโซฟา 2 – 3 ที่นั่งได้ แถมวางโต๊ะกาแฟเล็กๆ ก็ไม่กินพื้นที่ครับ เดินผ่านไปมาได้สบายๆ ส่วนฝั่งชั้นวางทีวีก็ได้แบบเต็มๆ ผนัง เราสามารถ Built-in ชั้นวางต่างๆ เพิ่มได้อีกนะ

ครัวที่นี่เป็นครัวปิด มีประตูบานเลื่อนกระจกติดตั้งมาให้ ด้านในครัวค่อนข้างกว้างเลยถ้าเทียบกับคอนโดใหม่ๆ สมัยนี้ อีกทั้งที่นี่ยังเป็นโครงการแรกด้วยนะ ที่ทางศุภาลัยเขาเลือกที่จะเอาเครื่องซักผ้ามาไว้ในห้องครัวแทนที่จะไว้ตรงระเบียง ความสูงของช่องประมาณ 90 เซนติเมตร ถ้าดูจากรูปก็จะเห็นได้ชัดเลยว่าครัวมีพื้นที่ค่อนข้างเยอะ ถ้าชอบทำอาหารและมีข้าวของเครื่องใช้ล้นตู้ ซื้อชั้นหรือโต๊ะมาวางเพิ่มได้อีกนะ

มาดูมุมอเนกประสงค์หรือ Me Corner กันบ้างครับ ต้องบอกว่าเป็นห้อง 1 Bedroom ที่เหมือนได้ห้อง Plus เพิ่มเลย เพราะ Me Corner เขาค่อนข้างใหญ่ มีประตูบานเลื่อนกั้นระหว่างมุมนี้กับมุมนั่งเล่นด้วย แถมอยู่ติดระเบียงอีก แสงดีวิวดีฮะ

โซนที่จะเข้าไปยังห้องนอนเขาจะก่อผนังสูงไว้ให้ด้วยนะครับ อาจจะไม่ได้ทำเป็นซุ้มโค้งให้ จะได้แบ่งโซน Me Corner ให้แยกออกจากห้องนอน แต่ยังให้ความรู้สึกที่เชื่อมกันอยู่

ห้องนอนค่อนข้างกว้างเลย วางเตียงขนาดใหญ่ได้ ผนังหัวเตียงแต่งเพิ่มได้ ตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะเครื่องแป้งก็ Built-in ติดกันได้เลย โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าการวาง Layout ห้องแบบนี้ ให้ความเป็นส่วนตัวกับห้องนอนมากๆ ยิ่งถ้าเราเปิดประตูห้องเข้ามา จะไม่เห็นห้องนอนเลย แต่เวลาอาบน้ำเสร็จก็อาจจะต้องเดินมาที่ห้องนอนไกลหน่อยฮะ


1 Bedroom ขนาด 40.5 ตารางเมตร

ห้องตัวอย่างอีกห้องที่แปลนคล้ายกัน แต่ได้พื้นที่แต่ละโซนใหญ่ขึ้น ได้ห้องนอนปิด ห้อง Me Corner แยกต่างหาก

ห้องนี้ขนาดใหญ่กว่าห้องก่อนหน้านี้เล็กน้อย เป็นห้องหน้ากว้าง โซนนั่งเล่นกับโซนกินข้าวจะอยู่รวมกัน ได้ครัวปิดเหมือนกัน แต่ห้องน้ำก็จะเข้าจากในครัวแทน มีห้องอเนกประสงค์ที่เขากั้นห้องชัดเจน ได้เป็นประตูบานเลื่อนกระจก ส่วนห้องนอนเป็นประตูบานทึบฮะ

ภาพรวมห้องก็จะประมาณนี้ครับ โซน Living ก็จะเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส มองทะลุไปเห็นห้องอเนกประสงค์ ห้องนอนยังได้ประตูบานทึบอยู่ มีความเป็นส่วนตัวเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือไม่ต้องเดินไกลเหมือนห้องก่อนหน้านี้แล้วฮะ

มุมนั่งเล่นต้องบอกว่าพื้นที่ระหว่างโซฟากับชั้นวางทีวีคือห่างกันเยอะพอสมควรเลย

มุมชั้นวางทีวีอาจจะไม่ได้ใหญ่มากนะครับ แต่ก็วางทีวีไซส์ใหญ่ได้สบายครับ

มุมกินข้าวพื้นที่เหลือๆ ฮะ แล้วแต่เลยว่าจะวางโต๊ะแบบไหน โต๊ะเหลี่ยม โต๊ะกลมได้หมด พื้นที่ใหญ่พอจะวางเป็นโต๊ะ 4 ที่นั่งได้

จากรูปจะเห็นว่าครัวของห้องนี้จะแคบกว่าห้องก่อนหน้าเล็กน้อย แต่ชุดครัว เตาไฟฟ้า และเครื่องดูดควันต่างๆ ยังให้มาเหมือนเดิมนะ มีช่องใส่ไมโครเวฟด้านบน ช่องวางเครื่องซักผ้าด้านล่าง แล้วตะขอติดผนังที่อยู่หลังอ่างล้างจานทางโครงการก็ให้มาเหมือนกันนะครับ

มาที่ห้องอเนกประสงค์กันบ้าง ห้องนี้อยู่ติดระเบียง ถ้าเพื่อนๆ สังเกตจะเห็นว่าไม่มีคอมเพรสเซอร์แอร์มาเกะกะสายตาเลยครับ ระเบียงดูโล่งมาก เพราะเขายกคอมแอร์ไปแขวนไว้ด้านบนแทน ห้องนี้มีพื้นที่ใช้สอยพอสมควรเลยนะ จริงๆ จะทำเป็นห้องอะไรก็ได้นะครับ แต่ที่นี่เขาทำเป็นห้องทำงาน เผื่อเป็นไอเดียให้เราแพลนแต่งห้องตัวเองได้ฮะ

ห้องนอนที่นี่คือใหญ่เลย แต่งเยอะแต่ห้องยังดูโล่งอยู่ครับ หน้าต่างเขาเป็นบานกระทุ้งให้สองบานเลยนะ เผื่อเราอยากจะเปิดรับลมรับไอแดดฮะ 555

มุมตู้เสื้อผ้าคือย้ายโต๊ะเครื่องแป้งย้ายไปไว้ปลายเตียงก็ได้นะครับ พื้นที่ว่างๆ เลย โดยรวมแล้วห้องนี้อยู่ค่อนข้างสบายเลย เพราะห้องกว้าง เพดานสูง ห้องเลยดูโปร่ง ไม่อึดอัด แต่ละพื้นที่ก็มีฟังก์ชันการใช้งานเยอะ มีการแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนดี แถมได้ครัวปิดด้วย

Spec ห้องอัพเกรดขึ้น

เป็น Supalai Parc ที่ให้ spec ของในห้องเทียบเท่ากับแบรนด์ Supalai Loft เลย

ในด้านของ Spec ห้องที่นี่ก็จะถูกอัพเกรดเหมือนกันครับ คือถ้าเรียงลำดับแบรนด์ของ Supalai ที่เป็นกลุ่มตึกสูง เราก็จะเห็นแบรนด์ Supalai Veranda ที่เป็นตัวเริ่มต้น ถัดมาเป็นแบรนด์ Park (Parc) และมีแบรนด์ Supalai Loft ที่จะอัพเกรด Spec ต่างๆ ขึ้นไปอีกครับ แต่สำหรับการ Rebrand ของ Supalai Parc รอบนี้ ตัว Spec ต่างๆ ของตัวห้องจะถูกอัพเกรดขึ้นกว่าเดิม ตัวห้องเรียกได้ว่าแทบยก Spec ของ Supalai Loft มาให้แบบเป๊ะๆ เลย จะมีอะไรบ้าง เราลองมาดูกันครับ

เพดานสูง 2.7 เมตร

อย่างแรกที่เป็นจุดเด่นของ Supalai Loft ที่ถูกยกมาใส่ในโครงการนี้ คือความสูงของเพดานที่ให้มามากกว่าโครงการทั่วไปครับ ถูกดันขึ้นไปอยู่ที่ 2.7 เมตร ซึ่งพอเพดานสูงขึ้น ห้องก็จะดูมีความโปร่งมากกว่า รู้สึกไม่อึดอัด รวมถึงฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ถ้าเราบิ้วด์ตู้ก็จะมีพื้นที่สำหรับเก็บของในแนวสูงได้มากขึ้นครับ ซึ่งปกติคอนโดตึกสูงทั่วไปก็จะอยู่ที่ประมาณ 2.5 เมตรกันครับ ถ้าเป็นความสูงระดับ 2.7 ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคอนโดระดับค่อนไปทางบนหน่อย ราคาต่อตารางเมตรแสนกลาง-แสนปลาย แต่ที่นี่สามารถทำออกมาได้ในราคาเริ่มต้นล้านปลายๆ ก็เป็นจุดเด่นนึงของโครงการนี้ครับ

ห้องน้ำสำเร็จรูปจาก SCG

สำหรับโครงการนี้จะใช้ห้องน้ำสำเร็จรูปทำสำเร็จจากโรงงานแล้วยกมาติดตั้งครับ ห้องน้ำประเภทนี้ก็จะได้ในเรื่องของความมีมาตรฐาน มีคุณภาพมี QC ที่เชื่อถือได้ ลดปัญหาที่จะต้องเจอการทำห้องน้ำของช่างหน้างานที่มีความหลากหลายทั้งเรื่องรายละเอียดการติดตั้งต่างๆ รวมถึงเรื่องของการรั่วต่างๆ ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยละ ซึ่งเป็นข้อดีของห้องน้ำประเภทนี้และทำให้ก่อสร้างได้ไว แต่บางคนที่เคยเจอห้องน้ำสำเร็จรูปมาก่อน อาจจะเคยเจอความที่พื้นเดินแล้วไม่แน่นเท่า มีเสียงป๊องๆ จากพื้นด้านล่างที่โปร่ง เลยอาจจะรู้สึกแปลกๆ หน่อย ที่นี่ก็เลยจะแก้ปัญหานี้ด้วย โดยใช้เป็นห้องน้ำสำเร็จรูปของ SCG ที่มีความแข็งแรงทนทานแน่นหนาขึ้น เดินแล้วให้ความรู้สึกแบบห้องน้ำปกติ รวมถึงเราสามารถเจาะผนังได้ด้วยครับ ทำให้จุดที่ต่างจากห้องน้ำแบบเดิมที่เราสังเกตได้ จะมีแค่เรื่องระดับของพื้นห้องน้ำที่สูงขึ้นกว่าห้องด้านนอกเล็กน้อย

ตัวห้องน้ำนี้จะได้ของตามที่เห็นทุกอย่างเลยฮะ (ยกเว้นของตกแต่งนะ) อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับห้องน้ำอย่างก๊อกน้ำ ราวแขวนผ้า ที่ใส่กระดาษทิชชู่ ฝักบัว และเครื่องทำน้ำอุ่นจะเป็นสีดำทั้งหมดแบบเดียวกับ Supalai Loft เป็นของ Hafele แต่ถ้าเป็นชักโครกกับอ่างล้างหน้าจะเป็นสีขาว ของ COTTO ต้องบอกว่าความพิเศษของชักโครก COTTO นี้ คือเพื่อนๆ สามารถโบกมือไปมาบนเจ้าปุ่ม Touchless Flush กลมๆ ได้เลย ไม่ต้องสัมผัส ซึ่งเราจะย้ายมันไปอยู่ตรงไหนของห้องน้ำก็ได้ครับ แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะหาไม่เจอ จำไม่ได้ว่าเอาไปไว้ไหน เพราะสามารถกดด้วยมือที่ปุ่มข้างๆ ชักโครกได้เช่นกัน

ส่วนห้องอาบน้ำก็มีประตูบานเลื่อนกระจกติดตั้งมาให้เลย มีเครื่องทำน้ำอุ่นแถมมาด้วยครับ และชั้นวางของแบบเจาะผนังด้วย จะแอบเสียดายก็ตรงใต้อ่างล้างหน้าน่าจะมีที่เก็บของให้นิดนึง


ห้องครัว

สำหรับห้องครัวจะได้ชุดเคาน์เตอร์ด้านล่าง มีช่องเก็บของและลิ้นชัก ทั้งยังมีช่องว่างวางเครื่องซักผ้าด้วย ส่วนบนเคาน์เตอร์ก็มีอ่างล้างจาน เตาไฟฟ้า และเครื่องดูดควัน ซึ่งโครงการนี้จะแถมเตากับเครื่องดูดมาให้เลย ไม่ต้องซื้อเองแยกครับ

ส่วนด้านบนมีตู้เก็บของและช่องสำหรับวางไมโครเวฟครับ ครัวทุกห้องจะหน้าตาเหมือนกันเลยนะ ตัวชุดดูดควันมีการเจาะช่องต่อท่อระบายออกข้างนอกเป็นที่เรียบร้อยครับ


ระเบียง

ระเบียงเขาก็จะแขวนคอมเพรสเซอร์แอร์ไว้ด้านบนนะครับ แต่ถ้าห้องใหญ่หน่อยที่มีแอร์หลายตัวก็น่าจะต้องวางพื้นด้วยเหมือนกัน ระเบียงที่นี่จะค่อนข้างยาว มีไฟมาให้หนึ่งจุด ส่วนเครื่องซักผ้าที่นี่จะถูกออกแบบมาให้ไว้ที่ในห้องใต้เคาท์เตอร์ครัวครับ


อื่นๆ

ทางโครงการจะติดวอลเปเปอร์มาให้ด้วยในส่วนของโซน Living ครับ เป็นวอลสีขาวลายไม่ฉูดฉาดมาก อันนี้ก็จะตามสไตล์ศุภาลัยที่เกือบทุกโครงการจะแถม Wallpaper มาให้เลย ปัจจุบันไม่ค่อยเห็นใครให้กันสักเท่าไหร่ ส่วนพื้นที่นี่ก็จะได้เป็น SPC แบบ Click Lock ครับ ข้อดีของพื้นประเภทนี้คือหน้าตาจะเหมือนกับพื้นไม้ แต่ได้ความทนทานของวัสดุที่จะไม่บวมน้ำเหมือนกับพื้นลามิเนตครับ ส่วนแอร์ของ LG ที่สามารถดักฝุ่น pm 2.5 ได้ และจะมี Digital Door Lock ติดตั้งให้ด้วยครับ


ราคาเฉลี่ย 70,000 บาท/ตร.ม.

ทำเลใกล้เมือง ในราคาที่เหมือนอยู่นอกเมือง

อีกเรื่องที่ไม่พูดไม่ได้ของที่นี่ก็หนีไม่พ้นเรื่องของราคาครับ อย่างที่บอกไปว่าจุดเด่นของที่นี่อย่างนึงเลยคือราคาที่ทำออกมาได้ดีมากๆ เมื่อเทียบกับความใกล้เมืองที่ใด้ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นทำเลใจกลางเมืองโดยตรง แต่ปัจจุบัน ด้วยราคาเฉลี่ย 7 หมื่นบาท/ตร.ม. ถ้าเอาเป็นเส้นสุขุมวิทติดถนนใหญ่ยังไงก็มีเขยิบไปถึงสมุทรปราการครับ หรือส่วนใหญ่ก็จะเป็นทำเลที่รอบนอกออกไปครับ ที่นี่มาในราคาที่ค่อนข้างจับต้องได้ แถมยังได้ Facility ต่างๆ ที่มาค่อนข้างเยอะ ยังไม่นับว่าราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.89 ล้านบาท ได้ห้อง 30 ตร.ม. อันนี้ก็จะตกอยู่ที่ 6 หมื่นกว่าเท่านั้นเอง เราก็แทบจะไม่ได้เห็นคอนโดทำเลใกล้เมือง ราคาเริ่มต้นเลข 1.xx มาซักพักแล้วครับ แถมยังได้ห้องที่ขนาดค่อนข้างถือว่าใหญ่อีก

แต่ถ้าบอกแค่ราคาเฉลี่ย 7 หมื่นบาท/ตร.ม. ก็อาจจะยังไม่เห็นภาพมาก ลองมาดูราคาคร่าวๆ ของที่นี่ เมื่อเป็นราคาห้องแต่ละ Type กันครับ (ราคา ณ เดือนมิถุนายน 2023)

Studio 30 ตารางเมตร : 2.00 – 2.52 ล้านบาท (มีส่วนลดอีก 140,000 บาท)
1 Bedroom 34-35.5 ตารางเมตร : 2.19 – 3.07 ล้านบาท (มีส่วนลดอีก 200,000 บาท)
1 Bedroom Plus 40-46 ตารางเมตร : 2.68 – 3.68 ล้านบาท (มีส่วนลดอีก 220,000 บาท)
2 Bedroom 46-78 ตารางเมตร : 3.28 – 6.01 ล้านบาท (มีส่วนลดอีก 280,000-300,000 บาท)
3 Bedroom 80.5-100 ตารางเมตร : 6.08 – 8.11 ล้านบาท (มีส่วนลดอีก 300,000 บาท)

(เอาเฟอร์นิเจอร์ด้วยก็จะหักส่วนลดไปประมาณ 70,000 – 150,000 บาทครับ แล้วแต่ Type ห้อง)

ดูจากราคา ก็คือห้องกลุ่ม Studio และ 1 Bedroom ไม่ว่าจะห้องไหน เมื่อรวมส่วนลดแล้วก็จะไม่เกิน 3 ล้านบาทเลยครับ ซึ่งถ้าอยู่คนเดียว ไป Studio 30 ตารางเมตร ก็จะอยู่แค่ล้านปลายถึง 2 ล้านต้นๆ ส่วนห้อง 1 Bedroom นี่ขนาดก็ไป 35 ตารางเมตรแล้ว ใหญ่กว่าห้อง Type นี้ทั่วไปส่วนใหญ่ ในราคาอยู่แค่ 2 ล้านกว่าไม่เกิน 3 ก็น่าจะเป็นห้อง Type นึงที่ขายดีเลยครับ

ส่วนใครอยากได้พื้นที่เพิ่มอีก ห้อง 1 Bedroom Plus นี่ก็จะได้พื้นที่ที่มากกว่าห้องทั่วไปเค้ากันแล้วครับ ซึ่งห้อง 1 Bedroom Plus ขนาดใหญ่สุดนี่ก็แทบจะเป็น 2 ห้องนอนกันแล้ว ตัวนี้ราคาก็ยังอยู่ที่ไม่ถึงเลข 4 อยู่ที่ 2 ล้านปลายจนถึง 3 ล้านกลางๆ เท่านั้นเอง ใครที่มองหาพื้นที่เยอะขึ้น หรือเริ่มอยู่ 2 คนและเผื่ออนาคต ตัวห้อง Type นี้ก็เป็นตัวเลือกที่ราคายังไม่สูงเกินไป (นึกภาพจ่ายเงินไม่ถึง 3 ล้านได้ห้อง 40 ตารางเมตร ไม่ได้เห็นราคาคอนโดในเมืองแบบนี้มาพักใหญ่แล้วจริงๆ)

ส่วนห้อง 2 Bedroom ตัวนี้ range ราคาค่อนข้างกว้างครับ ห้องมีหลากหลายแบบมาก มีทั้งห้องที่คล้าย 1 Bedroom Plus เป็นห้อง 1 Bath ไปจนถึงห้องแบบ 2 Bath เกือบ 80 ตารางเมตร ราคาห้องหลังหักส่วนลดก็อยู่ที่ 3 ล้าน -5 ล้านปลายๆ ส่วนห้อง Type ใหญ่สุดอย่าง 3 Bedroom ตัวนี้ก็จะ 5 ปลายๆ – 7 ปลายๆ ครับ

ซึ่งตัวห้องใหญ่ของที่นี่ ลูกค้ากลุ่มนึงที่น่าจะสนใจคือเป็นกลุ่มที่อยากได้พื้นที่เยอะ จะไปซื้อคอนโดที่อยู่ด้านในเลย เงิน 5 – 6 ล้านบางทีก็ได้แค่ห้อง 1 Bedroom หรือถัดออกมาหน่อยก็ได้ห้องไซส์อาจจะไม่ได้ใหญ่เท่า แต่จะไปซื้อบ้าน อันนี้ก็จะได้พื้นที่เยอะจริง แต่เดี๋ยวนี้ 5 – 6 ล้านยังไงทำเลก็ไกลออกไปฃ ดังนั้นสำหรับกลุ่มคนที่มองหาพื้นที่ที่ใหญ่ประมาณนึง ยังได้ความในเมือง แล้วราคาไม่ได้หนีจากห้อง 1 Bedroom – 1 Bedroom Plus ในเมืองมาก ห้อง 2 – 3 Bedroom ของที่นี่ก็จะตอบโจทย์ตรงนี้ครับ

สรุป

ที่นี่จุดเด่นก็ค่อนข้างชัดเจนครับ อย่างแรกคือเรื่องของราคาตามย่อหน้าบนเลย ก็ต้องบอกว่าราคาของที่นี่ทำให้การมีคอนโดในเมืองสักห้องของหลายๆ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ง่ายขึ้น ราคามาแบบหยิบจับง่าย มีห้องทั้งแบบแพคเล็ก แพคใหญ่ กลุ่มอยู่คนเดียว อยู่หลายคน หรืออยู่เป็นครอบครัว

ซึ่งด้วยราคาแบบนี้สาเหตุที่ทำได้ส่วนหนึ่งก็มาจากขนาดโครงการที่ค่อนข้างใหญ่ สามารถทำราคาออกมาได้ดี มีเพื่อนบ้านระดับ 1,6xx ห้อง ก็ถือว่าค่อนข้างเยอะครับ แต่นอกจากเรื่องของราคา Benefit ที่ได้ตามมาก็จะเป็นเรื่องของส่วนกลางที่เยอะตาม กับสระว่ายน้ำสองสระ ทั้งสระออกกำลังกายยาว 50 เมตร และสระนึงที่ทำออกมาเป็นกึ่งสวนน้ำ รวมไปถึงเป็นโครงการศุภาลัยที่ให้ส่วนกลางมาเยอะที่สุดเท่าที่เคยทำมาด้วย เริ่มมีห้องต่างๆ มีการตีโจทย์มาจาก Lifestyle ของกลุ่มคนอยู่มากขึ้น

ก็ถือว่าที่นี่เป็นโครงการนึงที่ให้ส่วนกลางมาเยอะ โดยมีให้ถึง 44 รายการ เทียบกับจำนวนยูนิตก็ถือว่าไม่น้อยเลยครับ ยิ่งราคาแบบนี้ด้วย

นอกจากพื้นที่บนตึก พื้นที่สวนของที่นี่ก็ถือว่าค่อนข้างเยอะ ตามโจทย์ของแบรนด์ Parc ที่จะเน้นธรรมชาติ อย่างสวนหน้าโครงการที่เป็นสวนแนวฝรั่งเศส ตรงนี้โครงการจะเก็บต้นไม้เก่าของที่ดินเดิมเอาไว้ เสร็จแล้วน่าจะร่มรื่นมากทีเดียว รวมไปถึงพื้นที่บ่อน้ำที่อยู่ระหว่างสองตึก จากระยะ Setback ที่มีสายไฟแรงสูงผ่าน ตรงนี้ก็ทำให้เราได้เห็นส่วนกลางที่คอนโดไม่ค่อยจะมีกัน คือมีพื้นที่ริมน้ำให้มานั่งเล่นพักผ่อนได้ ก็เป็นข้อดีที่มาจากข้อจำกัดของที่ดินทำให้มีลานว่างขนาดใหญ่กลางโครงการ 

ด้าน Spec ห้อง ที่นี่ให้มาแบบเหมือนยก Supalai Loft มาเลย ให้เพดานสูงกว่าทั่วไป ให้เครื่องทำน้ำอุ่น ชุดครัว+Hob&Hood สุขภัณฑ์ ฉากกั้นอาบน้ำ และ Digital Doorlock แถมรับประกัน 3 ปีและรับประกันโครงสร้างอีก 10 ปีด้วยกัน ยาวกว่าคอนโดปกติทั่วไป ส่วนตัวทีมงานมองว่าเทียบกับราคาแล้ว Spec ห้องที่ให้ไม่ขี้เหร่เลยครับ ค่อนข้างสมราคา บางอย่างก็เกินด้วย อย่างคอนโดล้านปลายที่ไหนจะให้เพดานสูง 2.7 เมตร แต่ก็จะมีบางอย่างที่แอบอยากได้เพิ่ม อย่างอ่างล้างมือในห้องน้ำถ้าด้านล่างทำเป็นตู้มาให้ก็จะดีเลย หรือชุดครัวที่หน้าตาดูธรรมดาไปหน่อย แต่เห็นราคาห้องก็แกล้งปิดตาข้างนึงได้อยู่ครับ

ส่วนในเรื่องของทำเล ตรงนี้อาจจะไม่ใช่ทำเลแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง เป็นทำเลที่รองลงมา ไม่ถึงกับติดรถไฟฟ้า และสายที่ใกล้ที่สุดก็จะไม่ได้เป็นรถไฟฟ้าสายหลัก แต่ก็เป็นทำเลมีจุดเด่นของตัวเองในเรื่องความใกล้เมือง จากหน้าโครงการข้ามสะพานข้ามแยกคลองตัน ลงมาก็ถึงกับแยกเอกมัยเหนือแล้วครับ ดังนั้นโซนสุขุมวิทก็จะค่อนข้างใกล้มาก (แต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงเวลาเร่งด่วน ใช้รถก็อาจจะมีรถติดบ้างครับ) ซึ่งโครงการก็รู้ว่าทำเลนี้จุดเด่นอยู่ที่การเดินทางโดยรถ เลยให้ที่จอดรถมาค่อนข้างเยอะ กว่า 60% เลย

ดังนั้นใครที่มองหาทำเลใกล้สุขุมวิทใกล้เมือง แต่สุขุมวิทราคาไปไกลแล้ว โซนเพชรบุรีก็อาจจะยังราคาตึงๆ ไป หรือได้พื้นที่ไม่เท่าที่ต้องการ ที่ตั้งโครงการตรงนี้ก็จะทำออกมาให้ตอบโจทย์ตรงนี้ครับ เป็นที่ที่ทีมงานกล้าพูดเลยว่า Supalai Parc เอกมัย-พัฒนาการเป็นโครงการนึงที่ทำออกมาค่อนข้างจะคุ้มค่าสำหรับปี 2023 แต่ก็อยู่ที่ว่าโจทย์ของแต่ละคนมองหาอะไรครับ

สำหรับใครที่สนใจ โครงการเปิดให้ชมห้องตัวอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ที่ตั้งของ Sales Gallery ตั้งอยู่ข้างก่อนถึงที่ตั้งโครงการจริง สามารถแวะไปเข้าชมได้ และโครงการจะเปิด Pre-Sales รอบแรกในวันที่ 10-11 มิถุนายนนี้

Related posts
รีวิวเจาะลึก

รีวิวเจาะลึก Noble Around Ari : คอนโดพร้อมอยู่ใจกลางย่านอารีย์ ติดถนนพหลฯ ใกล้ BTS แค่ 90 เมตร

รีวิวเจาะลึก

รีวิวเจาะลึก Supalai Sense ศรีนครินทร์ : คอนโดใหม่ ตรงข้าม "ซีคอน" ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง เริ่ม 1.42 ล้านบาท

รีวิวเจาะลึก

รีวิวเจาะลึก SHUSH Ratchathewi : คอนโด Loft 2 ชั้นจากแสนสิริ 140 ม. BTS ราชเทวี 1 สถานีถึงสยาม!

รีวิวเจาะลึก

รีวิวเจาะลึก Supalai Loft แคราย : คอนโดตึกสูง ติดถนนใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้า แต่ราคาเหมือนอยู่ในซอย เริ่ม 1.49 ล้าน