ถ้าพูดถึงย่าน “สาทร” ทุกคนน่าจะเห็นภาพไปในทางเดียวกันในด้านความเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจ เป็น CBD ดั้งเดิมของกรุงเทพมหานคร มีความเก่าแก่ มีประวัติ มี Heritage ต่างๆ ซึ่งวันนี้เราจะขอพาเพื่อนๆ มารู้จักกับคอนโดที่อยู่ในกลางย่านสาทร แบบใจกลางสาทรจริงๆ กับโครงการที่เรียกได้ว่าเป็นคอนโดที่ Luxury ที่สุด ระดับบนที่สุดตั้งแต่ศุภาลัยเคยทำคอนโดในไทยมาเลยก็ว่าได้ กับโครงการ
“SUPALAI ICON SATHORN”
ที่นี่จะเป็นโครงการระดับ Luxury จากทางศุภาลัย ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 8.9 ล้าน ไปจนถึงห้องระดับ 100 ล้านเลยทีเดียว ล่าสุดโครงการเพิ่งจะสร้างเสร็จและเปิดตึกกันไปหมาดๆ ซึ่งนานๆ ทีเราจะเห็นศุภาลัยมาเปิดโครงการในทำเล Prime Area กลางเมืองแบบนี้
ดังนั้น เดี๋ยววันนี้เราจะพาไปเจาะลึกกับโครงการนี้กันครับว่า ด้วยความที่เป็นคอนโดระดับ Luxury ศุภาลัยจะทำที่นี่ออกเป็นอย่างไร และอะไรที่เป็นความน่าสนใจของโครงการนี้
จุดเด่นโครงการ
ติดถนนสาทร
ใจกลางย่าน CBD
ส่วนกลาง Oversize
ให้มาใหญ่และหลากหลาย
ราคายังจับต้องได้สไตล์ศุภาลัย
เริ่ม 190,000 บาท/ตร.ม.
สาทร : ย่านเก่าแก่ของกรุงเทพฯ
ถนนสายสำคัญ ที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
สำหรับถนนสาทรเอง ถือว่าเป็นถนนที่มีประวัติที่ยาวนานมาก ย้อนไปถึงเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ในช่วงยุค พ.ศ.2420-2430 กันเลยทีเดียวครับ ซึ่งในขณะนั้นตัวเมืองหลักๆ ของพระนคร จะอยู่ที่ฝั่งตัวเมืองเก่าในปัจจุบัน โดยย่านสาทรเองในตอนนั้นถือว่าเป็นย่านที่เป็นชานเมือง ยังทำเกษตรกรรมกันอยู่ครับ
ซึ่งด้วยความที่ยุคนั้น ประเทศไทยเริ่มเปิดประเทศ มีการค้าขายกับต่างชาติ ก่อนหน้านั้นในรัชกาลที่ 4 เขตพระนครเริ่มมีการตัดถนนและขุดคลองเพื่อเชื่อมต่อย่านหัวลำโพงไปยังพระโขนง (เป็นถนนพระราม 4 ในปัจจุบัน) เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อค้าขายขนส่งกับเรือที่มาจากทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา
แต่ในยุคนั้นก็ถือว่าการเดินทางต่างๆ ยังลำบากอยู่มาก มีคลองที่ใช้สัญจรน้อย จึงมีนโยบายที่เชิญชวนเอกชนมาขุดคลอง เพื่อใช้เป็นทางสัญจรและเป็นการพัฒนาที่ดิน โดยจะยกสิทธิ์ในที่ดินของสองฝั่งคลองให้เป็นการตอบแทน (ซึ่งจากนโยบายนี้ เราเลยได้เห็นภาพรังสิตที่มีคลองต่างๆ เรียงรายกันนั่นเองครับ)
สาทรก็เช่นกันครับ ได้มีเจ้าสัวยมเข้ามาขุดคลองในพื้นที่ตรงนี้ เชื่อมต่อตั้งแต่แม่น้ำเจ้าพระยา ไปจนถึงคลองถนนตรง (ถนนพระราม 4 ในปัจจุบัน) ซึ่งในการขุดคลองนั้น ก็ได้มีการนำเอาดินที่ขุดมาทำถนนทั้งสองฝั่งคลองด้วย ต่อมาเจ้าสัวยมได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสาทรราชายุกต์ ก็เลยเป็นที่มาของชื่อคลองสาทรและถนนสาทรในปัจจุบันครับ
โดยที่ดินที่ได้มา เจ้าสัวก็ได้ทำการจัดสรรแบ่งขาย เข้าใจว่าถึงแม้สาทรจะเป็นย่านชานเมืองในยุคนั้น แต่ก็ไม่ได้ไกลจากตัวพระนครมาก เชื่อมต่อกับถนนเจริญกรุง และย่านหัวลำโพง ดังนั้นผู้ที่มาซื้อที่ดินเลยมีทั้งกงสุลต่างประเทศ ผู้มีเงินในสมัยสมัยนั้น รวมไปถึงมีบ้านของเจ้าสัวเองด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันเราจะยังคงเห็นบ้านผู้ดีเก่าในย่านนี้หลงเหลืออยู่ และค่อนข้างจะมีงานสถาปัตย์โดดเด่นจากยุคนั้น อย่างบ้านที่อยู่กลาง W Hotel แยกสาทร-นราธิวาส ตรงนี้ก็เป็นบ้านเก่าของเจ้าสัวยมครับ
จากอดีตสู่ย่าน CBD ใจกลางเมือง
วันเวลาผ่านไป จากอดีตผ่านมาร้อยปี ย่านสาทรก็ได้กลายมาเป็นพื้นที่ใจกลางเมืองเป็นที่เรียบร้อยครับ โดยจุดเปลี่ยนของสาทรอีกครั้งหนึ่งมาจากการที่มีการสร้างสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินข้ามไปสู่ฝั่งธนในช่วงปี 2525 ทำให้ย่านสาทรไม่ได้เป็นแค่ย่านในกลางเมืองอย่างเดียว แต่เป็นประตูบานใหม่ที่เชื่อมต่อฝั่งธนเข้าสู่ฝั่งพระนครด้วย เราเลยจะเห็นการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงาน ตึกต่างๆ เกิดขึ้นในยุคนี้ค่อนข้างเยอะ
จนกระทั่งในช่วงปี 2542 เราก็ได้มีรถไฟฟ้าสายแรกของประเทศไทย ที่มีส่วนหนึ่งมาวิ่งบนถนนสาทรเช่นเดียวกันในช่วงสะพานตากสินถึงช่องนนทรี ทำให้ปัจจุบัน เราจะเห็นภาพสาทรเป็นย่านที่มีทั้งตึกสำนักงานต่างๆ ขึ้นกันค่อนข้างเยอะ บางคนก็บอกว่าย่านนี้เป็นย่าน Financial District ด้วยเช่นกัน หรือถ้าเป็นกลุ่มคอนโดมิเนียมเองด้วยความเป็นพื้นที่ใจกลางเมืองก็จะเป็นระดับบนกันหมด หรือไม่ก็จะต้องข้ามสะพานไปฝั่งธน เราถึงจะเริ่มเห็นโครงการที่ราคาหยิบจับได้แล้วพ่วงชื่อสาทรต่อท้ายอยู่ ส่วนสาทรจริงๆ ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกทำเลนึงที่ราคาที่ดินถือว่าไปไกลมากๆ แล้วครับ
และไม่ใช่แค่ตึกออฟฟิศ ย่านนี้เองก็ยังมีความหลากหลาย อย่างหัวถนนที่แยกวิทยุก็จะเป็นสวนลุมพินีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ทะลุไปสีลมก็เป็นย่านกินดื่ม หรืออย่างช่องนนทรีเอง ตรงนี้ก็เป็นแลนด์มาร์คอีกที่นึงของย่านนี้ครับ
สถานทูตออสเตรเลีย
อดีตที่ดิน ก่อนจะกลายมาเป็น Supalai Icon Sathorn ในปัจจุบัน
อย่างที่บอกไปว่าย่านสาทรเป็นย่านเก่าแก่ ดังนั้นในโซนนี้เองก็จะมีสถานทูตเก่าแก่ต่างๆ มาตั้งอยู่กันค่อนข้างเยอะครับ ทั้งสถานทูตออสเตรเลีย, เยอรมัน, รัสเซีย (ปัจจุบันย้ายแล้ว), พม่า, สิงคโปร์, เดนมาร์ก ยังไม่รวมฝั่งถนนวิทยุที่มีทั้งสถานทูตญี่ปุ่น, สหรัฐฯ และอีกหลายๆ ประเทศอีกนะครับ
ทำให้ย่านตรงนี้เป็นย่านที่มีสถานทูตต่างๆ มาตั้งอยู่ค่อนข้างเยอะมาก เมื่อวันเวลาผ่านไป มูลค่าที่ดินสูงขึ้น บางสถานทูตก็เลือกที่จะขายที่ดินแล้วย้ายสถานที่ตั้ง อย่างที่ดินของสถานทูตอังกฤษบริเวณถนนเพลินจิตเอง ก็ได้มีการย้ายแล้วขายที่ดิน กลายมาเป็น Central Embassy ในปัจจุบัน
ส่วนที่ดินสถานทูตออสเตรเลียเอง ก็ถือว่าเป็นอีกสถานทูตนึงที่มีความโดดเด่น ทั้งในแง่ขนาดของที่ดินที่ใหญ่ ติดถนนสาทร กับการออกแบบที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ สร้างมาตั้งแต่ปี 2523 ซึ่งก็ถือว่าเป็นข่าวใหญ่ในช่วงปี 2560 เมื่อสถาทูตออสเตรเลียประกาศขายที่ดินขนาดเกือบ 8 ไร่ตรงนี้ ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่กลางทำเลที่หาที่ดินไซส์แบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ แล้วครับ
โดยผู้ที่ชนะการประมูลก็ได้แก่ศุภาลัย โดยซื้อไปที่ราคาตร.ว.ละ 1.45 ล้านบาท หรือราคารวมกว่า 4,600 ล้านบาท ถือว่าไม่น้อยเลยสำหรับตอนนั้น โดยศุภาลัยตั้งใจจะพัฒนาที่ดินตรงนี้เป็นอาคาร Mixed Use มีทั้งที่พักอาศัยและออฟฟิศ จนออกมาเป็น “SUPALAI ICON SATHORN” มูลค่าโครงการกว่า 20,000 ล้านบาทแบบที่เราเห็นในปัจจุบันนั่นเอง
ที่ตั้งโครงการ
ติดถนนสาทร ไม่ไกลจากแยกวิทยุ ใกล้สองจุดกลับรถ
สำหรับที่ตั้งของโครงการ “SUPALAI ICON SATHORN” จะอยู่บนถนนสาทรฝั่งที่มุ่งหน้าไปทางสะพานตากสินครับ (ถนนสาทรใต้) โดยจะอยู่ช่วงระหว่างแยกลุมพินีกับแยกช่องนนทรี ใกล้ๆ กับโรงแรมบันยันทรีและโรงแรมสุโขทัย
ซึ่งในความเป็นถนนสาทร เราจะเห็นเป็นสองช่วงหลักๆ คือช่วงตั้งแต่สะพานตากสินถึงช่องนนทรี ตรงนี้ก็จะเป็นช่วงที่มีสถานีรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว (สายสีลม) วิ่งผ่านอยู่บนถนนสาทร ในส่วนนี้ก็จะได้ความสะดวกในเรื่องของการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าครับ
ส่วนช่วงที่โครงการอยู่ จะเป็นถนนสาทรในช่วงที่รถไฟฟ้าเปลี่ยนไปวิ่งตามถนนสีลมแทน ความสะดวกอาจจะไม่เท่าสาทรฝั่งที่ติดรถไฟฟ้า แต่ก็จะเป็นถนนสาทรในช่วงที่ใกล้จุดสำคัญๆ ในโซนพระราม 4-วิทยุมากกว่าครับ ทั้งสวนลุมพินี-สามย่าน, ย่านหลังสวน-วิทยุ, โปรเจคต่างๆ ในย่านพระราม 4, หรืออย่างแยกศาลาแดง รวมไปถึงถนนสาทรช่วงนี้จะไม่มีเสารถไฟฟ้าปักกลางถนน ก็จะได้ Vibe ความเป็นสาทรแบบดั้งเดิมอยู่
ตรงนี้ก็จะเป็นอะไรที่ Trade off กันระหว่างถนนสาทรทั้ง 2 ช่วงครับ ซึ่งช่วงที่โครงการตั้งอยู่จะตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างจุดกลับรถ 2 จุดครับ ก็จะค่อนข้างสะดวกสำหรับใครที่ใช้รถเดินทาง สามารถกลับด้านไปมาได้ง่ายครับ
ใจกลางเมือง เชื่อมต่อสีลม-พระราม 4-วิทยุ-นราธิวาส
ด้วยความที่สาทรเป็น CBD ที่เก่าแก่อยู่แล้ว ดังนั้นพื้นที่สาทรก็จะเชื่อมต่อกับย่านสำคัญค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว โดยจากโครงการไปมีระยะแทบจะไม่หนีจาก 1 กิโลเมตรเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นย่านสีลม-ศาลาแดง ที่เป็นถนนเส้นที่ขนานกันกับถนนสาทร ตรงนี้ก็จะเป็นทั้งย่านออฟฟิศในตอนกลางวัน รวมถึงเป็นย่านกินดื่มในเวลากลางคืน เป็นถนนอีกเส้นนึงของกรุงเทพฯ ที่มีความคึกคักและไม่เคยหลับไหล โดยจะมีซอยที่เชื่อมต่อกันระหว่างสีลม-สาทรหลายเส้นครับ
อีกด้านก็จะเป็นถนนพระราม 4 เป็นถนนเส้นสำคัญเก่าแก่อีกเส้นที่เชื่อมต่อทั้งย่านเมืองเก่า-เยาวราช แหล่งงานต่างๆ รวมไปถึงช่วงที่ผ่านมา มีโปรเจคขนาดใหญ่มาลงหลายแห่ง ทำให้เป็นย่านกลางเมืองที่ค่อนข้างมีความเจริญเติบโตมากเป็นพิเศษในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาครับ นอกจากนี้ก็ยังจะใกล้กับโรงพยาบาลจุฬาฯ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ย่านวิทยุ-สวนลุม-หลังสวน ย่านตรงนี้ก็จะเป็นโซนที่อยู่ไม่ไกลจากที่ตั้งโครงการเช่นกันครับ จริงๆ จากโครงการเดินไปไม่ถึงกิโลก็สามารถไปออกกำลังกายที่สวนลุมได้ครับ เป็นพื้นที่สวนขนาดใหญ่ของย่านนี้ นอกจากนี้ถนนวิทยุก็จะมีทั้งออฟฟิศต่างๆ รวมถึงใกล้ย่านหลังสวนที่เป็นย่านที่มีร้านกินดื่มชื่อดังหลายร้านด้วยครับ บรรยากาศย่านนี้ก็ค่อนข้างดีเลย
อีกด้านใกล้ๆ กันก็จะเป็นแยกสาทร-นราธิวาสครับ ตรงนี้จะเป็นโซนที่มีตึกออฟฟิศขนาดใหญ่มาตั้งเยอะ รวมถึงตึกมหานคร เส้นนี้ก็จะสามารถเชื่อมต่อไปย่านพระราม 3 รวมถึงสุรวงศ์ครับ
การเดินทางด้วยทางด่วน
ในส่วนของทางด่วน จุดขึ้นลงที่ใกล้กับโครงการมากที่สุดก็จะเป็นด่านพระราม 4 ที่อยู่ใกล้กับคลองเตยครับ ตรงนี้สามารถเชื่อมต่อไปได้หลายย่านอย่างสุขุมวิท-พระราม 9-เพชรบุรี นอกจากนี้บริเวณถนนสาทรใกล้กับจุดขึ้นลงทางด่วนอีกจุดบนถนนเจริญราษฎร์และสีลมด้วยครับ
การเดินทางด้วยรถไฟฟ้า
สำหรับรถไฟฟ้า อาจจะไม่ถึงกับติดสถานีมาก แต่ก็จะอยู่ในระยะใกล้ๆ ไม่ไกลมากครับ อย่างจากที่ตั้งโครงการก็จะมี 3 สถานีเลย อย่างรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินที่เป็นใต้ดิน ก็จะมีสถานีลุมพินี ที่อยู่ห่างจากโครงการประมาณ 800 เมตรครับ ส่วนรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว (สายสีลม) จะมีทางเลือกให้ขึ้นสองสถานี ได้แก่สถานีศาลาแดงกับสถานีช่องนนทรีครับ ตรงนี้ก็จะห่างจากโครงการ 850 เมตร และ 970 เมตรครับ
ใกล้ 2 Mega Project ใหม่
พระราม 4 ย่านที่กำลังเติบโตจากหลายโปรเจคการลงทุน
สำหรับตัวโครงการ SUPALAI ICON ก็จะค่อนข้างใกล้มากกับ 2 Mega Project ใหญ่บริเวณถนนพระราม 4 ด้วยครับ โครงการแรกเป็น One Bangkok ที่ตั้งอยู่หัวมุมแยกลุมพินี เป็นโครงการระดับ 120,000 ล้านบาท บนพื้นที่สวนลุมไนท์บาซาร์เก่า กว่า 108 ไร่ ปั้นเป็นโปรเจค Mixed-Use ที่รวมทั้งห้าง, ออฟฟิศ, โรงแรม และโซน Residential เข้าไว้ด้วยกัน และมีแพลนที่จะสร้างตึกที่สูงที่สุดในไทยตึกใหม่อยู่ที่โครงการนี้ด้วยครับ โดยในช่วงต้นปีนี้เริ่มทะยอยเปิดบางส่วนก่อนแล้ว และจะมีการเปิดโซน Retail ตามมา เราน่าจะได้เห็นการเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ครับ
อีกโครงการก็จะเป็น Dusit Central Park มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท ที่ตั้งอยู่บนที่ดินของโรงแรมดุสิตเดิมบริเวณหัวมุมแยกศาลาแดงครับ ตรงนี้ก็จะเป็นโปรเจคใหญ่ที่เป็นการร่วมทุนของกลุ่ม Central และโรมแรมดุสิต ทำเป็น Mixed-use ที่มีทั้งพื้นที่ห้าง Central สาขาใหม่, โรงแรมดุสิต, Residence และพื้นที่ออฟฟิศครับ
ซึ่งทั้ง 2 จะอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 900 เมตรครับ
แต่ไม่ใช่เพียงแค่ 2 โครงการนี้เท่านั้นครับ ถ้าย้อนไปในช่วงไม่ถึง 10 ปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่าถนนพระราม 4 เป็นถนนเส้นที่มีโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ เกิดขึ้นมาใหม่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียวครับ ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ฝั่งสีลมและสาทร ที่ดินขนาดใหญ่ที่จะสร้างโครงการต่างๆ หาได้ยากแล้ว (ตอนศุภาลัยได้ที่ดินแปลงนี้มาถึงค่อนข้างฮือฮาพอสมควร) ดังนั้นเราเลยจะเห็นโครงการใหญ่ต่างๆ เริ่มมาพัฒนาตามแนวถนนพระราม 4 ด้วยเช่นกันครับ
ไม่ว่าจะเป็นบริเวณแยกคลองเตย ที่จะมีตึก FYI, ตึก The Parq, ตึก Punn, ตึกสำนักงานใหญ่การไฟฟ้านครหลวง โรงพยาบาล Med Park และโปรเจคที่ใหญ่ที่สุดในโซนนี้อย่างศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่เพิ่งทำใหม่ ทั้งหมดที่ว่ามาเกิดขึ้นภายในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี่เองครับ นอกจากนี้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ก็เพิ่งจะมีการเคลียร์ที่ดินแปลงใหญ่ ติดกับ MRT คลองเตย เราก็น่าจะได้เห็นโปรเจคใหม่ๆ ตามมาอีกเร็วๆ นี้ครับ
ส่วนในโซนลุมพินี-ศาลาแดง ก็จะมี 2 โปรเจคยักษ์อย่างที่เราได้บอกไปอย่าง One Bangkok และ Dusit Central Park ซึ่งเป็นโครงการมูลค่าสูงติดอันดับท๊อปๆ ของตอนนี้อยู่แล้วทั้งคู่ นอกจากนี้สีลมเองก็มีตึกที่เพิ่งเปิดใหม่และกำลังสร้างเช่นกัน อย่าง Silom Edge, Park Silom และอาคารบุญมิตรใหม่
ส่วนด้านสามย่าน-จุฬาเองที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ โปรเจคที่เพิ่งเปิดไปได้ซักพักก็จะมีสามย่านมิตรทาวน์ที่บริเวณหัวมุมแยกสามย่าน นอกจากนี้ในส่วนพื้นที่ภายในของจุฬาเองก็จะมีการทำเป็น Chula Smart City ที่ตั้งใจจะพัฒนาที่ดินออกมาเป็นเมืองที่มีการใช้งานแบบ Mixed-Use มีพื้นที่สวนครับ
ซึ่งก็ต้องบอกว่าที่ดินบนถนนพระราม 4 ฝั่งนึงเลยจะเป็นที่ดินที่เป็นพื้นที่ของรัฐ เลยจะเป็นโซนที่หาคอนโดหรือที่พักอาศัยที่เป็น Freehold ได้ค่อนข้างยากกว่าครับ ดังนั้นถนนสาทรก็จะเป็นพื้นที่อีกจุดสำหรับใครที่มองหาที่อยู่อาศัยในย่านนี้ แต่อยากได้ในรูปแบบของการซื้อขาด ซึ่งถนนสาทรเค้าก็จะเชื่อมต่อกับพระราม 4 โดยตรงเลยครับ
รูปแบบโครงการ
โปรเจค Mixed-use มีทั้งออฟฟิศ, Retail และ Residential สูง 56 ชั้นริมถนนสาทร
มาดูตัวโครงการกันบ้างครับ สำหรับโครงการ SUPALAI ICON จะเป็นโครงการระดับบนที่สุด High-end ที่สุดตั้งแต่ศุภาลัยเคยทำคอนโดในประเทศไทยมาเลยครับ มาพร้อมกับพื้นที่ดินขนาดเกือบ 8 ไร่ โดยทำออกมาเป็นโปรเจค Luxury Mixed-use ที่ผสมทั้งพื้นที่ Retail, ออฟฟิศ และพื้นที่คอนโดอยู่ในโครงการเดียวกัน แต่จะมีการแยกโซนแต่ละพื้นที่ออกจากกันชัดเจนครับ
โดยด้านหน้าจะเป็นพื้นที่ออฟฟิศทั้งหมด 14 ชั้นด้วยกันครับ ส่วนที่ชั้นล่างและชั้นใต้ดินจะเป็นพื้นที่ Retail สำหรับร้านค้าต่างๆ และในส่วนด้านหลังจะเป็นพื้นที่ของ Residential ครับ โดยที่นี่จะทำออกมาเป็นคอนโดมิเนียมแบบ Freehold ความสูง 56 ชั้นด้วยกัน มีจำนวนห้องรวม 720 ยูนิต เริ่มต้นที่ชั้นที่ 12 โดยที่บางชั้นของส่วนที่พักอาศัยจะมีการแบ่งออกไปทำเป็น Service Residence ด้วยเช่นกันประมาณ 6 ชั้นครับ ซึ่งห้องที่เป็น Service Residence ตรงนี้ก็จะเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของคอนโดครับ ใช้ส่วนกลางร่วมกัน เพียงแค่ว่าจะเป็นชั้นที่ทางศุภาลัยนำไปดูแลหาผู้เช่าต่างๆ เอง (เป็นเช่าระยะยาว 6 เดือน – 1 ปีครับ)
โดยวันนี้เราขอพาไปดูในส่วนของตัว Residential เป็นหลักครับ รูปแบบห้องของที่นี่ก็จะค่อนข้างมีให้เลือกเยอะมาก และ Range ขนาดห้องค่อนข้างกว้าง มีตั้งแต่เริ่มต้น 42 ตารางเมตร ไปจนถึงห้อง Penthouse ขนาด 400 กว่าตารางเมตรกันเลยทีเดียว ซึ่งห้อง Penthouse ใหญ่ที่สุด 2 ห้องของโครงการก็ได้ขายออกไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย จุดเด่นของที่นี่ก็จะอยู่ที่มีห้องใหญ่ให้เลือกเยอะ ทั้ง 2 นอน, 3 นอน, 4 นอน รวมไปถึงห้อง Duplex ของที่นี่ก็มีให้เลือกเช่นกัน และเป็น Duplex แบบจริงๆ ที่ไม่ใช่ห้อง Loft ครับ
ราคาปัจจุบันของโครงการจะอยู่ในช่วงเริ่มต้น 8.9 ล้าน ไปจนถึงประมาณ 100 ล้านบาทครับ
ข้อมูลโครงการ
ชื่อโครงการ : | Supalai Icon Sathorn (ศุภาลัย ไอคอน สาทร) |
developer : | บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) |
เนื้อที่โครงการ : | 7-3-82 ไร่ |
รูปแบบโครงการ : | High Rise 1 อาคาร สูง 56 ชั้น |
จำนวนห้องพักอาศัย : | 720 ยูนิต |
ลิฟต์ : | ลิฟต์โดยสาร 8 ตัว เซอร์วิสลิฟต์ 2 ตัว |
ที่จอดรถ : | 100% |
ค่าส่วนกลาง : | 60 บาท/ตารางเมตร/เดือน |
Facility : | 1st Floor Icon Hall, Mail Room, Meeting Room และ Garden 11th Floor Maldives Swimming Pool, Jacuzzi, Pool Deck Garden, Playground, Double Space Fine Fitness, Table Tennis Space&Boxing, Flying Yoga&Group Cycling, Yoga&Pilates, Aqua Hydrotherapy, Sauna&Steam, Personal Room, Milky Way Theatre&Karaoke, Kid’s Club, Wisdom Library&Co-living Space 53th – 54th Floor Exclusive Opal Sky Lounge และ Heaven Garden |
แบบห้อง : | – 1 Bedroom ขนาด 42 – 45 ตารางเมตร – 1 Bedroom Plus ขนาด 57.5 – 61 ตารางเมตร – 2 Bedroom ขนาด 60 – 98 ตารางเมตร – 3 Bedroom ขนาด 100.5 – 189 ตารางเมตร – 3 Bedroom Duplex ขนาด 124.5 – 343 ตารางเมตร – 4 Bedroom Duplex ขนาด 206.5 – 350 ตารางเมตร |
ราคา : | เริ่มต้น 8.9 ล้านบาท |
ราคาเฉลี่ย : | ประมาณ 220,000 บาท/ตารางเมตร |
สถานะโครงการ : | สร้างเสร็จแล้วพร้อมเข้าอยู่ |
คอนเซปต์การออกแบบ
มาในสไตล์ Modern Contemporary ร่วมสมัย มีกิมมิคที่ให้นึกถึงความเป็นสถานทูตออสเตรเลีย
ด้วยมูลค่าของโครงการกว่า 20,000 ล้าน ในเรื่องการออกแบบศุภาลัยเลยค่อนข้างที่จะตั้งใจให้ที่นี่เป็นแลนด์มาร์ค เป็นไอค่อนของสาทร อย่างบนยอดอาคารที่เป็นยอดโค้งครึ่งวงกลม ตรงนี้ทางโครงการก็ตั้งใจใส่เข้ามาให้ดูโดดเด่น เป็นที่จดจำ โดยผู้ที่เข้ามาดูเรื่องงานออกแบบจะเป็นดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ผู้ก่อตั้งบ.ศุภาลัยมาดูแลโครงการนี้ด้วยตัวเองร่วมกับบริษัท Designer และ Landscape ชั้นนำครับ
จากสถานทูตออสเตรเลีย สู่ศุภาลัย ไอคอน สาทร
โดยที่ตัวโครงการจะออกแบบมาในแนว Modern Contemporary Design ที่จะมีความร่วมสมัย โดยที่มีการดึงเอา Element ต่างๆ ของความเป็นออสเตรเลีย เข้ามาสอดแทรกอยู่ในงานออกแบบของโครงการ จากที่มาของที่ดินที่เป็นสถานทูตออสเตรเลียเดิมครับ
อย่างเช่นในส่วนของด้านหน้าโครงการ จะมีประติมากรรมจิงโจ้ตั้งอยู่ ติดกับบริเวณริมถนนสาทรเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของโครงการ สื่อถึงความก้าวหน้าและความสำเร็จครับ ในการสั่งทำตรงนี้ ใช้งบไปกว่า 4 ล้านบาทเลยครับ
ส่วนถัดเข้าในบริเวณ Drop off ของโครงการ ตรงนี้ก็จะเป็นอีกจุดที่มีครอบครัวโคอาล่า อยู่ท่ามกลางต้นไม้ในโครงการครับ ยังไม่หมดแค่นั้นในสวนด้านหลังของโครงการก็จะมีมุมพักผ่อนที่ Inspire มาจากกรงนก และมีนกอีมูอยู่ ไปจนถึงชั้นสระว่ายน้ำก็จะมีน้องๆ ตุ่นปากเป็ดอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน โดยนอกจากโครงการจะตั้งใจจะเอาประติมากรรมสัตว์ประจำถิ่นของออสเตรเลียเหล่านี้ แทรกไว้ในจุดต่างๆ ของส่วนกลางแล้ว ในงานออกแบบอย่างลวดลายพื้นทางเข้าโครงการ ก็จะเป็นลายคลื่นที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชนเผ่าอะบอริจิ้นที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองของทางออสเตรเลียด้วยเช่นกันครับ
ก็เป็นการตีความการออกแบบที่เชื่อมกับความเป็นสถานทูตออสเตรเลียเดิมที่ค่อนข้างจะตรงไปตรงมาทีเดียว แต่ก็เป็นกิมมิกของโครงการนี้ที่แตกต่างจากทั่วไปดีครับ
โดยที่ตัวโครงการนี้จะได้บริษัทที่มาดูงาน Landscape เป็น The Beaumont Partnership ส่วนบริษัทที่มาดูแลงาน Interior ต่างๆ เป็น DWP และงาน Lighting ของโครงการดูแลโดย Lightbox ครับ
โดยที่งาน Interior และสีตีมของโครงการนี้ จะออกมาในโทนของสี Copper และมีลูกเล่น Copper Plate ฉลุลาย แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากธรรมชาติ ทั้งสายน้ำ โขดหิน รูปทรงของพันธุ์ไม้ โดยเอาลวดลายออกมาปรับใช้เป็นงานดีไซน์ในส่วนต่างๆ ของโครงการครับ
เดี๋ยวเราลองมาดูพื้นที่ส่วนกลางแต่ละจุดกันครับ ว่าในความเป็นโครงการระดับท็อปสุดของศุภาลัย ที่นี่จะให้อะไรมาบ้าง
ส่วนกลาง Oversize
ให้มาค่อนข้างหลากหลาย และจัดเต็มมากๆ ตั้งแต่ชั้นล่างยันชั้นบน
ที่นี่ด้วยขนาดของโครงการที่ค่อนข้างใหญ่ ดังนั้นถ้าจะบอกว่าเป็นคอนโดที่ส่วนกลางแทบจะเยอะที่สุดในย่านสาทรเลยก็ว่าได้ครับ คือความรู้สึกแรกตอนที่ไปเดินดูส่วนกลางแต่ละจุดก็จะรู้สึกว่าให้มาใหญ่ไปหมดเลยทุกจุด ไม่ว่าจะเป็น Lobby, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส หรือห้อง Facility ต่างๆ เดี๋ยวเราจะพาไปดูแต่ละจุดกันครับว่าในความเป็นพื้นที่โครงการขนาดเกือบ 8 ไร่ ที่นี่เค้าจะจัดพื้นที่ส่วนกลางต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง
Entry Plaza Dropoff
จุดแรกที่เราจะพาไปดู ขอเริ่มตั้งแต่ทางเข้าของโครงการครับ จุด Drop-off ของที่นี่จะมี 2 จุดแยกกันต่างหาก ด้านหน้าจะเป็นจุด Drop-off สำหรับโซนตึกออฟฟิศ ส่วนถัดเข้ามาก็จะเป็น Drop-off สำหรับลูกบ้านที่พักอาศัยในคอนโดครับ มีขนาดใหญ่ทั้งคู่
ตรงนี้ก็จะเชื่อมกับ Lobby ที่อยู่ชั้น 1 ส่วนถัดจาก Drop-off ก็จะเป็นพื้นที่จอดรถที่ใช้รวมกันระหว่างโซนออฟฟิศและโซนสำหรับลูกบ้านครับ
ในส่วนของที่จอดรถ ตรงนี้ก็เป็นจุดเด่นของโครงการนี้เช่นกัน ด้วยจำนวนที่จอดรถ 100% แบบเวียนจอด (ยังไม่นับที่จอดรถของฝั่งออฟฟิศและไม่ได้เป็น Auto Parking ครับ) โดยชั้นสำหรับลูกบ้านและชั้นสำหรับออฟฟิศจะแยกโซนกันชัดเจน
และห้องขนาดตั้งแต่ 3 ห้องนอนขึ้นไป จะได้ที่จอดประจำแบบ Fixed เพิ่มขึ้นมาให้อีก 1 ช่องจอดด้วยครับ แบ่งที่จอดออกเป็นชั้น L ที่เป็นชั้นใต้ดินล่างสุดมีจุดชาร์จรถ EV มาให้ 12 จุด, ชั้น M ที่เป็นชั้นระดับทางเข้าสำหรับ Visitor, ชั้น P1 – P2 เป็นที่จอด Fixed ของห้อง 3 ห้องนอนขึ้นไป มีบางจุดที่จะสามารถเดินสายไฟสำหรับติดตั้งหัวชาร์จรถได้ด้วยครับ P3 – P4 เป็นที่จอดสำหรับโซนออฟฟิศ ส่วน P5 – P7 เป็นที่จอดสำหรับผู้พักอาศัยครับ
Icon Hall
เข้ามาในอาคารจะเป็นพื้นที่ Lobby ขนาดใหญ่ที่เป็น Main Welcome ของทางโครงการครับ บรรยากาศในนี้ก็จะมาตามในตีมหลักของโครงการเลย ที่จะมาในโทนสี Copper มีแผ่น Copper Plate ฉลุลาย ตัดด้วยการตกแต่งของหินอ่อน Bookmatch ต่อลาย ที่ให้ความอิงเส้นสายจากธรรมชาติ ชุดเฟอร์รวมถึงแชนเดอเลียต่างๆ ก็จะล้อไปในทิศทางเดียวกันครับ บรรยากาศจะมีความเป็นเหมือน Lobby โรงแรม
ซึ่งที่บอกว่าขนาดใหญ่ ห้องนี้คือใหญ่จริงๆ ครับ มีชุดโซฟาสำหรับใช้นั่งพักผ่อน หรือใช้นัดมาพูดคุยงานได้หลายจุด โดยที่ในชั้นนี้จะมีในส่วนของ Meeting Room ให้ลูกบ้านสามารถมาใช้งานต่างๆ และมี Mailroom เชื่อมต่ออยู่อีกฝั่งหนึ่งของ Lobby ครับ
Mailroom
Meeting Room
โซน Plaza ชั้นล่าง
อยากจะขอพาแวะมาดูด้านนอกของโซนคอนโดนิดนึงครับ ที่ชั้นล่างของอาคารทางด้านหน้า จะเป็นโซน Plaza ของอาคารออฟฟิศ จะมีพื้นที่สำหรับร้านค้าที่ชั้น 1 และชั้นใต้ดิน พื้นที่ค่อนข้างใหญ่เลยครับ มุมนี้ก็เป็นอีกมุมของโครงการที่บรรยากาศสวยดีครับ ปัจจุบันจะมีเป็นร้าน Koala Cafe ของทางศุภาลัยเปิดให้บริการกับมีพื้นที่ Sales Gallery ของทางโครงการ อนาคตถ้าทางออฟฟิศมีคนเข้ามาแล้ว และลูกบ้านเข้ามาอยู่ เราก็น่าจะได้เห็นร้านต่างๆ เริ่มมาเปิดให้บริการครับ
Forest Garden
ถัดไปที่ด้านหลังของโครงการ จะเป็นพื้นที่สวนครับ เป็นอีกจุดหนึ่งของโครงการที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นกันกว่า 1,000 ตร.ม. ทางโครงการได้มีการเก็บต้นไม้ใหญ่ ที่อยู่มาตั้งแต่สมัยเป็นสถานทูตออสเตรเลียเอาไว้ด้วย ทำให้บรรยากาศในสวนนี้ค่อนข้างร่มรื่นทีเดียวครับ
ตัวสวนตรงนี้ศุภาลัยก็ตั้งใจให้บรรยากาศออกมาเป็นเหมือนกับป่าครับ มีการจำลองศาลาที่เป็นรูปแบบกรงนก มีลำธารและน้ำพุเพิ่มบรรยากาศ แต่ตอนที่เราไปในสวนนี้ยังมีเก็บงานนิดหน่อย ขอใช้ภาพจากทางโครงการประกอบนะครับ
พื้นที่ Facility ชั้น 11 โซนสระว่ายน้ำ
พื้นที่ส่วนกลางแบบ Outdoor ขนาดใหญ่ของโครงการ มาพร้อมสระว่ายน้ำ 2 สระ สไตล์รีสอร์ท
Maldives Swimming Pool
ขึ้นมาที่ชั้น 11 ก็จะพบกับไฮไลท์ของทางโครงการอีกหนึ่งจุดคือพื้นที่สระว่ายน้ำ ที่อยู่บนชั้นเหนือลานจอดรถ ซึ่งเป็นชั้นที่สูงขึ้นมาจากตึกรอบข้างที่เป็นอาคาร Low Rise หมดแล้วครับ ชั้นนี้มีพื้นที่ขนาดค่อนข้างใหญ่ จัดออกมาได้เป็นสระว่ายน้ำ 2 สระพร้อมโซน Jacuzzi อีก 2 บ่อครับ งานดีไซน์ของสระที่นี่ จะให้บรรยากาศคล้ายกับรีสอร์ทริมทะเลครับ
Lap Pool
เริ่มจากสระแรกที่อยู่ใกล้กับอาคาร สระนี้จะเป็นสระที่รูปทรงออกแนวสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว่า การใช้งานของสระนี้ก็จะเหมาะกับการว่ายออกกำลังกายแบบจริงจังได้ครับ
Jacuzzi
นอกจากนี้ที่อยู่ติดกัน ก็จะมีบ่อ Jacuzzi ที่ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ด้วยครับ ซึ่งตัวบ่อนี้จะแยกออกเป็นบ่อน้ำอุ่นกับบ่อน้ำเย็น 2 ฝั่ง สามารถมาใช้งานเพื่อผ่อนคลาย หรือยืดเส้นสายหลังออกกำลังกายเสร็จได้ครับ
Infinity Edge Pool
อีกสระที่อยู่ด้านหลังของโครงการ ตัวสระนี้จะมีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า และได้วิวที่เปิดโล่งกว่า ไม่มีตึกข้างๆ มาบังแล้วครับ ตัวสระนี้จะมีความจำลองเป็นเหมือนทะเลที่พื้นสระจะค่อนๆ slope ลงไปจากระดับริมสระ มีมุมหลบให้นั่งชมวิว มีพื้นที่เกาะต้นไม้กลางน้ำ
และที่อยู่ติดกันก็จะเป็นพื้นที่สระเด็ก ที่ก็ให้มาขนาดไม่เล็กเลยครับ
Pool Deck Garden
บริเวณรอบๆ สระก็จะมีพื้นที่พักผ่อนกระจายกันอยู่ครับ มีทั้งโซน Daybed นั่งอาบแดด และโซนเก้าอี้ริมสระใต้เงาไม้ โดยที่รอบๆ บริเวณสระก็จะมีการปลูกต้นไม้ค่อนข้างเยอะ ในอนาคตถ้าต้นไม้โตก็น่าจะออกมาดูร่มรื่นดีทีเดียวครับ นอกจากนี้บริเวณริมสระตรงนี้ ทางโครงการก็จะมีกิมมิคเล็กๆ ที่ใส่ตัวตุ่นปากเป็ดพ่นน้ำ ให้มีความเชื่อมโยงกับความเป็นออสเตรเลียครับ
Playground
นอกจากสระเด็กแล้ว โครงการก็ยังจัดพื้นที่สำหรับเด็กขนาดใหญ่ให้อีกหนึ่งจุด เป็น Playground แบบ Outdoor ที่อยู่ใต้อาคาร ตรงนี้ก็จะมีเครื่องเล่นต่างๆ มาให้ครับ ตามสไตล์ศุภาลัยที่แทบจะทุกโครงการก็จะนึกถึงการอยู่แบบเป็นครอบครัว พยายามให้พื้นที่ส่วนกลางสำหรับเด็กๆ มาด้วยเสมอๆ
นอกจากนี้โครงการจะมีการทำ Mini Climbing Simulation เป็นหน้าผาจำลองขนาดเล็กๆ มาให้ด้วยครับ
พื้นที่ Facility ชั้น 11 ด้านในอาคาร
มีทั้ง Fitness ขนาดใหญ่ และโซนพักผ่อนในรูปแบบต่างๆ
Double Space Fine Fitness
ถัดเข้ามาด้านในกันบ้างครับ พื้นที่แรกที่จะพาไปดูจะเป็นพื้นที่ฟิตเนสของโครงการครับ ในห้องนี้จะให้มาแบบค่อนข้างจัดเต็ม พื้นที่ขนาดใหญ่ 2 ชั้นและมาพร้อมเครื่องเล่นที่ค่อนข้างจะครบมากๆ ครับ อันนี้ตั้งแต่เราเคยไปรีวิวคอนโดมา ที่นี่น่าจะใหญ่และหลากหลายที่สุดเท่าที่เราเคยไปดูมาแล้วครับ เหมือนเป็นยิมจริงจังขนาดใหญ่ที่นึงเลย ไม่ใช่แค่พอมี
เครื่องเล่นมีตั้งแต่โซนคาดิโอรับวิวสวนและสระว่ายน้ำด้านนอก มีโซนเวทเทรนนิ่งที่เครื่องค่อนข้างจะหลากหลาย และที่ว่ามาอันนี้แค่ห้องแรกของฟิตเนสนะครับ
Table Tennis Space & Boxing
ห้องถัดมาจะเป็นห้อง Table Tennis ครับ ที่นี่น่าจะเป็นห้องโต๊ะปิงปองที่หรูที่สุดเท่าที่เราเคยเจอมาเช่นกัน (ฮ่าๆ) เป็นห้องแบบ Double Volume และมีประตูสำหรับปิดเก็บเสียงเวลาตี นอกจากนี้ก็จะมีพื้นที่เตะมวยในห้องนี้ด้วยเช่นเดียวกันครับ
Flying Yoga & Group Cycling
อีกห้องในฟิตเนสจะเป็นห้องปั่นจักรยานเป็น Group Cycling สามารถรวมกลุ่มปั่นกับเพื่อนๆ ได้ มีหน้าจอด้านหน้าเป็น Simulator ในการปั่นเหมือนเราไปปั่นอยู่ข้างนอกครับ โดยที่ฟังก์ชั่นห้องนี้สามารถใช้งานเป็นห้อง Flying Yoga ได้ด้วยครับ
Yoga & Pilates
ขึ้นบันไดวนมาที่ชั้น 2 ของฟิตเนสครับ บนชั้นนี้จะเป็นพื้นที่ห้องโยคะ ที่เป็นห้องขนาดค่อนข้างใหญ่ มีกระจกรอบด้าน ในการใช้งานห้องนี้ก็สามารถใช้เป็นสตูดิโอสำหรับซ้อมเต้นหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้ด้วยเช่นเดียวกันครับ
นอกจากนี้ถัดไปข้างๆ กันจะมีเครื่องพิลาทิสอยู่อีก 4 เครื่อง ให้ลูกบ้านสามารถมาใช้งานกันได้ ตัวนี้แว่วๆ มากับตกเครื่องละหลักแสนเช่นเดียวกันครับ
Aqua Hydrotherapy
พาไปดูโซนออกกำลัง โซนใช้ร่างกายหนักกันไปแล้ว ขอพาไปดูโซนพักผ่อน โซนผ่อนคลายของโครงการกันบ้างครับ โดยที่โครงการจะมีห้อง Aqua Hydrotherapy เป็นห้องแช่น้ำอุ่น ช่วยผ่อนคลาย โดยที่งานดีไซน์ของห้องนี้ทำออกมาลืมศุภาลัยแบบเดิมๆ ไปได้เลยครับ บรรยากาศค่อนข้างดี
ซึ่งโครงการจะวางห้องนี้อยู่ในห้องน้ำของแต่ละห้องแยกชายหญิงกันครับ
Sauna & Steam
นอกจากนี้ก็จะมีบริการห้องซาวน่าและห้องสตรีมมาให้ทั้งคู่ ทั้งในฝั่งของผู้ชายและในฝั่งของผู้หญิงเช่นเดียวกัน สามารถเลือกใช้ได้ทั้งคู่ ไม่ได้มีแค่อย่างใดอย่างหนึ่งให้เลือกครับ
จริงๆ ต้องบอกว่าห้องน้ำและห้องอาบน้ำของที่นี่ก็ทำออกมาค่อนข้างดีเลยนะครับ มีมุมแต่งตัว และล๊อกเกอร์แบบดิจิตอลให้บริการ
Personal Room
ห้องนี้จะเป็นห้องสำหรับใช้แต่งหน้าหรือทำผมครับ เป็นห้องขนาดไม่ใหญ่มากแต่ฟังก์ชั่นการใช้งานน่าสนใจ อย่างใครถ้าต้องไปงานหรือมีนัดที่ต้องจ้างช่างแต่งหน้าช่างทำผม แต่ด้วยความที่เราอยู่คอนโด บางคนก็อาจจะไม่ได้สะดวกที่จะให้ช่างเข้าไปที่ห้องของเรา ห้องนี้ก็จะถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานด้านนี้ได้ โดยที่เราจ้างช่างมา ไม่ต้องออกไปข้างนอก แต่ก็ยังได้เรื่อง Privacy ที่ไม่ต้องให้คนนอกขึ้นห้องเราได้อยู่ครับ
Milky Way Theatre & Karaoke
สำหรับห้องนี้จะเป็นห้องดูหนัง ซึ่งด้วยชั้น 11 จะเป็นชั้นที่เพดานสูงทั้งชั้น ห้องนี้เลยก็จะดูใหญ่มากครับ มีชุดโซฟาขนาดใหญ่ มองในรูปอาจจะเห็นว่าห้องไม่กว้าง แค่โซฟาชุดเดียว แต่จริงๆ แล้วทุกอย่างในห้องขนาดเป็น Oversize หมดเลยครับ
โดยในห้องนี้จะมีชุดจอโปรเจคเตอร์เป็นโรงหนังและระบบเสียงต่างๆ มาให้พร้อม สามารถใช้ได้ทั้งดูหนังและใช้เป็นห้องคาราโอเกะได้ด้วยเช่นกัน ส่วนการตกแต่งด้านบนเพดานจะเหมือนเราอยู่กลางดวงดาว เป็นไฟซ่อนแบบระยิบระยับครับ
Kid’s Club
สำหรับ Kid’s Club จะเป็นพื้นที่อีกจุดหนึ่งสำหรับเด็กๆ ครับ ห้องนี้ก็น่าจะเหมาะกับเด็กที่เล็กลงมาหน่อย สามารถมาใช้งาน มานั่งเล่นในห้องนี้ได้ ตรงกลางห้องจะทำออกมาเป็นต้นไม้ขนาดยักษ์ที่สามารถเดินขึ้นไปเล่นได้ครับ
Wisdom Library & Co-Living Space
ห้องนี้จะอยู่ด้านในสุดของชั้น 11 ครับ เป็นห้องแบบเพดานสูงเช่นกัน มีกระจกรับวิวได้ 3 ด้าน ขนาดห้องค่อนข้างใหญ่เลย ดังนั้นวิวของห้องนี้ก็จะค่อนข้างโปร่งมากๆ ครับ ได้ทั้งวิวสวนและสระว่ายน้ำที่อยู่ด้านนอก ฟังก์ชั่นของห้องนี้ก็จะเป็นทั้งพื้นที่สำหรับนั่งพักผ่อน รวมถึงมีมุมสำหรับมานั่งทำงานด้วยเช่นเดียวกัน โดยจะมีโต๊ะยาวที่สามารถมานั่งทำงานได้ และชุดโซฟากระจายอยู่ตามจุดต่างๆ
ส่วนงานดีไซน์ของห้องนี้ก็จะคล้ายกับส่วนของห้อง Lobby ที่เล่นกับ Copper Plate ฉลุและตกแต่งด้วยแชนเดอเลียขนาดใหญ่ครับ
พื้นที่ Facility ชั้น 53-54
พื้นที่ส่วนกลางที่รับวิวเมืองกรุงเทพในมุมสูงได้รอบทิศ
Exclusive Opal Sky Lounge
ส่วนกลางอีกจุดจะอยู่ที่ชั้น 53 และชั้นที่ 54 ของโครงการครับ ถือว่าค่อนข้างสูงมากเลยทีเดียว เป็นชั้นที่อยู่เกือบจะบนที่สุดของโครงการแล้ว (ชั้นที่ 55 และ 56 เป็นห้อง Penthouse ของโครงการครับ) โดยที่ห้อง Exclusive Opal Sky Lounge จะเป็นห้องที่มี 2 ชั้นครับ ชั้นล่างเป็นที่นั่งพักผ่อนรวมถึงมีบาร์พร้อมชุดครัวและตู้แช่ไวน์ สามารถใช้ห้องนี้เป็นพื้นที่สำหรับจัดแบบ Private ได้ด้วยเช่นกันครับ