ถ้าพูดถึงคอนโดทำเลย่านใกล้ “สาทร” ในแบบที่คนทำงานออฟฟิศทั่วไปแบบเราๆ สามารถจับต้องได้ แน่นอนว่าคงไม่ใช่บนฝั่งถนนสาทรที่ราคาขยับไปไกลกันมากๆ แล้ว ส่วนใหญ่เราก็จะเห็นคอนโดมาเปิดบนถนนกรุงธนบุรี-ราชพฤกษ์ ตามแนวรถไฟฟ้า BTS สายสีลมที่มีส่วนต่อขยายออกมาฝั่งธนใช่ไหมครับ
ซึ่งจุดเด่นในย่านตรงนี้คือความที่เค้าเขยิบออกมาจากย่านสาทรไม่มาก นั่งรถไฟฟ้าไม่กี่สถานี แต่ราคาค่อนข้างจับต้องได้จริง วันนี้เราเลยจะขอพาไปรู้จักกับอีกคอนโดที่ราคาน่าจะตอบโจทย์คนทำงานในเมือง ที่เริ่มมองหาคอนโดใหม่ให้เดินทางได้สะดวกขึ้น แต่อยู่ในงบที่ไม่หนักเกินไป เริ่มล้านปลายๆ ไปถึงสองสามล้านครับ กับโครงการ
“SUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์”
คอนโดใหม่จาก “ศุภาลัย” ที่ไม่ได้ไปแค่ย่าน “สาทร” สะดวก แต่อยู่ใกล้กับสถานี “Interchange บางหว้า” สามารถไปได้ทั้ง BTS สู่ย่านสาทร, สีลม, สยาม และ MRT เชื่อมต่อสามย่าน, พระราม 4, อโศกครับ ซึ่งนอกจากจุดเด่นเรื่องของทำเลที่เป็น Interchange แล้ว ตัวโครงการก็มากับคอนเซปต์ใหม่ “BLUniverse of yourself” ที่จัดส่วนกลางต่างๆ มาให้ค่อนข้างเยอะ และแปลกใหม่กว่าคอนโดศุภาลัยยุคเดิมๆ รวมไปถึง Spec ห้องก็ค่อนข้างน่าสนใจ เดี๋ยววันนี้เราพาไปรู้จักโครงการนี้กันแบบเจาะลึก ตามสไตล์ LivingPop กันครับ
จุดเด่นโครงการ
ใกล้ Interchange บางหว้า
รถไฟฟ้า 2 สาย BTS/MRT
ส่วนกลางครบ
สระว่ายน้ำยาว 50 เมตร ระดับโอลิมปิค
ราคาจับต้องได้ เริ่ม 1.89 ลบ.
ย่านราชพฤกษ์-บางหว้า
ทำเลดั้งเดิม ที่เกิดใหม่ ใกล้รถไฟฟ้าและไม่ไกลจากสาทร
พูดถึงย่านบางหว้า แต่เดิมเลยถ้าย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน จะเป็นย่านชุมชนที่อยู่บนช่วงถนนเพชรเกษมก่อนจะถึงบางแคครับ ก็จะมีความเป็นชุมชนฝั่งธนดั้งเดิมที่ขยายมาจากคนที่อยู่ในย่านวงเวียนใหญ่-ตลาดพลู-ท่าพระในยุคก่อนที่ค่อยๆ กระจายตัวออกมา ซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นเป็นย่านตึกแถว รวมถึงมีหมู่บ้านในซอยต่างๆ
ในช่วงก่อนหน้าหลายสิบปีที่แล้ว ย่านนี้อาจจะไม่ค่อยจะเป็นที่พูดถึงมากครับ ถ้าบนถนนเพชรเกษมเองคนน่าจะรู้จักกับย่านบางแคที่เป็นชุมชนดั้งเดิมขนาดใหญ่มากกว่า ที่จะมีทั้งห้าง มีตลาด ค่อนข้างคึกคัก
จนกระทั่งการมาของถนนราชพฤกษ์ที่เริ่มมาเปลี่ยนทำเลย่านนี้…
ต้องบอกว่าแต่เดิม จากบางหว้าถ้าจะเข้าเมืองชั้นใน ก็จะต้องวิ่งผ่านถนนเพชรเกษม และถ้าในยุคก่อนมีสะพานตากสินล่ะก็ อาจจะต้องใช้เส้นทางไปวนเวียนใหญ่แล้วผ่านสะพานพุทธฯ เอา แต่ในยุคหลังมีสะพานตากสินเมื่อปี 2525 ก็มีตัวเลือกในการเดินทางเข้าเมืองมากขึ้น
แต่จุดเปลี่ยนอยู่ที่การตัดถนนราชพฤกษ์ ที่ตัดผ่านถนนเพชรเกษมและเปิดทำเลใหม่ในฝั่งธน เชื่อมไปถึงถนนบรมราชชนนี-รัตนาธิเบศร์ในช่วงปี 2543 – 2549 ตรงนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ย่านบางหว้า กลายมาเป็นทำเลที่สามารถขับรถตรงเข้าสู่สาทรได้แบบโดยตรง โดยแทบจะไม่ต้องติดแยกไฟแดงเลย เป็นถนนใหญ่ขนาดหลายเลน รองรับการจราจรได้ค่อนข้างมาก ซึ่งตรงนี้ถือเป็นย่านนึงที่ใกล้ใจกลางเมืองย่านสีลม-สาทร แต่ที่ผ่านมาถูกแม่น้ำกั้นไว้ ไม่มีถนนใหญ่ตัดผ่าน ความเจริญต่างๆ ในยุคก่อนเลยกระจุกอยู่แค่อีกฝั่ง พอมีสะพานตากสินให้ข้ามได้สะดวกขึ้น มีถนนราชพฤกษ์ตัดตรงเข้าไปหา เมืองก็เริ่มขยายตามออกมาครับ
เราจะเห็นว่าในยุคนี้ ฝั่งถนนราชพฤกษ์ช่วงถัดออกไปจากบางหว้าจะเปลี่ยนจากสวนผักผลไม้ กลายมาเป็นโซนหมู่บ้านขนาดใหญ่ตั้งแต่ถนนตัดเสร็จเลย ถนนราชพฤกษ์จึงเป็นเหมือนกับจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของย่านราชพฤกษ์-บางหว้าตรงนี้ครับ
การมาของรถไฟฟ้า จนกลายมาเป็นบางหว้า Interchange
ย่าน “บางหว้า” ที่เปลี่ยนไป กลายมาเป็นอีกจุด Hub การเดินทางของชาวฝั่งธน
จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้ง คือการมาของรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายในย่านนี้ครับ เรียกได้ว่าเป็น “รถไฟฟ้าสายแรกของฝั่งธน” เลยก็ว่าได้ กับการขยายเส้นทาง BTS สายสีลม ที่แต่เดิมสุดอยู่แค่สะพานตากสิน ให้ขยายต่อมาตามแนวถนนกรุงธนบุรี-ราชพฤกษ์ มาสุดเส้นทางอยู่ที่ถนนเพชรเกษม ที่สถานี “บางหว้า” โดยที่เส้นนี้เปิดให้บริการมาถึงบางหว้าในช่วงปี 2556
หลังจากที่มีเริ่มรถไฟฟ้าเข้ามา ย่านเพชรเกษม-บางหว้าตรงนี้ก็เปลี่ยนไปครับ เริ่มมีการอยู่อาศัยในแนวสูงเข้ามา จากเดิมที่ถ้าติดถนนเพชรเกษมก็จะเป็นตึกแถว เข้าไปในซอยหน่อยก็จะเป็นบ้านเดี่ยวหรือบ้านแนวราบ พอมีรถไฟฟ้ามา ก็เริ่มเข้าสู่ยุคของคอนโด
“แต่รถไฟฟ้าไม่ได้มาแค่สายเดียว!!”
เพราะในช่วงปี 2562 รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ที่เดิมวิ่งอยู่ใต้ดินเส้นรัชดา-พระราม 4 ก็ได้มีส่วนต่อขยายจากหัวลำโพง ลอดใต้แม่น้ำ มาที่ฝั่งธนบนถนนเพชรเกษมไปถึงบริเวณหลักสองตรงเดอะมอลล์บางแค ทำให้ตรงบางหว้าตรงนี้ กลายมาเป็น “Interchange” ที่เป็นจุดตัดระหว่างรถไฟฟ้า BTS และ MRT อีกจุดนึงในกรุงเทพฯ
ก็จะเป็นข้อดีสำหรับคนที่อยู่โซนนี้ในเรื่องของการเดินทาง ที่จะมีตัวเลือกไปได้หลายสาย กลับบ้านได้หลายทาง ไม่ต้องไปต่อรถเปลี่ยนสายบ่อยๆ ครับ
แล้วรถไฟฟ้า 2 สายนี้ไปไหนได้บ้าง??
รถไฟฟ้า BTS สายสีลม
รถไฟฟ้าสายหลัก ที่เชื่อมต่อฝั่งธน ตรงเข้าสู่ย่านสาทร สีลม สยามโดยตรง
เริ่มจากสายแรก รถไฟฟ้า BTS ครับ สำหรับเส้นทางของรถไฟฟ้า BTS สายสีลมและสายสุขุมวิท จะเป็นเส้นหลักสำหรับกรุงเทพชั้นในเลย โดยเป็นรถไฟฟ้าสายแรกที่เปิดให้บริการในกรุงเทพฯ ดังนั้นเส้นทางของเค้าก็จะเน้นผ่านจุดสำคัญๆ ในเมือง โดยที่จะวิ่งจากนอกเมืองผ่าเข้าไปกลางเมืองโดยตรง ดังนั้นเราก็จะเห็นได้ว่ารถไฟฟ้าสายนี้ เป็นเส้นรถไฟฟ้าที่มีคนใช้งานต่อวันเยอะมากๆ ครับ
โดยสถานีบางหว้าจะเป็นจุดเริ่มต้นของรถไฟฟ้า BTS สายสีลม โดยจะเป็นเส้นที่วิ่งเข้าสาทรโดยตรง ผ่านตลาดพลู-วงเวียนใหญ่ นั่งแค่ 6 สถานีก็ถึงย่านสาทรแล้วครับ ตัวสายนี้จะตัดผ่ากลางย่านสาทร-ช่องนนทรี-สีลมเลย ก็จะสะดวกสำหรับใครที่ทำงานในย่านแถวนี้
นอกจากนี้รถไฟฟ้า BTS สายสีลมตรงนี้ยังสามารถนั่งต่อเดียวถึงสยามได้ด้วย หรือถ้าต้องการไปโซนอื่นๆ ในเมือง ที่สถานีสยามก็สามารถเปลี่ยนสายไปรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท เพื่อเชื่อมต่อย่านอื่นๆ อย่างเช่นโซนอนุสาวรีย์, พหลโยธิน หรือไปฝั่งเพลินจิต, พร้อมพงษ์, ทองหล่อ, เอกมัยได้
และในอนาคตทางกทม.เองก็ยังมีแผนที่จะต่อขยายรถไฟฟ้า BTS สายสีลมให้ต่อขึ้นไปตามแนวถนนราชพฤกษ์อีก เพื่อไปเชื่อมต่อกับย่านบรมและรถไฟฟ้าสายสีแดงที่ตลิ่งชันครับ โดยปัจจุบันอยู่ในช่วงกำลังศึกษา ถ้าสร้างเสร็จก็จะช่วยให้สามารถเชื่อมต่อไปย่านฝั่งธนบริเวณใกล้เคียงอย่างแถวๆ The Circle, บรมฯ ได้ง่ายขึ้นครับ
รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน
รถไฟฟ้าสายวิ่งรอบเมือง เชื่อมต่อหลายย่านสำคัญ ทั้งโซนเมืองเก่า สามย่าน พระราม 4 อโศก
สำหรับรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน เส้นทางการวิ่งของรถไฟฟ้าสายนี้จะต่างกับเส้นทางของ BTS หน่อย ตรงที่จะวิ่งเป็นวงกลมวนรอบใจกลางกรุงเทพครับ โดยมีติ่งยื่นออกมาวิ่งตามแนวถนนเพชรเกษมด้วย ข้อดีของรถไฟฟ้าสายนี้คือจะวนไปในกรุงเทพชั้นในโซนต่างๆ อาจจะไม่ได้วิ่งทะลุเข้าศูนย์กลางโดยตรง แต่ก็ผ่านหลายจุดสำคัญๆ ในเมือง รวมถึงเป็นสายที่เน้นเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายต่างๆ ครับ
โดยจุดที่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินผ่านก็อย่างเช่นโซนเมืองเก่า-เยาวราช, สามย่าน, สีลม, ลุมพินี, ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์, อโศก, เพชรบุรี, รัชดา, ลาดพร้าว, หมอชิต, บางซื่อ รวมทั้งจรัญและเพชรเกษม จะเห็นได้ว่าเป็นเส้นทางที่ผ่านหลายโซนมากๆ ครับ
ดังนั้นการใช้งานเส้นนี้นอกจากไปโซนต่างๆ ก็จะเหมาะในการใช้ไปเชื่อมต่อโซนอื่นๆ ผ่านเส้นทางรถไฟฟ้าสายอื่นด้วย
ที่ตั้งโครงการ
ติดถนนใหญ่ราชพฤกษ์ ห่างจาก Interchange บางหว้า 570 เมตร
มาพูดถึงที่ตั้งของตัวโครงการกันบ้างครับ ที่ตั้งของโครงการนี้ก็จะอิงการใช้งานกับรถไฟฟ้า BTS/MRT สถานีบางหว้าเป็นหลัก โดยที่ตั้งอาจจะไม่ถึงกับอยู่ติดสถานี มีระยะเดินออกมาหน่อยอยู่ที่ประมาณ 570 เมตร ก็ถือว่าเป็นระยะเดินที่พอตัว แต่จุดขายของที่นี่ก็จะมาพร้อมกับเรื่องของราคาที่จับต้องได้ด้วยนั่นเองครับ
ดังนั้นเรื่องระยะเดินตรงนี้ก็แลกมากับราคาที่เป็นมิตรของโครงการ ซึ่งก่อนหน้านี้ศุภาลัยเคยลองทำมาแล้วกับโครงการก่อนหน้าอย่าง “SUPALAI LOFT สาทร-ราชพฤกษ์” ที่อยู่ข้างๆ กันนี่แหละครับ ผลตอบรับตัวนั้นก็ถือว่าขายดีมากๆ แทบจะ Sold out ตั้งแต่ตอน Presales จนตึกเสร็จก็สามารถโอนไปได้อย่างรวดเร็ว
SUPALAI BLU เลยเป็นเหมือนกับโครงการที่มาต่อยอดความสำเร็จจากโครงการแรก ใช้แนวคิดที่ตั้งในแบบเดียวกันคืออาจจะไม่ได้ติดสถานีแบบจ่อหน้าโครงการ แต่ก็มาในราคาที่จับต้องได้ ซื้ออยู่ได้จริง
ซึ่งตัวโครงการจะตั้งอยู่ติดกับถนนราชพฤกษ์ฝั่งขาเข้าครับ ระยะเดินจากสถานีบางหว้าที่อยู่บนถนนเพชรเกษมมาโครงการ ครึ่งนึงจะเป็นการเดินบนสกายวอล์กข้ามคลอง ความยาวประมาณ 300 เมตร หลังจากนั้นจะเป็นฟุตบาท (ทางศุภาลัยทำหลังคาบังแดดบังฝนเอาไว้ให้ตั้งแต่ตอนสร้างโครงการ SUPALAI LOFT) บรรยากาศรอบข้างตรงนี้ปัจจุบันอาจจะไม่ค่อยคึกคักมาก จากการที่ถนนราชพฤกษ์เป็นช่วงสะพานข้ามแยกพอดี ส่วนด้านล่างจะเป็นถนนคู่ขนานที่มาจากทางกลับรถและเชื่อมต่อถนนเทอดไท เลยจะไม่ได้เป็นช่วงที่มีร้านค้า/ชุมชนอยู่เยอะ
แต่สิ่งหนึ่งที่โครงการ SUPALAI BLU อัพเกรดให้เพิ่มเติมจากโครงการก่อนหน้าก็คือสำหรับใครที่ไม่อยากเดิน ทางโครงการก็มีรถ Shuttle Service รับส่งจากโครงการให้ด้วยนะครับ โดยจะวิ่งวนจากโครงการไปสถานีวุฒากาศและสถานีบางหว้า ก็คือเลือกลงได้ 2 สถานีเลย ถ้าลงวุฒากาศก็สะดวกไม่ต้องเดินต่อ ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ได้เลย
บรรยากาศการเดินจากรถไฟฟ้ามาโครงการ
Interchange บางหว้า ย่านใกล้เมืองที่ราคายังจับต้องได้
โซนบางหว้า ย่านคอนโดที่ราคายังจับต้องได้ และมีรถไฟฟ้า 2 สายหลักผ่าน
ถ้าเราลองมาดูทำเลที่เป็น Interchange กันระหว่างรถไฟฟ้าสายหลักของกรุงเทพอย่าง BTS สายสีเขียวและ MRT สายสีน้ำเงิน ก็จะเห็นว่ามีการตัดกันอยู่ 5 จุดด้วยกันครับ ได้แก่ที่ ศาลาแดง-สีลม, อโศก-สุขุมวิท, หมอชิต-สวนจตุจักร, ห้าแยกลาดพร้าว-พหลโยธิน ซึ่งแต่ละทำเลที่ว่ามาราคาคอนโดส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในช่วงหลัก 100,000 กว่าถึง 400,000 ต่อตารางเมตรกันไปแล้ว
จุดเด่นของ “Interchange” บางหว้าอีกอย่างนอกจากเรื่องความสะดวกในเรื่องการเดินทาง เลยเป็นในเรื่องของราคาที่ยังจับต้องได้สำหรับคนทำงานครับ อย่างราคาในทำเล “บางหว้า” ตรงนี้ ก็จะอยู่ในช่วงที่ยังไม่แตะ 1 แสนบาทต่อตารางเมตรครับ
และถ้าเทียบตามแนวรถไฟฟ้า BTS สายสีลมด้วยกัน
ถ้ามาดูเฉพาะแนวรถไฟฟ้า BTS สายสีลม ย่านบางหว้าตรงนี้เองก็ยังเป็นย่านที่ราคาจับต้องได้ค่อนข้างมากเช่นเดียวกันครับ ถ้าหากเราไล่จากแนวรถไฟฟ้าใจกลางเมืองออกมา อย่างโซนสาทรแท้ๆ สาทรชั้นใน แน่นอนว่าราคาในย่านนั้น ก็จะอยู่ที่หลัก 2-3 แสนบาทต่อตารางเมตรกันอยู่แล้ว
ถ้าเราข้ามแม่น้ำออกมา คอนโดเปิดใหม่โซนนี้อาจจะยังไม่ค่อยเยอะมาก โดยที่เปิดราคาก็จะอยู่ช่วงแสนกว่าถึงแสนกลางๆ ครับ หรือถ้าหากเขยิบออกมาโซนตลาดพลู ย่านนี้ก็จะราคาถูกลงอยู่ในหลักแสนนิดๆ แสนต้นๆ ครับ
ส่วนย่านวุฒากาศ-บางหว้า ตรงนี้ปัจจุบันก็จะเป็นย่านที่ราคายังต่ำสุด ถ้าเทียบในเส้นสายสีลมด้วยกัน คอนโดตรงนี้ยังอยู่ในหลักหมื่นถึงแสนต่อตารางเมตร เลยเป็นอีกย่านที่เราจะเห็นคนทำงานในเมืองมาเลือกคอนโดย่านนี้กันเยอะครับ
อย่าง SUPALAI BLU โครงการนี้เองราคาก็อยู่ที่เฉลี่ย 7 หมื่นกลางๆ เท่านั้นเองครับ
การเดินทาง
ทำเลสะดวกทั้งสำหรับคนใช้รถไฟฟ้าและใช้รถยนต์ในการเดินทาง
การเดินทางด้วยรถไฟฟ้า
สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า แน่นอนว่าก็ค่อนข้างจะเป็นจุดเด่นสำหรับที่นี่ครับ ด้วยความใกล้ Interchange รถไฟฟ้าสายหลัก 2 สาย ทั้ง BTS สายสีลม และ MRT สายสีน้ำเงิน ดังนั้นการใช้งานรถไฟฟ้าก็จะเหมาะกับคน 2 กลุ่มด้วยกัน
1. กลุ่มทำงานย่านสาทร-สีลม-สยาม
จากที่นี่นั่ง BTS ไปแค่ 6-8 สถานีก็ถึงใจกลางย่านสาทรแล้วครับ และจะผ่านทั้งโซนช่องนนทรีและศาลาแดงอีกด้วย รวมไปถึงสามารถนั่งต่อเดียวได้ถึงสยามในระยะทางแค่ 12 สถานี ใช้เวลา 20 นาทีนิดๆ ก็ถือว่าค่อนข้างใกล้ครับ
นอกจากนี้ก็จะสามารถไปเชื่อมต่อรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท เพื่อไปย่านเพลินจิต, สุขุมวิท, พญาไท, พหลโยธินได้เช่นเดียวกัน
2. กลุ่มคนทำงานย่านสามย่าน, พระราม 4, อโศก
สำหรับคนที่ทำงานในฝั่งนี้ ใช้ MRT ก็จะค่อนข้างสะดวก 6 สถานีถึงเยาวราช 8 สถานีถึงสามย่าน 13 สถานีถึงอโศก (สุขุมวิท) ครับ ซึ่งนอกจากกลุ่มคนที่ทำงานในเมืองแล้ว ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินก็จะมีนิสิตจุฬามองหาที่อยู่ตามแนวนี้ด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากคอนโดรอบมหาลัยอยู่ค่อนข้างกลางเมือง ราคาต่างๆ ก็จะค่อนข้างสูง ก็จะมีหลายคนที่เลือกขยับออกมาเช่า-ซื้อตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินย่านฝั่งธนครับ
เดินทางด้วยรถยนต์
สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ ก็จะค่อนข้างสะดวกสำหรับใครที่ทำงานในเมืองครับ สามารถใช้ถนนราชพฤกษ์วิ่งตรงเข้าสู่ย่านสาทรได้เลยในทันที แต่ก็อย่างที่ทราบกันว่าในช่วงเช้า-เย็น ตรงนี้ก็อาจจะมีเรื่องของการจราจรหนาแน่นบ้าง ซึ่งถ้าวันที่รถไม่ติดหรือในช่วงกลางวันเราลองจับเวลาจากโครงการ ก็จะใช้เวลาแค่ 8 นาทีถึงสาทรเท่านั้นเองครับ
แต่เนื่องจากที่ตั้งของโครงการจะอยู่บริเวณแยกระหว่างถนนราชพฤกษ์และถนนกัลปพฤกษ์พอดี ดังนั้นใครที่ไม่เคยมาแถวนี้ รอบแรกถ้าขับรถมาโครงการ ก็อาจจะแอบงงๆ หน่อย ด้วยความที่ถ้ามาจากสาทร ต้องใช้สะพานด้านซ้ายที่เขียนว่าไปถนนเทอดไท แล้วกลับรถใต้สะพานอีกที เพื่อจะมาถึงโครงการ แต่ถ้าอยู่มาสักพักขับจนชินก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรครับ
โดยที่ที่ตั้งของโครงการจะอยู่ในตำแหน่งที่สามารถเลี้ยวออกไปเข้าราชพฤกษ์ทางหลักมุ่งหน้าสาทรได้ทันที ขาเข้าเมืองก็จะไม่ต้องกลับรถเพิ่มครับ ในการใช้รถเข้าออกเมือง ก็ถือว่าที่ตั้งฝั่งนี้จะสะดวกกว่าถนนในฝั่งวุฒากาศอยู่ประมาณนึง เผื่อใครนึกภาพไม่ออก เราทำภาพเส้นทางการขับรถเข้ามาโครงการให้พอเห็นภาพมากขึ้นครับ
เดินทางเข้าโครงการ
เดินทางเข้าเมือง
การเดินทางด้วยรถสาธารณะอื่นๆ
เนื่องจากถนนตรงนี้เป็นคู่ขนานบริเวณแยกราชพฤกษ์และกัลปพฤกษ์ (แยกต่างระดับสวนเลียบ) เลยอาจจะเป็นช่วงที่ไม่ได้มีรถประจำทางผ่าน ในพื้นที่ตรงนี้ก็จะเน้นเป็นวินมอเตอร์ไซถ้าหากไปใกล้ๆ แต่ถ้าหากจะใช้รถประจำทางอย่างรถเมล์ จุดที่ใกล้ที่สุดสามารถเดินไปขึ้นได้ที่ถนนเพชรเกษม บริเวณสถานีบางหว้าครับ ซึ่งตรงนี้ก็จะเป็นถนนสายหลักในย่านฝั่งธนแล้ว ดังนั้นจะมีรถเมล์ให้เลือกหลากหลายสาย ไปได้ทั่วครับ
หรือถ้าไปที่สถานีวุฒากาศ เส้นวุฒากาศเองก็จะมีรถประจำทางวิ่งอยู่ สามารถไปตลาดพลู-วงเวียนใหญ่ หรือไปในย่านจอมทองได้ ย่านตรงนี้เป็นแหล่งชุมชนดั้งเดิม ร้านอาหารในย่านจะเยอะทีเดียวครับ
ซึ่งในการไปสถานีรถไฟฟ้าทั้ง 2 ฝั่ง ทางโครงการก็จะมี Shuttle Service รับส่งบริการให้อยู่ครับ
สิ่งอำนวยความสะดวกในย่าน
รอบข้างอาจจะยังมีร้านต่างๆ ไม่เยอะมาก แต่ก็ไม่ไกลจากหลายห้างใหญ่ในย่าน
โซนใกล้รอบโครงการ
สำหรับบริเวณโดยรอบโครงการ อาจจะยังเป็นย่านที่ไม่ค่อยคึกคักครับ ยังมีร้านและชุมชนน้อย แต่ถัดออกไปไม่ไกลจากโครงการ ประมาณ 290 ม. ก็จะเป็นปั๊มปตท.ขนาดค่อนข้างใหญ่ ตรงนี้ก็จะมีทั้ง 7-Eleven, อเมซอน, ร้านอาหาร, ร้าน Subway
แต่ถ้าไปถึงสถานีรถไฟฟ้าทั้ง 2 สถานี ตรงนี้ก็จะมีของกินต่างๆ ค่อนข้างเยอะครับ อย่างสถานีวุฒากาศก็จะมีทั้งร้านอาหารแบบ Street Food มี The Quarter ที่เป็นร้านกินดื่มบรรยากาศดีขึ้นมาให้เลือก หรือถ้าฝั่งสถานีบางหว้าที่ติดถนนเพชรเกษม ก็จะมีร้านอาหารต่างๆ ที่อยู่ในตึกแถว รวมไปถึงมีคาเฟ่ต่างๆ มาเปิดใหม่เอาใจคนคอนโดแถวนี้ค่อนข้างเยอะครับ
ดังนั้นในเรื่องอาหารการกินใกล้ๆ ก็ถือว่าเยอะครับ แต่อาจจะต้องแวะซื้อก่อนกลับเข้าคอนโดนิดนึง
โซนห้างรอบข้าง
ทีนี้ถ้าขยับมาดูโซนรอบๆ ข้างกันบ้าง ก็ถือว่าย่านบางหว้าใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกหลายโซนเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น Street food ใกล้ๆ อย่างย่านตลาดพลู ที่มีของกิน Local ค่อนข้างเยอะ
หรือถ้าห้างที่อยู่ใกล้หน่อยฝั่งท่าพระก็จะมี The Mall ท่าพระ ที่เป็นเหมือนจุดศูนย์กลางของย่านนี้ นอกจากนี้ถ้าออกไปทางเพชรเกษม ห่างจากบางหว้า 2 สถานีเช่นกัน ตรงนี้ก็จะเป็นที่ตั้งของห้าง Seacon บางแคครับ เป็นห้างขนาดใหญ่ร้านของกินดังๆ มาค่อนข้างจะครบครัน
ส่วนถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ที่นี่ก็จะไม่ไกลจาก ICONSIAM เช่นกัน ก็จะเป็นห้างที่ลักชูที่สุดในย่านฝั่งธนครับ หรือถ้าจะไปสยามก็สามารถไปได้ ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีต่อเดียวถึงครับ
รูปแบบและคอนเซ็ปต์ของโครงการ
เป็นอาคาร High Rise ที่มาพร้อมกับ Theme “Stella Nova”
โครงการ Supalai BLU สาทร – ราชพฤกษ์ เป็นโครงการใหม่ล่าสุดของทางศุภาลัยครับ แต่บอกก่อนนะว่า BLU ไม่ใช่แบรนด์ใหม่แต่อย่างใดฮะ เป็นชื่อเฉพาะสำหรับโครงการนี้เฉยๆ แล้วจะบอกว่า BLU จริง เพราะโทนสีที่ใช้เป็นหลัก คือสีน้ำเงินเลย ทั้งภายนอกและภายในตัวอาคาร
Concept ของที่นี่คือ Stella Nova หรือดาวดวงใหม่ ยังไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน เหมือนกับเป็นการค้นพบใหม่ เช่นเดียวกับชื่อ BLU ที่ศุภาลัยยังไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้น Theme ในการออกแบบก็จะเป็นเรื่องของจักรวาล ดวงดาวต่างๆ นอกจากจะสวยงามแล้ว ก็ยังสงบ และอิสระด้วย ผมว่าเป็น Theme ที่แข็งแรงอยู่พอสมควร เพราะไม่ใช่แค่เอามาเป็นคอนเซปต์ออกแบบโทนสีหรือดีไซน์ตัวอาคารภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ Facilities พื้นที่ส่วนกลางต่างๆ งาน Interior รวมไปถึงชื่อห้องที่ใช้ก็ยังคุม Theme ด้วยเช่นกัน อย่างเช่น Starry Lobby, Kid’s Planet, BLU Active Gym และ Galaxy Theater เป็นต้นฮะ
รูปแบบโครงการที่นี่จะเป็นอาคาร High Rise สูง 32 ชั้น มีห้องพักอาศัย 767 ยูนิต มีร้านค้าอีก 4 ยูนิต อย่างที่เพื่อนๆ รู้ ว่าโครงการนี้อยู่ใกล้กับตัว Supalai Loft สาทร – ราชพฤกษ์เลย แต่ไม่ได้ตั้งขนานกันนะครับ ตัวโครงการมีความเยื้องกันอยู่ ห่างกันประมาณ 80 เมตร จำนวนชั้นพอๆ กัน แต่บนดาดฟ้าจุดที่สูงที่สุดของ Supalai Loft จะสูงกว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้บังวิวอะไรกันนะครับ หลบมุมกันเรียบร้อย นอกนั้นทิศอื่นรอบข้างก็เป็นบ้านหรืออาคารพาณิชย์ที่ไม่ได้สูง ยังมีพื้นที่โล่งเยอะ ทำให้วิวยังมองเห็นไปได้ไกลและกว้างอยู่
สำหรับ Facilities และพื้นที่ส่วนกลางมีหลายอย่างที่น่าสนใจเลย ตัวสระว่ายน้ำก็จะหันไปทางทิศใต้ เห็นวิวเมืองกับโค้งถนนราชพฤกษ์โล่งๆ หรือจะขึ้นไปชมวิวที่ชั้นดาดฟ้าก็ได้ครับ ห้องที่นี่จะขายแบบ Fully Fitted ให้ในส่วนของชุดครัว และห้องน้ำ แบบห้องจะมีให้เลือกตั้งแต่ 1 Bedroom – 3 Bedroom ขนาด 29 – 122.5 ตารางเมตร มียูนิตพิเศษในชั้น 32 ด้วย จะมีแค่ห้องใหญ่เพียง 7 ยูนิตเท่านั้น มีความเป็นส่วนตัว ทั้งยังได้เพดานที่สูงกว่าชั้นอื่นๆ ด้วยครับ
ข้อมูลโครงการ
ชื่อโครงการ : | Supalai BLU Sathorn – Ratchaphruek (ศุภาลัย บลู สาทร – ราชพฤกษ์) |
Developer : | ศุภาลัย |
เนื้อที่โครงการ : | 4-2-33.2 ไร่ |
จำนวนห้องพักอาศัย : | ห้องพักอาศัย 767 ยูนิต, ร้านค้า 4 ยูนิต และห้องเก็บของ 14 ยูนิต |
รูปแบบโครงการ : | High Rise 32 ชั้น 1 อาคาร |
ลิฟต์ : | ลิฟต์โดยสาร 3 ตัว และลิฟต์ดับเพลิง 1 ตัว |
ที่จอดรถ : | 56% |
ค่าส่วนกลาง : | 40 บาท/ตารางเมตร/เดือน |
ค่ากองทุน : | 400 บาท/ตารางเมตร |
Facility : | – ชั้น 1 Starry Lobby, Natural Space, Kid’s Planet, BLU Storage และ Shop – ชั้น 6 BLU Aqua Pool, BLU Active Gym, BLU Active Space, Galaxy Theater Hybrid Club, Orbit Garden และ Rock Climbing – ชั้น 32 Stella Lounge และ Sky Garden – ชั้นดาดฟ้า Sky Jogging Track และ Viewpoint |
แบบห้อง : | 1 Bedroom ขนาด 29 – 35 ตารางเมตร 1 Bedroom Plus ขนาด 44 ตารางเมตร 2 Bedroom ขนาด 50 – 75.50 ตารางเมตร 3 Bedroom ขนาด 89.50 – 122.50 ตารางเมตร |
ราคา : | เริ่มต้น 1.89 ล้านบาท |
ราคาเฉลี่ย : | ประมาณ 75,000 บาท/ตารางเมตร |
สถานะโครงการ : | อยู่ระหว่างการยื่นขอ EIA |
เริ่มจากพื้นที่ส่วนกลางชั้น 1
ส่วนกลางมาแบบไซส์ใหญ่ มีทั้ง Indoor และ Outdoor
พื้นที่ส่วนกลางของที่นี่จะมีทั้งหมด 4 ชั้นด้วยกันครับ อย่างชั้น 1 ก็จะมีทั้ง Indoor และ Outdoor เลย ฟังก์ชันส่วนกลางของที่ชั้น 1 ก็จะเน้นใช้งานต้อนรับต่างๆ จุดแรกที่เพื่อนๆ จะเห็นเวลาเข้ามาในโครงการก็คือสวนสีเขียวที่จะอยู่ทั้งสองฝั่ง ฝั่งขวาสวนจะยาวตั้งแต่หน้าทางเข้าไปจนถึงจุด Drop-off มี Courtyard อยู่ตรงกลาง ด้านข้างเป็นน้ำพุที่จะตกแต่งด้วยประติมากรรม Nova เข้ากับ Theme หลักของโครงการ เป็นมุมนึงที่ค่อนข้างร่มรื่น เวลาที่แขกหรือลูกบ้านวนมาที่จุด Drop-off ก็รู้สึกมีชีวิตชีวาด้วยต้นไม้ต่างๆ รอบข้าง
ฝั่งซ้ายจะเป็น Kid’s Planet หรือพื้นที่สนามเด็กเล่น ตามสไตล์ศุภาลัยที่ไม่ทิ้งลูกค้ากลุ่มที่มีครอบครัวหรือมีเด็กในบ้าน ก็จะเป็นสวนตั้งแต่ทางเข้าโครงการยาวไปจนถึงโซนสนามเด็กเล่นเลย ก็เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยต้นไม้และพื้นที่สีเขียว ไม่ต้องอยู่แต่ในอาคารก็สามารถออกมาเดินเล่น วิ่งเล่น หรือพักผ่อนหย่อนใจกันได้ฮะ
ด้านในอาคารจะมี Starry Lobby ขนาดใหญ่ มีห้อง Drop Delivery ที่อยู่ข้างๆ กัน สะดวกในการรับและส่งของ ทั้งลูกบ้านและเหล่าไรเดอร์ ติดกับ Drop Delivery ก็จะเป็นห้องนิติบุคคล ส่วนที่จอดรถก็จะกระจายอยู่ทั้งชั้น 1 ที่จะมีที่จอดทั้งในร่มและโซนด้านนอก มีที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ ที่จอดรถ Universal Parking ที่ช่องกว้างกว่าปกติ และมีจุดชาร์จรถ EV ให้บริการด้วยเช่นกันครับ ส่วนชั้น 2-5 ก็จะเป็นชั้นที่จอดรถแบบเต็มชั้นครับ ที่นี่ให้ที่จอดรถมา 56% เลย ให้มาเยอะแบบสบายหายห่วงครับ
ด้านหน้าทางเข้าโครงการ
ตั้งแต่ด้านหน้าโครงการ เพื่อนๆ ก็จะเห็นว่าเขาใช้โทนสีน้ำเงินสลับกับเทา มีไม้ดอกไม้ประดับเต็มสองข้างทาง และถ้ามองไปยังอาคาร จะเห็นว่าเขาใส่ลูกเล่นความระยิบระยับของดวงดาวมาตรงผนัง ตั้งแต่พื้นยาวไปถึงด้านบนเลยครับ อันนี้เราจะเห็นการใส่ลูกเล่นไฟระยิบระยับแบบนี้ที่สำนักงานขายด้วย ลองแว้บไปดูเป็นออเดิร์ฟได้
Courtyard Garden and Sculpture
จุด Drop-off ของที่นี่เขาจะมี Courtyard ตรงกลางด้วย ไม่ทำให้ภาพรวมด้านนอกอาคารดูแข็งจนเกินไปครับ และด้วยขนาดค่อนข้างใหญ่ การวนรถต่างๆ ก็จะค่อนข้างสะดวก มีพื้นที่ในร่มสำหรับรับส่ง ข้างๆ กันจะมี Sculpture เป็นประติมากรรมทรงกลม ตั้งอยู่บนบ่อน้ำพุ ทางโครงการเรียกว่า NOVA ฮะ สื่อถึงดาวดวงใหม่ตามคอนเซ็ปต์ของโครงการเลย นอกจากนี้บริเวณด้านข้างเองก็จะเป็นสวนที่เราสามารถเข้าไปเดินเล่น ชมต้นไม้ดอกไม้ได้
Starry Lobby
Lobby ที่นี่ค่อนข้างใหญ่เลย เขาจะแบ่งออกเป็น 3 โซนหลักๆ ด้วยกันครับ โซนแรกที่เพื่อนๆ เห็น ก็จะเป็นโซนโซฟา มีหลายมุมให้นั่ง เป็นที่นั่งรอ นั่งคอย หรือมานั่งทำงานก็ยังได้ โซนตรงกลางจะเป็นโถงที่ทำเป็นตันไม้ตรงกลาง แล้วรอบๆ สามารถนั่งได้ ด้านบนจะมีไฟที่เขาทำเป็นเส้นโค้งๆ เหมือนกับวงโคจรของเหล่าดวงดาวต่างๆ ครับ และโซนอีกฝั่งนึงก็จะมีมุมนั่งเล่นหลายมุมให้เลือกมาใช้สอยเหมือนกัน ข้างๆ Lobby จะเป็น Mailbox ด้านในก็จะมีโต๊ะเล็กๆ มาไว้ให้นั่งด้วย เป็นเหมือนโซนประชุมขนาดย่อมครับ
โทนสีที่ใช้ก็จะเน้นไปที่สีเทา สีขาว ทั้งเพดาน ผนัง และเฟอร์นิเจอร์ ผสมผสานเข้ากับสีน้ำเงิน ดูลงตัวดีครับ มีความคลีน สบายตา แต่ก็ไม่ลืมที่จะเพิ่มสีสันด้วยสีส้มที่เป็นสีตรงข้าม ไม่ทำให้ Lobby ดูน่าเบื่อจนเกินไป
Shop and BLU Storage
สำหรับร้านค้าจะมีทั้งหมด 4 ยูนิตด้วยกันครับ แต่ละยูนิตขนาดและราคาก็จะแตกต่างกันไป ส่วน BLU Storage หลังๆ มาในหลายๆ โครงการของศุภาลัยจะมีห้องเก็บของขายด้วย คอนเซปต์ของห้องนี้ก็คือสำหรับบางคนที่ของเยอะๆ บางทีอาจจะเป็นของชิ้นใหญ่ เก็บในห้องอาจจะไม่สะดวกหรือพื้นที่ไม่พอ โครงการก็เลยทำพื้นที่ห้องเก็บของมาให้ในโครงการ สำหรับให้ลูกบ้านใช้เก็บของโดยเฉพาะเลย
อย่างโครงการของศุภาลัยก่อนหน้า บางที่จะเอาห้องเก็บของกระจายตามชั้นห้องพักอาศัย แต่สำหรับโครงการนี้เขาเอาห้องเก็บของมาไว้ที่ชั้น 1 รวมกันแทน จะมีทั้งหมด 14 ห้อง ขนาดจะแตกต่างกันไป ราคาก็ขึ้นอยู่กับขนาดที่เลือก จะเป็นการขายขาดเลย รวมอยู่ในโฉนดห้อง ข้อดีคือถ้าเราซื้อห้องที่นี่แล้วซื้อห้องเก็บของด้วย ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีพื้นที่เก็บของฮะ ยกมาเก็บที่ชั้นล่างได้ ห้องของเราไม่รกแน่นอน แต่ข้อเสียคืออาจจะต้องแย่งกันซื้อนิดนึงครับ เพราะห้องมีจำนวนจำกัดแค่ 14 ห้องเท่านั้น
พื้นที่ส่วนกลางชั้น 6
Facilities และพื้นที่ส่วนกลางต่างๆ จะรวมตัวกันอยู่ที่ชั้นนี้
ชั้นนี้จะเป็นชั้นที่มีพื้นที่ส่วนกลางเยอะที่สุดเลยครับ แบ่งเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งขวาเป็นโซนห้องพักอาศัย จะมีประตูทางเข้าแยกนะ ไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวฮะ แต่ถ้าเพื่อนๆ ดูในแปลน จะเห็นว่ามีห้องพักฝั่งนึงที่อยู่ติดกับสวน ส่วนนี้อาจจะไม่เป็นส่วนตัวเท่าอีกฝั่ง แต่ข้อดีคือ เราจะได้วิวสวนสีเขียว ที่แค่มองออกไปหน้าต่างก็ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติแล้ว ฟีลเหมือนอยู่บ้านที่มองนอกหน้าต่างก็เจอสวนขนาดใหญ่
ด้านนอกยังมี BLU Aqua Pool หรือสระว่ายน้ำด้วย ตัวสระเองจะมีมุม Jacuzzi สระเด็ก และ Pool Bed เดินเข้ามาในตัวอาคารเล็กน้อยจะเป็นพื้นที่ Semi-outdoor หรือ BLU Terrestrial เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจฮะ ส่วนด้านในอาคารก็จะมี BLU Active Gym ห้องออกกำลังกายที่ได้วิวสระว่ายน้ำ ข้างๆ กันเป็น BLU Active Space กับ Hybrid Club ก็เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่เล่นเกม ยันทำงานเลย สุดท้ายจะเป็น Galaxy Theater หรือห้องดูหนังครับ
BLU Aqua Pool
สระว่ายน้ำหรือ BLU Aqua Pool ขนาด 50×10.5 เมตร ลึก 1.1 เมตร เป็นสระระบบเกลือทรงสี่เหลี่ยมแบบ Infinity Edge ที่มีลูกเล่นอยู่ มีส่วนที่ยื่นออกไปด้านนอก ให้เราเห็นวิวได้มากขึ้น มีมุมสำหรับนั่งแช่ Jacuzzi แล้วก็มีสระเด็กที่แยกตางหากด้วย หรือถ้าเราอยากมานอนรับลมชมวิวก็มี Pool Bed อยู่ด้านข้างฮะ วิวตรงนี้ก็จะเปิดโล่ง เห็นโค้งถนนราชพฤกษ์พอดีน่าจะสวยทีเดียว
ถ้าเรามองจากมุมสูง ก็จะเห็นว่าพื้นของตัวสระมีความใช้เส้นสาย ทำให้ดูพริ้วไหวเหมือนกับสายน้ำ ทั้งยังใช้เส้นโค้งเชื่อมต่อไปยังตัวสวน ดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันดีระหว่างผืนน้ำกับผืนหญ้า
BLU Active Gym
ห้องออกกำลังกายก็มีอุปกรณ์ให้เลือกไม่ว่าจะ Cardio, Strength หรือ Weight Training ครับ แล้วนอกจากจะได้วิวสระว่ายน้ำแล้ว ยังมองไปเห็นวิวเมืองและท้องฟ้าแบบเต็มๆ ตาเลย ห้องนี้ก็มาในโทนสีน้ำเงินครับ เพดานด้านบนจะเป็นสีดำให้ตัดกับสีน้ำเงิน ให้อารมณ์เหมือนอยู่ในอวกาศ มีการประดับไฟเป็นดาวดวงเล็กๆ ที่ส่องแสงอยู่ประปรายทั่วท้องฟ้าด้วย แต่เพื่อไม่ให้ห้องดูมืดจนเกินไป ก็จะมีสีเทาเข้ามาช่วยทำให้ดูสว่างขึ้นด้วย
BLU Active Space and Hybrid Club
ห้องนี้เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมที่หลากหลายมากครับ ถ้าเพื่อนๆ ดูรูปจะเป็นว่าห้องด้านในสุดเป็นห้องที่มาพร้อมกับเครื่องเล่นเกม มีโต๊ะพูล ส่วนด้านนอกจะเป็นพื้นที่ทำงาน คุยงาน อ่านหนังสือ ประชุม เหมือนกับ Co-working Space และทางด้านขวามือจะเป็น Streaming Studio เอาไว้ไลฟ์สด ถ่ายงาน ถ่ายสินค้าต่างๆ ได้
ห้องนี้การตกแต่งจะออกแนวคลีนๆ ครับ ใช้โทนสีเทาเป็นหลักเลย ตั้งแต่ผนัง พื้น และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ด้านบนเพดานเน้นไปที่สีน้ำเงินและสีดำ ด้านในห้อง Streaming Studio ก็จะมีไฟที่เป็นเหมือนกับดวงดาวด้วย
BLU Terrestrial
โซนนี้จะเป็น Semi-outdoor ที่เราสามารถมาทำกิจกรรมได้ มีมุมพักผ่อนหย่อนใจ มีโซนเคาน์เตอร์ มานั่งจิบกาแฟ ทำงาน รับลมได้ หรือด้านในเป็นที่นั่งแบบขั้นบันได นอกจากจะเห็นวิวสระแล้ว ยังเห็นวิวเมืองอีกฝั่งด้วย หรือถ้าไม่อยากนั่งเฉยๆ มีหน้าผาจำลองให้ปีน และชิงช้าให้ได้แกว่งไกว เรียกได้ว่าในหนึ่งชั้นมีกิจกรรมให้ได้ทำเยอะแน่นอน
พื้นที่ส่วนกลางชั้น 32 และ Rooftop
เอาไว้ชมวิว นั่งชิวได้ทั้งข้างนอกและข้างใน
ชั้น 32 กับชั้นดาดฟ้าจะเป็นชั้นที่สูงที่สุดของโครงการ มีโซนพักอาศัยอยู่ทั้งหมด 7 ยูนิตด้วยกัน จะเป็น 2 กับ 3 Bedroom จะพิเศษกว่าชั้นอื่นๆ ตรงได้ความสูงฝ้าที่ 3.2 เมตรครับ นอกจากจะได้ห้องกว้างๆ แล้ว ยังได้ห้องที่เพดานสูง ดูโปร่งโล่งอีกด้วย
โซนที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางก็จะมี Stella Lounge เป็นห้องที่สามารถชมวิวเมืองได้ จะมานั่งทำงาน นั่งเล่น หรือพักผ่อนหย่อนใจก็ได้ฮะ ด้านนอกที่เป็นชั้นบนของ Stella Lounge จะเป็น Viewpoint หรือจุดชมวิวที่ให้เรามองวิวได้แบบ 360 องศาเลย นอกจากนี้ก็จะมีสวนสีเขียว และพื้นที่ Jogging Track ให้ได้ออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสายด้านบน เผื่อใครเบื่อจะออกกำลังกายในห้องแอร์ ก็มารับลมกันที่ชั้นดาดฟ้าได้
Stella Lounge
ห้องนี้ก็เอาไว้พักผ่อนหย่อนใจครับ มองวิวเมืองได้รอบทิศทางเลย เป็นอีกห้องที่มานั่งทำงานก็ดูสงบดีฮะ โทนสีก็เน้นน้ำเงินเทาเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีสีเหลืองแทรกเข้ามา ด้านบนมีการตกแต่งด้วยลูกโลกที่มีเส้นของวงโคจรอยู่ รอบๆ จะเป็นไฟดวงเล็กๆ เหมือนกับว่าเรานั่งอยู่ในห้วงอวกาศครับ
Sky Garden
ด้านนอก Stella Lounge จะเป็นสวนสีเขียวที่ให้เราออกมาเดินเล่นได้ ถ้าเพื่อนๆ ดูตรงป้าย SUPALAI จะเห็นว่ามีบันไดให้เราขึ้นไปข้างบน ตรงนั้นจะเป็น Sky Jogging Track ที่เอาไว้ออกกำลังกายฮะ
Viewpoint
จุดชมวิวที่อยู่บนห้อง Stella Lounge สามารถมองวิวได้แบบ 360 องศาเลย
Sale Gallery ของโครงการ
ตั้งอยู่ที่อาคารพาณิชย์ติดกับถนนใหญ่ และติดกับพื้นที่ของโครงการ
สำหรับ Sale Gallery ของโครงการจะอยู่ติดกับถนนใหญ่เลยครับ มาถึงรับรองเห็นตึกโดดเด่นแน่นอน สีน้ำเงินมาแต่ไกลเลย ตัวพื้นที่จริงของโครงการก็จะอยู่ข้างๆ Sale Gallery นะครับ
ด้านในเข้ามาก็จะเป็นโทนสีน้ำเงินและเทา เหมือนกับ Theme ของตัวโครงการครับ จะมีทั้งหมด 2 ชั้น มีห้องตัวอย่างทั้งหมด 2 ห้อง ชั้นล่างจะเป็น 1 Bedroom ขนาด 29 ตารางเมตร เป็นไทป์เริ่มต้นของโครงการ ส่วนด้านบนจะเป็น 1 Bedroom Plus ขนาด 44 ตารางเมตร
แปลนอาคารและ Layout ห้องชั้น 8 – 31
มีให้เลือกทั้ง 1 Bedroom ไปจนถึง 2 Bedroom
แปลนอาคารของที่นี่ไม่ต่างกันมากครับ รูปด้านล่างจะเป็นแปลนของชั้น 8 – 31 หน้าตาจะเหมือนกันทั้งหมดเลย ตรงกลางจะเป็น 1 Bedroom ทั้งหมด หัวมุมก็จะเป็น 2 Bedroom ฝั่งละ 4 ยูนิต ส่วน 1 Bedroom Plus ก็จะมีชั้นละ 4 ยูนิต รวมๆ แล้วชั้นนึงก็จะมีห้องพักอาศัยประมาณ 30 ยูนิต มีโถงลิฟต์อยู่ตรงกลาง แบ่งเป็นลิฟต์โดยสาร 3 ตัว และเซอร์วิสลิฟต์ 1 ตัว มีบันไดหนีไฟทั้งสองฝั่ง
แปลนห้องที่มีให้เลือก
ทุกชั้นอย่างที่บอกว่าแปลนอาคารไม่ได้ต่างกันมาก ดังนั้นการวางผังห้องก็จะเหมือนกันไปด้วยครับ อย่างชั้น 8 – 31 ไทป์ห้องที่ได้ก็จะไม่แตกต่างกันเลย
1 Bedroom
1A1
29 ตารางเมตร
จะเป็นห้องไทป์เริ่มต้น เป็นห้องตอนลึก แบ่งเป็น 3 โซน ด้านหน้าเป็นครัวเปิด ตรงกลางเป็นโซนนั่งเล่น และด้านในเป็นโซนห้องนอน ครัวจะเชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่นเลย จะทำให้ห้องดูกว้างกว่าการกั้นห้องครัว แล้วก็ได้ห้องนั่งเล่นที่กว้างด้วยครับ ส่วนห้องนอนมีฟังก์ชันที่หลากหลาย จะนอน จะแต่งตัว จะแต่งหน้า จะทำงาน หรือจะพักผ่อนก็ได้ทั้งหมด
1B1
35 ตารางเมตร
ไทป์นี้จะแบ่งห้องเป็นสัดเป็นส่วน ด้านหน้าเป็นโซน Living เป็นทั้งมุมนั่งเล่นและมุมกินข้าว ได้ครัวแบบปิด ห้องน้ำเข้าจากห้องครัว ส่วนห้องนอนก็กว้างขวางฮะ มี Favorite Corner อยู่ด้านในสุดเลย สามารถทำเป็น Walk-in Closet ได้ หรือจะเปลี่ยนเป็นห้องทำงาน เป็นมุมอเนกประสงค์อื่นๆ ก็ได้เช่นกัน
1C1
35 ตารางเมตร
ตรง Favorite Corner จะเหมือนมีห้องอเนกประสงค์เพิ่มเข้ามาเลยครับ ด้านหน้าจะเป็นมุมกินข้าว ขยับเข้าไปหน่อยเป็นมุมนั่งเล่น มีห้องครัวอยู่ตรงกลาง ห้องน้ำเข้าทางห้องครัว จะมีประตูบานเลื่อนกระจกกั้นห้องนอนเอาไว้ ด้านในสุดเป็นห้องนอน แต่ก่อนจะถึงห้องนอน จะได้ Favorite Corner ขนาดใหญ่ที่ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามต้องการ
1 Bedroom Plus
PA1
44 ตารางเมตร
ไทป์นี้จะเป็นห้องหน้ากว้าง ด้านหน้าทำเป็นมุมกินข้าวเล็กๆ แบบ 2 ที่นั่งได้ เยื้องๆ กันจะเป็นมุมนั่งเล่น ห้องนี้จะได้ครัวปิด เคาน์เตอร์ครัวก็จะกว้างขึ้น ห้องนอนจะเป็นประตูบานทึบ วางเตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และชั้นวางทีวีได้ ระเบียงจะอยู่ติดกับห้องนอน ส่วนห้องอเนกประสงค์ที่เพิ่มเข้ามาก็จะเป็น Favorite Corner สามารถทำเป็นห้องทำงาน ห้องอ่านหนังสือ พื้นที่งานอดิเรกส่วนตัว หรือทำห้องนอนอีกห้องนึงได้เลยฮะ
2 Bedroom
2A1
50 ตารางเมตร
ไทป์นี้จะได้ 1 ห้องน้ำนะครับ ได้ครัวแบบปิด แต่ครัวมีมุมกินข้าวในตัวเลย ตรงกลางจะเป็นมุมนั่งเล่น มีห้องนอนสองห้อง ห้องนอนเล็กกั้นด้วยประตูบานเลื่อนกระจก มีระเบียงด้วย ส่วนห้องนอนใหญ่จะได้มุมแต่งตัวที่กว้างกว่า วางเตียงได้ใหญ่กว่า แล้วก็มี Favorite Corner อยู่ริมหน้าต่างด้วย
2B1
51.5 ตารางเมตร
ห้องขนาดใหญ่ขึ้น แต่แปลนต่างกันฮะ ห้องนี้ได้มุม Living ที่ใหญ่มาก โต๊ะกินข้าววางหลังโซฟาได้เลย เป็นเหมือนศูนย์รวมของห้อง หรือเวลาเพื่อนมาก็มารวมตัวกันอยู่ที่โซนนี้ กว้างพอจุเพื่อนได้เยอะเลย ครัวก็จะได้ครัวปิดเหมือนกัน ห้องนอนเล็กกับใหญ่ขนาดไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ เพียงแค่ห้องนอนใหญ่จะมี Favorite Corner อยู่
2C1
62.5 ตารางเมตร
ไทป์นี้เป็นครัวปิดที่อยู่ด้านหน้าห้องเลย ถัดมาจะเป็นมุมกินข้าวกับมุมนั่งเล่นที่อยู่ติดกับระเบียง ห้องน้ำจะมี 2 ห้อง ห้องนอนเล็กขนาดไม่เล็ก วางเตียงขนาด 5 ฟุตได้ มีมุมทำงาน มีที่วางเสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งครบ ส่วนด้านในสุดจะเป็น Master Bedroom ที่มีขนาดใหญ่มากครับ
2D1
66.5 ตารางเมตร
ถ้าเข้ามาในห้อง จะเห็นมุมกินข้าวกับมุมนั่งเล่นทางซ้ายมือ ส่วนทางขวาเป็นห้องครัวแบบปิด มีห้องน้ำสองห้องเช่นกัน ห้องนอนจะแบ่งห้องนอนเล็กอยู่ฝั่งขวา และ Master Bedroom อยู่ฝั่งซ้าย ด้านหลังเตียงนอนมีมุมสำหรับทำ Walk-in Closet ด้วย ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของภายในห้องได้เป็นอย่างดี
แปลนอาคารและ Layout ห้องชั้น 32
ทั้งชั้นมีแค่ 7 ยูนิต และห้อง 3 Bedroom ทั้งโครงการมีแค่ 3 ยูนิตเท่านั้น
ชั้น 32 ถือเป็นชั้นพิเศษครับ นอกจากจะมี Facilities และพื้นที่ส่วนกลางต่างๆ แล้ว ยังมีโซนห้องพักอาศัยที่มีแค่ 7 ยูนิตเท่านั้นเอง เรียกได้ว่ามีความเป็นส่วนตัวมากๆ ซึ่งไทป์ห้องชั้นนี้ก็จะไม่ซ้ำกับห้องชั้นอื่นๆ เลยครับ เรียกได้ว่าวาง Layout ใหม่ทั้งหมด ชั้นนี้จะเป็นชั้นเดียวที่มีห้อง 3 Bedroom ด้วย เท่ากับว่าทั้งโครงการจะมี 3 Bedroom อยู่แค่ 3 ยูนิต แล้วแต่ละยูนิตก็ไม่เหมือนกันอีก
ความพิเศษอีกอย่างของชั้นนี้คือ ปกติห้องชั้นอื่นๆ จะได้ความสูงของฝ้าอยู่ที่ 2.7 เมตรใช่มั๊ยครับ แต่ชั้นนี้สูงถึง 3.2 เมตรเลยนะ อ่อ ห้อง 3 Bedroom ความพิเศษคือได้ที่จอดรถแบบ Fixed ด้วยนะครับ
แปลนห้องที่มีให้เลือก
จะมีให้เลือกแค่ 2 Bedroom กับ 3 Bedroom เท่านั้นฮะ ซึ่งแต่ละแปลนก็จะแตกต่างกันออกไป
2 Bedroom
2E1
64.5 ตารางเมตร
ไทป์นี้ได้ครัวปิดอยู่ด้านหน้า ด้านในเป็นมุมกินข้าวและมุมนั่งเล่น มีสองห้องน้ำ สองระเบียง ตรงกลางจะเป็นห้องนอนเล็ก วางเตียง ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะอเนกประสงค์ได้ ส่วน Master Bedroom จะมีมุมแต่งตัวที่ดูเป็นส่วนตัว แนะนำว่าถ้าตู้ไม่พอ มีพื้นที่ให้วางตู้เพิ่มได้อีกเยอะฮะ
2F1
71.5 ตารางเมตร
ห้องนี้เป็นห้องหน้ากว้าง ได้ครัวปิดอยู่ด้านหน้าเหมือนกัน แต่โซน Living มีขนาดใหญ่ขึ้น ห้องนอนเล็กอยู่ตรงกลางเหมือนเดิม ส่วนห้องนอนเขาทำเป็นห้องแต่งตัวแยกแบบมีประตูบานเลื่อนกระจกกั้น ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว และทำให้ห้องนอนดูเป็นสัดส่วนมากขึ้น
3 Bedroom
3A1
89.5 ตารางเมตร
เข้าห้องมาจะเจอมุมกินข้าวก่อนเลย สามารถวางโต๊ะขนาด 6 ที่นั่งได้สบายๆ มีครัวปิดอยู่ด้านข้าง ด้านในจะเป็นมุมนั่งเล่น จะมีห้องนอนนึงที่อยู่คนละฝั่งกับอีก 2 ห้อง เหมาะสำหรับคนที่อยู่ห้องเดียวกัน แต่ไม่อยากอยู่ใกล้กันเกินไปฮะ Master Bedroom ทำ Walk-in Closet ได้นะ
3B1
118.5 ตารางเมตร
ด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้น โซน Living เลยกว้างขึ้นเยอะฮะ นอกจากจะวางโต๊ะกินข้าวและโซฟาขนาดใหญ่ได้แล้ว ยังวางโต๊ะทำงานเพิ่มได้อีก ห้องนี้จะมี 3 ห้องน้ำ และมีห้องนอนที่กว้างพอๆ กันถึง 2 ห้อง สามารถทำ Walk-in Closet ได้ทั้งคู่ Master Bedroom มีอ่างอาบน้ำด้วย
3C1
122.5 ตารางเมตร
ห้องนี้มีสามห้องน้ำเหมือนกันฮะ Master Bedroom จะได้อ่างอาบน้ำเช่นกัน มีมุมแต่งตัวแยกเป็นสัดส่วน โซน Living ตรงกลางกว้างมากๆ เหมือนอยู่บ้าน สามารถใช้สอยพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ ระเบียงก็จะอยู่ที่โซน Living มีความยาวขนานไปกับตัวห้องเลย
ห้องตัวอย่าง 1 Bedroom ขนาด 29 ตารางเมตร
ห้องตอนลึก เป็นครัวเปิด ได้ห้องนอนกว้าง มีพื้นที่ Favorite Corner ริมหน้าต่าง
ที่ Sale Gallery จะมีห้องตัวอย่างอยู่ทั้งหมด 2 ห้องด้วยกันครับ ห้องชั้นล่างจะเป็น 1 Bedroom ขนาด 29 ตารางเมตร ซึ่งเป็นขนาดเริ่มต้นของโครงการ ห้องนี้จะเป็นห้องตอนลึกที่เขาแบ่งออกเป็น 3 โซนหลักๆ ด้วยกันครับ โดยด้านหน้าจะเป็นครัวแบบเปิด ตรงข้ามเคาน์เตอร์ครัวจะเป็นห้องน้ำ โซนตรงกลางเป็นห้องนั่งเล่น สามารถวางโซฟาและชั้นวางทีวีได้ โซนด้านในสุดจะเป็นห้องนอนที่มีประตูบานเลื่อนกระจกกั้น ด้วยความที่ห้องนอนใหญ่ ทำให้สามารถวางเตียงขนาด 5 – 6 ฟุตได้ รวมไปถึงตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้งด้วย
ระเบียงก็จะอยู่ตรงห้องนอนครับ คอมเพรสเซอร์แอร์เขาจะเอาไว้ด้านบน ดังนั้นพื้นที่ด้านล่างก็จะว่าง สามารถปลูกต้นไม้ วางเก้าอี้ หรือตกแต่งได้ตามต้องการ ส่วนพื้นที่ริมหน้าต่างด้านในจะเป็น Favorite Corner ที่เราสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบเลย
โซนครัว : ครัวเปิด อยู่ด้านหน้า ประหยัดพื้นที่
เปิดประตูเข้าห้องมาก็จะเป็นโซนครัวก่อนเลยครับ อยู่ทางด้านขวามือนะ ทางซ้ายจะเป็นห้องน้ำฮะ สำหรับเคาน์เตอร์ครัว ถ้าเป็นไทป์ขนาด 1 ห้องนอน จะหน้าตาและความกว้าง 1.20 เมตรเหมือนกับห้องตัวอย่างเลย คือจะมีช่องสำหรับวางเครื่องซักผ้าด้านล่าง ตู้เก็บของ และลิ้นชัก ส่วนด้านบนจะเป็นตู้เก็บของกับที่วางไมโครเวฟ
ทางโครงการจะให้เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน และอ่างล้างจานของ Hafele ด้วยนะครับ พื้นที่เก็บของในครัวกำลังเหมาะกับการอยู่คนเดียวหรือสองคนที่ไม่ได้เน้นการทำอาหารมากนัก ตรงที่เป็นตะขอแขวนของ Hafele ก็ให้มาในชุดครัวเลย เราจะได้ไม่ต้องติดตั้งเพิ่มเองฮะ เซ็ตนี้สะดวกและสวยดีนะครับ ผมเองก็ใช้อยู่ 😛
ห้องน้ำ : สุขภัณฑ์ครบ มีฉากกั้นอาบน้ำ และเครื่องทำน้ำอุ่น
ตัวห้องน้ำหน้าตาจะเหมือนกับห้องตัวอย่างเลยครับ พื้นกระเบื้องสีดำ ตกแต่งผนังด้วยกระเบื้อง Porcelain สีเทาลายหินอ่อน ส่วนผนังอื่นๆ ก็จะเป็นกระเบื้องสีขาว สุขภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นอ่างล้างหน้า ชักโครก ก๊อก ราวแขวนผ้า สายชำระ ที่เสียบกระดาษทิชชู่ จะใช้ของ COTTO ทั้งหมด มีแค่ฝักบัว Rain Shower แล้วก็เครื่องทำน้ำอุ่นที่เป็นของ Hafele
มุมนั่งเล่น : พื้นที่กว้าง วางโซฟาเข้ามุมได้
ถัดจากโซนด้านหน้าเข้ามาจะเป็นมุมนั่งเล่นครับ มุมนี้ก็ค่อนข้างจะมีระยะห่างระหว่างโซฟากับทีวีพอสมควรเลย เพื่อนๆ สามารถวางทีวีจอใหญ่ได้ครับ จริงๆ ถ้าไม่ได้วางชั้นวางทีวี จะ Built-in ชั้นวางทีวีและตู้เก็บของด้านบน ก็จะทำให้ห้องเรามีพื้นที่เก็บของมากขึ้นฮะ แถมไม่ทำให้ห้องดูรกด้วย (เพราะไปรกในตู้แทน 555+)
ส่วนฝั่งโซฟาก็สามารถวางโซฟาขนาด 2 ที่นั่งได้ ทั้งยังวางโต๊ะกาแฟเล็กๆ ได้ ไม่เกะกะฮะ ยังมีพื้นที่ให้เดินได้ชิวๆ เลย และด้วยความที่ห้องนี้เป็นครัวเปิด เวลาทำอาหารกลิ่นก็จะเข้ามาถึงโซนนั่งเล่นด้วย ถ้าอยากจะทำเป็นครัวปิด ก็สามารถติดตั้งประตูบานเลื่อนกระจกเพิ่มเติมเองได้นะครับ แต่ถ้าไม่ได้ซีเรียสเรื่องการทำอาหาร หรือพวกกลิ่นควันต่างๆ ครัวเปิดเชื่อมไปยังโซนนั่งเล่นก็ทำให้ห้องดูกว้างขึ้น ไม่อึดอัดจนเกินไป
ห้องนอน : ห้องนอนขนาดใหญ่ อยู่ติดระเบียง มี Favorite Corner
ห้องนอนจะได้ประตูบานเลื่อนกระจกแบบสามตอนกั้นเอาไว้ ขอบประตูที่นี่เขาจะเป็นสีขาวนะครับ ก็ไม่ต้องกลัวว่าห้องจะมืดเลย เพราะระเบียงก็เป็นประตูบานเลื่อนกระจกขนาดใหญ่ แถมยังมีหน้าต่างบานเล็กมาให้อีก ห้องสว่างแน่นอนฮะ ด้านในสามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตได้ มีที่วางโต๊ะข้างเตียงด้วย ฝั่งตรงข้ามเหมาะสำหรับวางตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งครับ
มุม Favorite Corner ที่ผมบอกก็จะอยู่ริมหน้าต่างเลย ห้องตัวอย่างเขาแต่งเป็นมุมทำงานครับ แต่จริงๆ แล้วเราจะปรับเปลี่ยนเป็นมุมอะไรก็ได้เลย ตามที่เราต้องการ
ระเบียง : ระเบียงเฉียง ได้พื้นที่เยอะขึ้น
ระเบียงอย่างที่บอกว่าที่นี่เขามีลูกเล่น ทุกห้องก็จะได้ระเบียงแบบเฉียง เพิ่มพื้นที่ใช้สอยด้านนอกได้ดีเลยครับ ตัวคอมเพรสเซอร์แอร์ก็ไว้ด้านบน เครื่องซักผ้าก็อยู่ที่ครัวแล้ว ดังนั้นระเบียงเราก็จะโล่ง ไม่มีอะไรมาตั้งให้เกะกะมากมายครับ อาจจะมีราวตากผ้า แต่รับรองว่าวางราวตากผ้าไปแล้ว พื้นที่ก็ยังเหลือแน่นอน
ห้องตัวอย่าง 1 Bedroom Plus ขนาด 44 ตารางเมตร
พื้นที่ใช้สอยกว้างทุกโซน แบ่งเป็นสัดเป็นส่วน มีห้องอเนกประสงค์ที่ทำเป็นห้องนอนเล็กได้
ดูห้องขนาดเริ่มต้นของโครงการไปแล้ว เดี๋ยวมาดูห้องใหญ่กันบ้างครับ ห้องนี้เป็น 1 Bedroom Plus ขนาด 44 ตารางเมตร ถ้าเพื่อนๆ ดูจากแปลนก็จะเห็นว่าเขาแบ่งทุกโซนออกเป็นสัดเป็นส่วนหมด มีประตูปิดทุกห้อง โซน Living ก็จะอยู่ด้านหน้า ผมว่าการที่เอาห้องครัวมาคั่นตรงกลาง ทำให้มุมนั่งเล่นกว้างขึ้น เราได้ระยะห่างชั้นวางทีวีกับโซฟามากขึ้นด้วย มุมหน้าห้องสามารถวางโต๊ะกินข้าวขนาด 2 คนได้ ห้องอเนกประสงค์จะมีประตูบานเลื่อนกระจกกั้น ห้องจะเป็นตอนลึกฮะ ส่วนห้องนอนได้ประตูบานทึบ
ก่อนจะไปดูห้องจริง ผมขอบอกก่อนเล็กน้อยนะครับ ว่าห้องตัวอย่างที่ Sale Gallery ขนาดอาจจะเล็กกว่าของจริงนะ เพราะตึกที่เขาทำเป็นตึกเก่า ไม่ได้สร้างใหม่ ขนาดเลยอาจจะดูเล็กกว่าของจริงอยู่บ้าง รวมไปถึงความสูงของฝ้าด้วย ห้องจริงจะสูง 2.7 เมตร แต่ห้องตัวอย่างสูง 2.55 เมตร ซึ่งเอาจริงแค่ 2.55 เมตรที่ได้เข้าไปดู ผมไม่ได้รู้สึกว่าห้องเตี้ยเลย เท่ากับว่าห้องจริงก็จะดูโปร่งและโล่งกว่านี้อีกฮะ
มุมกินข้าว : อยู่ติดกับทางเข้า วางโต๊ะได้หลายแบบ
มุมกินข้าวอย่างที่บอกว่าอยู่ติดกับประตูทางเข้าเลยครับ นอกจากจะวางโต๊ะเหมือนกับห้องตัวอย่างแล้ว จริงๆ เราจะวางโต๊ะยาวชิดกำแพงก็ได้เช่นกัน หรือเดี๋ยวนี้มีชั้นขนาดใหญ่ที่ทำเป็นโต๊ะกินข้าวแบบพับได้ ผมว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน เวลาที่เราไม่ได้ใช้โต๊ะกินข้าว ก็พับเก็บไว้ ทำให้มุมนี้ดูโล่งขึ้น ทั้งยังเป็นพื้นที่เก็บของ หรือโชว์ของสะสมต่างๆ ได้อีก เรียกได้ว่าใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่าตั้งแต่หน้าทางเข้าเลย
มุมนั่งเล่น : พื้นที่กว้างขวาง ระยะห่างทีวีกำลังดี
มุมนั่งเล่นวางโซฟาขนาด 3 ที่นั่งได้ จะวางโซฟาแบบ L-shape ก็ได้เช่นกัน เพราะระยะห่างกับชั้นวางทีวีเยอะอยู่แล้วครับ วางแบบ L-shape ไป ก็ไม่ทำให้เกะกะ โต๊ะกาแฟก็วางขนาดเล็กๆ ไปจนถึงกลางๆ ได้ ส่วนมุมชั้นวางทีวีก็แล้วแต่จะออกแบบเลย ว่าจะวางชั้นหรือ Built-in เอา
ห้องครัว : ได้ครัวปิด และเคาน์เตอร์ที่กว้างขึ้น
ด้วยความที่ห้องใหญ่ขึ้น ก็เลยได้ชุดครัวยาวขึ้นตามไปด้วย ห้องนี้เคาน์เตอร์ครัวยาวประมาณ 1.60 เมตร ทำให้เรามีพื้นที่เก็บของมากขึ้นทั้งด้านบนและด้านล่างเลย เครื่องใช้ไฟฟ้าได้เหมือนเดิมคือเตาไฟฟ้ากับเครื่องดูดควันของ Hafele ไมโครเวฟวางด้านบนได้ มีอ่างล้างจานมาให้ มีพื้นที่ตรงกลางไว้เตรียมอาหารได้ จริงๆ แล้วถ้าเราทำอาหารเป็นประจำ และต้องการพื้นที่เตรียมอาหารเยอะ ซื้อโต๊ะมาวางเพิ่มได้นะครับ เพราะเอาจริงก็ครัวก็ไม่ได้แคบเลย
ด้านล่างนอกจากจะวางเครื่องซักผ้าแล้ว ยังเก็บของและอุปกรณ์ครัวต่างๆ ได้ ส่วนด้านบนก็มีตู้มาให้เช่นกัน ซึ่งพื้นที่ด้านบนตู้เราก็ยังเก็บของได้อีกฮะ ส่วนข้างๆ ตู้เย็นจะมีพื้นที่เหลืออยู่ แล้วแต่ว่าเราจะวางชั้น วางรถเข็น หรือวางเป็นตู้เพื่อเก็บของเพิ่มเติมก็ได้เช่นกัน
ห้องอเนกประสงค์ : ห้องลึก ทำเป็นห้องนอนอีกห้องได้
ห้องอเนกประสงค์ในห้องตัวอย่างเขาออกแบบมาเป็นห้องนั่งทำงานแบบสบายๆ มีตู้โชว์สำหรับของสะสม ภายในห้องอาจจะดูโล่งๆ แต่เราก็สามารถตกแต่งเพิ่มเติมเองได้เต็มที่เลย ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราฮะ ห้องนี้จะได้หน้าต่างบานใหญ่เลย ช่องแสงจากห้องนี้ก็จะส่องไปถึงห้องนั่งเล่นด้วยเหมือนกัน
ห้องนอน : วางตู้เสื้อผ้าได้เยอะ อยู่ติดระเบียง
ห้องนอนกว้างขวางเลย แล้วด้วยความที่อยู่ติดกับระเบียงก็ได้ช่องแสงไปแบบเต็มๆ ครับ ด้านในสามารถวางเตียงขนาด 5 – 6 ฟุตได้ พื้นที่ข้างเตียงเหลือๆ ด้านข้างทำเป็นตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะเครื่องแป้งได้ หรือถ้ากลัวว่าตู้เสื้อผ้าจะเล็กไป ก็ย้ายเอาโต๊ะเครื่องแป้งมาไว้ข้างเตียงแทน แล้ววางตู้เสื้อผ้ายาวทั้งฝั่งได้เลย