fbpx
รีวิวเจาะลึก

รีวิวเจาะลึก : “SHUSH Ratchathewi” คอนโด Loft 2 ชั้นจากแสนสิริ 140 ม. BTS ราชเทวี 1 สถานีถึงสยาม!

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เห็นแสนสิริเปิดตัวโครงการคอนโดใหม่ ทำเลใจกลางเมือง?? ต้องบอกว่าคอนโดระดับ Luxury กับแสนสิรินี่ก็น่าจะเป็นอะไรที่เป็นของคู่กัน แล้วก็มักจะทำได้ดีหรือเป็นที่พูดถึงเสมอๆ มีโครงการที่เป็นตัวสร้างชื่ออยู่หลายทำเล ไม่ว่าจะเป็นในโซนสุขุมวิทหรือว่าโซนราชเทวีเอง แต่ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เราแทบไม่ได้เห็นแสนสิริเปิดตัวโครงการในกลุ่มนี้เพิ่มเลย มาวันนี้เค้ากลับมาแล้วครับ กับโครงการ

“SHUSH ราชเทวี”

ที่นี่จะเป็นคอนโดระดับ Luxury อีกหนึ่งโครงการของแสนสิริที่เปิดในปีนี้ จุดเด่นของที่นี่คือตั้งอยู่ใน Location ที่กลางเมืองมากๆ ครับ ตั้งอยู่บนถนนพญาไท ติดแยกราชเทวี 1 สถานีถึงสยาม และเป็นครั้งแรกของแสนสิริที่ทำห้องเป็นแบบ Loft เกือบทั้งตึก (ประมาณ 90% เลย) 

แล้วด้วยความแสนสิริแน่นอนว่างาน Detail รายละเอียดต่างๆ ที่ใส่มาในโครงการนี้ก็เยอะตามสไตล์ เดี๋ยววันนี้เราจะพามารู้จักกับที่นี่กันแบบเจาะลึกครับว่าห่างหายไปหลายปี กลับมาเปิดโครงการระดับ Segment นี้อีกที เค้าจัดอะไรมาให้บ้าง

จุดเด่นโครงการ

140 เมตรจาก BTS ราชเทวี
Interchange สายสีส้มในอนาคต

ห้อง Loft เพดานสูงเกือบทั้งโครงการ




ย่านราชเทวี Center of Everything!!

พูดถึงย่านราชเทวี ย่านนี้ก็ถือว่าเป็นย่านเก่าแก่ของกรุงเทพอีกย่านนึงเลย จากความเป็นเมืองของย่านถนนเพชรบุรีและย่านประตูน้ำ จุดเด่นอยู่ที่ความใกล้กับสยามที่เป็นศูนย์กลางแหล่ง Shopping เรียกได้ว่าเป็นใจกลางของกรุงเทพและเป็น Destination ที่ใครมาเที่ยวก็ต้องมา ทุกคนน่าจะเห็นทำเลนี้เป็นภาพเดียวกันอยู่แล้ว 

แต่ด้วยความใจกลางเมืองของสยาม เราลองมาดูตัวพื้นที่ตรงนี้ จะเห็นได้ว่ารอบๆ สยามและ BTS สถานีสยามแทบไม่มีพื้นที่ที่เป็นของเอกชนเลยครับ ฝั่งสยามก็จะเป็นที่ดินของทรัพย์สินจุฬา ส่วนด้านสยามพารากอน-สยามเซ็นเตอร์ก็จะเป็นที่ดินของทรัพสินพระมหากษัตริย์ นอกนั้นถัดออกไปก็เป็นหน่วยงานราชการอีกอย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ-ราชกรีฑาสโมสร 

ทำให้โซนสยาม-ราชประสงค์ ในทำเลตรงนี้ถ้าเรามาดูแล้ว จะเป็นพื้นที่ที่ไม่มีคอนโด Freehold อยู่เลย

ราชเทวี 1 สถานีถึงสยาม

ดังนั้นถ้าจะอยู่ใกล้ย่านสยามที่สุด ตัวเลือกก็จะมีแค่ไม่กี่สถานีครับ หนึ่งในนั้นก็คือแยกราชเทวี ที่เป็นทำเลติดรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท แค่ 1 สถานีถึงสยาม ซึ่งจริงๆ ต้องบอกว่า 2 สถานีนี้ระหว่างสยาม-ราชเทวี ห่างกัน 1 สถานีก็จริง แต่จริงๆ ก็เป็นระยะที่ไม่ได้ไกลกันมากครับ ตัวสถานีจริงๆ ห่างแค่ 800 เมตร และถ้าเดินจากราชเทวีมาก็ถึงห้างสยามดิสก่อนด้วย ยังไม่ถึงระยะ 800 เมตรเลย เป็นระยะที่พอเดินได้เลยถ้าวันไหนบรรยากาศดีๆ ซึ่งตัวสถานี BTS สยามเอง ที่นี่ก็เป็นสถานีที่มี Traffic คนใช้งานเยอะมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของรถไฟฟ้าทุกสายในกทม.ด้วยครับ ถือเป็นจุดศูนย์กลางการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าอีกจุดนึงเลยของกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้

ซึ่งด้วยความใกล้สยามและเป็นย่านที่ถือว่าค่อนข้างอยู่กลางเมืองนี่แหละครับ ทำให้ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราคาคอนโดของย่านนี้ก็จะเติบโตไปตามความเจริญของเมือง ปัจจุบันโครงการคอนโดในรอบแยกราชเทวี ก็จะเป็นคอนโดในกลุ่ม Luxury แทบทั้งหมด ราคาคอนโดตรงนี้ก็จะอยู่ในช่วง 200,000++ ต่อตารางเมตร เป็นราคาที่พอๆ กับคอนโดโซนสุขุมวิทครับ 

แล้วจุดเด่นของราชเทวีเป็นยังไง เราจะขอมาเล่าถึงจุดเด่นของย่านนี้กันก่อนครับ

ศูนย์กลาง Shopping, แหล่งงาน, สถานศึกษา

ไม่ว่าจะเป็นห้างโซนสยาม-ราชประสงค์, มหาวิทยาลัยชั้นนำ และ อาคารออฟฟิศ Grade A

จริงๆ ย่านสยาม-ราชเทวีเป็นย่านที่หลายๆ คนน่าจะผ่านหูผ่านตา ไปมาหาสู่หรือนั่งรถผ่านกันบ่อยเป็นอันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ อยู่แล้ว ด้วยทำเลที่เป็นทั้งแหล่ง Shopping, แหล่งนัดพบปะสังสรรค์, แหล่งงาน, แหล่งสถานศึกษา หรืออย่างน้อยๆ เปลี่ยนสายรถไฟฟ้า BTS ก็ที่สยาม 

ซึ่งในความที่สยาม-ราชเทวีเป็นทำเลที่คุ้นเคยของใครหลายๆ คน ต้องบอกว่าย่านนี้เป็นทำเลที่มีความน่าสนใจหลายอย่างซ่อนอยู่ครับ 

แหล่ง Shopping ย่านเดียวกว่า 20 ห้าง

อย่างแรกที่เป็นจุดที่โดดเด่นที่สุดของโซนสยาม-ราชเทวี-ราชประสงค์ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความเป็นศูนย์กลางแหล่ง Shopping ครับ คือไม่ใช่แค่สยามอย่างเดียว แต่บริเวณใกล้ๆ ตรงนี้เรียกได้ว่าเป็น District ของการ Shopping เลยก็ว่าได้ มีห้างหลายระดับ หลายแบบให้เลือก

ไม่ว่าจะเป็นโซนสยามร้อน ที่เป็นแหล่ง Shopping แนว Street หน่อย หรือข้ามมาก็จะเป็นกลุ่ม 3 ห้าง Siam Paragon, Siam Center และ Siam Discovery และมี MBK ที่เป็นอีกห้างที่อยู่คู่กับย่านสยามมานาน

ถัดมาย่านราชประสงค์ที่เชื่อมกันด้วย Skywalk ตรงนี้ก็จะมีห้างใหญ่อย่าง CentralwOrld ปัจจุบันเป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในไทย ส่วนตรงข้ามก็จะเป็น Big C ราชดำริ ที่แทบจะเป็นห้างต่างชาติไปแล้ว อยู่ในลิสต์นักท่องเที่ยวต้องมาซื้อของกลับบ้านกัน และใกล้ๆ ก็จะมีกลุ่มห้าง Gaysorn Village ที่เป็นห้างเน้นลูกค้าระดับบน เชื่อมต่อไปถึง Central Chidlom และ Central Embassy

ส่วนย่านประตูน้ำบนถนนเพชรบุรี อันนี้ก็ถือว่าเป็นย่านเก่าแก่ของการ Shopping ของกรุงเทพเลยครับ ปัจจุบันย่านนี้ขึ้นชื่อในเรื่องสินค้าแฟชั่นและเสื้อผ้า ก็จะมีห้างเด่นในย่านนี้อย่าง Platinum และห้างรอบๆ ที่ทั้งห้างเน้นขายแต่เสื้อผ้าอย่างเดียวเลย 

ซึ่งด้วยความที่กรุงเทพฯ เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของโลกอยู่แล้ว โซนสยาม-ราชประสงค์ที่เป็นแหล่ง Shopping ที่ใหญ่ที่สุดในกทม.เลยเป็น Destination นึงที่คนต่างชาติมาเที่ยวก็จะต้องมากันครับ เป็นย่านที่คึกคักมาตลอด


ใกล้หลายแหล่งงานและออฟฟิศ Grade A

และด้วยความเป็นใจกลางเมือง ย่านราชเทวีเองก็เป็นอีกหนึ่งย่านที่มีอาคารสำนักงานต่างๆ มาตั้งอยู่กันครับ ถึงแม้ว่าย่านนี้อาจจะไม่ได้เป็นโซนออฟฟิศจ๋าๆ เหมือนกับฝั่งสุขุมวิท แต่ในระยะหลังออฟฟิศต่างๆ ก็เริ่มกระจายมาอยู่ฝั่งพญาไท-พหลฯ กันมากขึ้นครับ โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ “แยกราชเทวี” ก็มีตึกออฟฟิศใหม่มาถึง 2 ตึกด้วยกัน 

อย่างตึก Spring Tower ที่เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตึกนี้ตั้งติดกับโครงการ SHUSH เลย ส่วนอีกตึกด้านตรงข้าม ก็เป็นตึก JRK Tower ของกลุ่มจุฬางกูร ที่กำลังก่อสร้าง 

ซึ่งถ้าเราลองดูตามแนวถนนพญาไท ตรงนี้ก็จะมีหลายโครงการที่กำลังก่อสร้างหรือเพิ่งสร้างเสร็จไปครับ อย่างตึก The Unicorn ที่ติดกับ BTS พญาไท ตึกนี้จะเป็น Mixed-use มีทั้งอาคารสำนักงานและโรงแรม เป็นตึกที่สูงที่สุดของย่านนี้ด้วยครับ ฝั่งด้านไปสยามก็มีสยามปทุมวันเฮ้าส์เป็นตึกออฟฟิศใหม่ที่กำลังสร้างอยู่เช่นกัน 

หรือถ้ามองภาพกว้างออกมาหน่อย ย่านราชเทวีก็จะเป็นย่านที่ใกล้กับโซนอนุสาวรีย์ ตรงย่านนี้ก็จะมีกลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า, โรงพญาบาลจุฬา, โรงพยาบาลตำรวจ รวมไปถึงโรงพยาบาลเอกชนอย่างโรงพยาบาลพญาไท 1 และ 2 ซึ่งเร็วๆ นี้ทางฝั่งโรงพยาบาลพญาไทก็เตรียมมีโรงพญาบาลพญาไทอินเตอร์บนถนนศรีอยุธยาด้วยครับ รวมถึงใกล้ๆ ก็กำลังจะมีศูนย์การแพทย์ราคาธิบดีศรีอยุธยา ทำให้ย่านพญาไท-ราชเทวีเป็นอีกย่านที่มีคุณหมอและบุคลากรทางแพทย์มองหาที่อยู่ในย่านนี้กันเยอะครับ

และก็จะใกล้กับโซน CBD ที่สำคัญทั้ง 2 จุดทั้งย่านสุขุมวิทและสาทร-สีลม อย่างโซนเพลินจิต-สุขุมวิทสามารถขึ้นรถไฟฟ้า BTS ต่อเดียว แค่ 3-5 ป้ายก็ถึงแล้วครับ ใช้เวลาแค่ 7-10 นาที หรือถ้าจะไปโซนสีลม ก็เปลี่ยนรถที่สถานีสยาม นั่งแค่ 3-4 สถานีก็ถึงเช่นเดียวกันครับ ก็จะเป็นข้อดีของการอยู่ใจกลางเมืองที่ค่อนข้างจะใกล้ย่านต่างๆ พอสมควร


ใกล้แหล่งสถานศึกษาชั้นนำ

ในด้านของสถานศึกษา ย่านราชเทวีก็จะเป็นอีกย่านที่มีน้องๆ นิสิตจากจุฬาที่พอมีกำลังจ่ายหน่อยมาอยู่กันครับ อย่างที่เราบอกไปว่าที่ดินแถบบริเวณจุฬาเกือบทั้งหมดจะเป็นที่ของรัฐ ดังนั้นคอนโดที่ใกล้มหาลัยก็จะไปตั้งอยู่สองฝั่ง ฝั่งนึงจะเป็นด้านติดกับถนนพระราม 4 และสามย่าน ส่วนอีกฝั่งก็จะเป็นโซนราชเทวีครับ 

ซึ่งนอกจากจุฬาที่เป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่มากแล้ว ในพื้นที่ก็จะมีโรงเรียนอยู่ด้วย ทั้งเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนสาธิตจุฬา และสาธิตมศว ปทุมวัน ซึ่งราชเทวีก็ถือว่าค่อนข้างใกล้โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงมีข้อดีในเรื่องของความติด BTS สายสุขุมวิทด้วยครับ

และนอกจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่เป็นสถาบันการศึกษาแบบปกติแล้ว ในพื้นที่ของสยามเองก็มีโรงเรียนประเภททางเลือกตั้งอยู่ด้วยครับ อย่างเช่นโรงเรียน The Newton Sixth Form School และ The Essence School ซึ่งในย่านสยาม ตั้งแต่อดีตเราจะเห็นว่าย่านนี้เป็นศูนย์รวมของโรงเรียนกวดวิชาต่างๆ อยู่แล้วด้วยครับ จนปัจจุบัน ได้มีการปรับเปลี่ยนพัฒนาไปตามรูปแบบการเรียนที่เปลี่ยนไป ทางสยามเลยพัฒนาโซนนี้ให้เป็น Learning Hub รวมไปถึง MBK เองก็เป็นศูนย์รวมทั้งกวดวิชาและสถาบันแนะแนวต่างๆ อีกจุดนึงด้วยเช่นกัน ใน MBK เองก็มีกว่า 30 สถาบันเลยครับ

หรือถ้ามาดูทางฝั่งพญาไทก็มีตึกวรรณสรณ์ที่เป็นตึกกวดวิชาขนาดใหญ่ของอ.อุ๊ รวมไปถึง CP Tower 3 ที่อยู่ตรงข้ามกันก็เป็นตึกที่เน้นโรงเรียนกวดวิชา-สถาบันแนะแนวเช่นเดียวกัน

และฝั่งพญาไทด้านถนนพระราม 6 ที่เป็นโซนโรงพยาบาลก็จะเป็นที่ตั้งของคณะวิทยาศาลตร์ม.มหิดล, วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าและโรงพยาบาลรามา ซึ่งจะมีนักศึกษาแพทย์มาเรียนที่ย่านนี้ด้วยเช่นกันครับ


ที่ตั้งโครงการ

140 เมตรจากรถไฟฟ้า BTS สถานีราชเทวี ติดถนนพญาไท

สำหรับที่ตั้งของโครงการก็จะอยู่ติดกับถนนพญาไทเลยครับ เป็นฝั่งที่มุ่งหน้าไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แทบจะติดกับแยกราชเทวี ถัดมาจากตึก Spring Tower มาแค่ตึกเดียวครับ ใกล้กับ BTS สถานีราชเทวี ถนนพญาไทช่วงนี้ก็จะค่อนข้างมีต้นไม้ขึ้นร่มรื่นพอประมาณ และเป็นช่วงที่เอาสายไฟฟ้าลงดินเรียบร้อยแล้ว ทางเดินบนฟุตบาทก็จะค่อนข้างสวยงามและเดินง่าย

บรรยากาศแถวแยกราชเทวีก็จะมีร้านของกินต่างๆ กระจายอยู่ตลอดทางครับ มีร้านดังหลายร้านอยู่บริเวณแยกตรงนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านที่ตั้งอยู่กับตึกแถวทั้งริมถนนและในซอย และโซนนี้จะเป็นโซนที่มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมาพักด้วย ตึกแถวบางตึกในย่านนี้เลยจะทำเป็น Hostel โดยที่ด้านล่างก็จะทำเป็นร้านคาเฟ่ครับ ในเรื่องของกินก็ค่อนข้างหายห่วง มีหลากหลายครับ ส่วนที่ติดกับโครงการเลยใต้ตึก Spring Tower ก็จะมี 7-Eleven อยู่ด้วยครับ

การเดินทางด้วยรถไฟฟ้า

ระยะเดินจาก BTS สถานีราชเทวีอยู่ประมาณ 140 เมตร แต่จะต้องเดินข้ามถนนนิดนึง เป็นทางม้าลาย ลองเดินดูแล้วก็เป็นจุดที่ไม่ได้ข้ามถนนยากครับ แต่อาจจะต้องรอจังหวะไฟแดง

ซึ่งอย่างที่เล่าไปว่าที่นี่จะห่างแค่ 1 สถานีถึงสยามที่เป็น Interchange ดังนั้นก็ค่อนข้างจะเปลี่ยนสายไปได้หลายเส้นทางครับ ที่ตั้งของโครงการนอกจากจะใกล้กับ BTS ราชเทวี ก็จะอยู่ใกล้กับ BTS สถานีพญาไทด้วยเช่นกัน ห่างไปประมาณ 250 เมตร ตรงนี้ก็จะเป็นสถานี Interchange กับรถไฟฟ้า Airport Rail Link ที่เชื่อมต่อไปสนามบินสุวรรณภูมิ สามารถเดินไปเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าไปสนามบินได้เลย จากสถานีพญาไทถึงสุวรรณภูมิใช้เวลาประมาณ 26 นาทีครับ 

ตัว Airport Rail Link ตอนนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของรถไฟฟ้าความเร็วสูง 3 สนามบินด้วยครับ ในอนาคตก็จะสามารถขึ้นจากที่นี่เพื่อไปสนามบินดอนเมืองและสถานีกลางบางซื่อ (กรุงเทพอภิวัฒน์) ได้ด้วยเช่นเดียวกัน รวมถึงสามารถไปจนถึงชลบุรี-พัทยาได้เลย ปัจจุบันโครงการอยู่ในระหว่างการเริ่มก่อสร้างครับ ได้ผู้ประมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้วเป็นกลุ่ม CP ที่ชนะประมูลไป

การเดินทางด้วยรถยนต์

ในด้านของการเดินทางด้วยรถยนต์ ด้วยความเป็นกลางเมืองก็แน่นอนว่าเวลาช่วงเร่งด่วนปฏิเสธไม่ได้ว่าก็อาจจะมีรถติดบ้าง ตามประสากรุงเทพครับ ซึ่งที่ตั้งของโครงการก็จะใกล้กับย่านสยาม สามารถขับรถไปได้ ซึ่งจากหน้าโครงการถ้าจะไปย่านต่างๆ ฝั่งสุขุมวิท-สาทร-สีลม-พระราม 4 จะต้องไปกลับรถที่แยกพญาไทที่ตัดกับถนนศรีอยุธยา ส่วนถ้ามาจากอนุสาวรีย์แล้วจะเข้าโครงการก็จะต้องไปกลับรถที่สะพานหัวช้างครับ

ซึ่งการจะไปย่านสุขุมวิท สามารถใช้เส้นถนนเพชรบุรี เพื่อเลี่ยงรถและถนน One Way ช่วงเพลินจิตได้ ในส่วนของการใช้งานทางด่วน ทางขึ้นลงที่ใกล้โครงการที่สุดจะอยู่ที่บริเวณแยกยมราชครับ แต่ถ้าไม่อยากกลับรถ สามารถเลือกไปขึ้นทางด่วนที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยได้เช่นกัน

แยกราชเทวี อนาคต Interchange ใหม่

จากการมาของรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่จะตัดผ่านแยกราชเทวีพอดี

สำหรับราชเทวีเอง นอกจากความใกล้ Interchange สยาม ตรงนี้ในอนาคตก็กำลังจะกลายเป็นจุด Interchange ใหม่ ใจกลางเมืองด้วยเช่นกัน กับการมาของรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก ซึ่งสายนี้จะเป็นสายที่นำคนจากรอบนอกย่านฝั่งธน-ศิริราช เข้ามาในย่านใจกลางเมืองผ่านโซนเมืองเก่า และสายสีส้มฝั่งตะวันออกเองก็จะเป็นการนำคนจากโซนรามคำแหงเข้ามาในใจกลางเมืองผ่านเส้นรัชดาที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ

จะเห็นว่ารถไฟฟ้าสายสีส้ม จะเป็นรถไฟฟ้าสายสุดท้ายในแผนแล้วครับ ที่จะวิ่งจากนอกเมืองผ่าเข้ามาใจกลางเมือง ดังนั้นในอนาคตเมื่อสายนี้สร้างเสร็จก็น่าจะเป็นอีกสายสำคัญที่มีคนใช้เพื่อเดินทางในแต่ละวันเยอะพอสมควร ทำให้แยกราชเทวีน่าจะคึกคักขึ้น

แต่!!! ต้องบอกว่าปัจจุบันสายนี้สร้างไปแล้วครึ่งนึงในส่วนของฝั่งตะวันออกจากรามคำแหงถึงรัชดาครับ ส่วนฝั่งตะวันตกยังอยู่ในช่วงรอประมูล รวมถึงการเดินรถในฝั่งตะวันออกก็ยังรอเรื่องของการประมูลเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีปัญหาฟ้องร้องอยู่อย่างที่หลายคนอาจจะได้ข่าว ดังนั้นสายนี้ก็อาจจะใช้เวลานิดนึงกว่าจะได้ใช้งาน โดยคาดว่าในฝั่งของราชเทวีถ้าได้เริ่มก่อสร้างก็น่าจะใช้เวลาจนไปถึงเวลาแล้วเสร็จ-เปิดใช้งานเป็นเวลาประมาณ 4-6 ปีครับ ต้องทำใจเผื่อเวลากันหน่อยนะครับ กว่าจะถึงวันที่ได้ใช้

เพิ่มเติมเล็กน้อย คือสถานีสายสีส้ม มีทางออกตามแผน อยู่หน้าอาคาร Spring Tower ด้วยครับ ทำให้จากหน้าโครงการ SHUSH จะใกล้กับทางขึ้นลงสถานีราชเทวีของสายสีส้มมากๆ แทบจะไม่กี่เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าเลย ซึ่งสามารถใช้เป็นทางลงไปสถานีสายสีส้มที่อยู่ใต้ดิน หรือใช้เป็นทางข้ามไปขึ้น BTS สถานีราชเทวีโดยที่ไม่ต้องข้ามถนนได้ครับ

ตรงนี้อ้างอิงจากเอกสาร EIA ปี 2565 ของทางรถไฟฟ้าสายสีส้มนะครับ ซึ่งถ้าก่อสร้างตามแผนก็จะเพิ่มความสะดวกให้กับโครงการอีกเยอะเลยทีเดียว

แสนสิริกับราชเทวี

สองโครงการก่อนหน้าในย่านนี้ กับ PYNE by Sansiri และ The Line ราชเทวี

สำหรับย่านราชเทวีแล้ว SHUSH ไม่ใช่โครงการแรกของแสนสิริในย่านนี้ครับ จริงๆ แสนสิริค่อนข้างประสบความสำเร็จกับโครงการก่อนหน้าในย่านราชเทวีพอสมควรเลย 

ย้อนกลับไปช่วงปี 2553 แสนสิริเปิดตัวโครงการ “PYNE by Sansiri” เป็นโครงการที่ก็ถือว่าเป็นระดับบนในยุคนั้นครับ กับทำเลที่เรียกได้ว่า 0 เมตรจากรถไฟฟ้าสถานีราชเทวีจริงๆ (ทุกวันนี้ใครลงสถานีราชเทวี ก็น่าจะเห็นโครงการนี้) ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตำนานของแสนสิริเลยครับ ด้วยราคาในตอนนั้นที่เปิดตัวอยู่ที่ประมาณเฉลี่ยตร.ม.ละ 140,000 กว่าๆ ทำให้สามารถ Soldout ทั้งโครงการได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเปิดขาย

แถมตอนนั้นยังทำกำไรให้กลุ่มคนซื้อลงทุนกันไปพอสมควรด้วย ทั้งคนที่เล่นสั้นหรือถือยาวจนตึกเสร็จ ซึ่งปัจจุบันราคา Resale ของตึกนี้ก็ไปอยู่ในระดับ 2 แสนกว่าตามราคาของทำเลเป็นที่เรียบร้อยครับ

หลังจากนั้น ในช่วงปี 2558 ก็มีอีกโครงการตามมา กับ The Line Ratchathewi ที่ตั้งอยู่บนถนนเพชรบุรี ไม่ห่างจากแยกราชเทวีมาก เปิดตัวมาด้วยระดับราคา 2 แสนกว่าต่อตารางเมตร โครงการนี้ด้วยกระแสที่ดีจากตัว PYNE ตัวแรก รวมถึงการมาในช่วงคอนโดในกรุงเทพกำลังร้อนแรงสุดๆ ก็สามารถ Soldout ปิดการขายไปได้ตั้งแต่วันที่ Presale ตามรุ่นพี่ไปเช่นกัน

ทำให้ย่านราชเทวีเองเป็นหนึ่งในย่านที่แสนสิริค่อนข้างประสบความสำเร็จ แล้วน่าจะค่อนข้างเข้าใจ Lifestyle และความต้องการของคนที่มาอยู่ในย่านนี้พอสมควร เรามาดูกันครับว่า กับการกลับมาครั้งนี้ของ SHUSH แสนสิริตีโจทย์โครงการออกมาเป็นอย่างไรบ้าง

Concept โครงการ

SHUSH – A Symphony of Silence

สำหรับโครงการ SHUSH Ratchathewi (ออกเสียงว่าชูช์ ราชเทวี) ชื่อนี้จะเป็นแบรนด์ใหม่ ที่จะใช้เฉพาะกับโครงการนี้เท่านั้นครับ เป็นชื่อแบบ One of a Kind ตั้งที่นี่ที่เดียว หลายคนเลยอาจจะสงสัยว่า ระดับ Segment ของตัวโครงการนี้อยู่ระดับไหน?

ก็ต้องบอกว่าโครงการนี้เป็นคอนโดระดับ Luxury ครับผม ตำแหน่งจะสูงกว่าแบรนด์ตระกูล The Line ของแสนสิริ แต่จะยังไม่ได้ถึงระดับ The Monument/Khun by Yoo ที่เป็นคอนโด Super Luxury ในกลุ่ม Sansiri Luxury Collection ครับ

คอนเซปต์ของ SHUSH ก็จะมาจากเสียงชูช์ที่แสดงความเงียบครับ โครงการตั้งใจจะให้ที่นี่เป็นความหรูหราแบบไม่ตะโกน มาเป็นแนว Quiet Luxury แต่ก็จะยังเรียบหรูมีสไตล์ มี Taste ในแบบของแสนสิริอยู่ครับ ซึ่งรูปแบบของที่นี่จะทำออกมาเป็นคอนโดมิเนียมแบบ High Rise ความสูง 32 ชั้น (มีชั้นใต้ดินอีก 5 ชั้น) ซึ่งถึงจะมีแค่ 32 ชั้น แต่ที่นี่จะเป็นห้อง Loft เพดานสูงเกือบ 90% ของโครงการเลยครับ เป็นคอนโดแสนสิริตัวแรกเลยก็ว่าได้ที่มีห้อง Loft เกือบทั้งโครงการแบบนี้ ทำให้ความสูงจริงของตึกนี้ จะสูงประมาณตึก 40 กว่าชั้นได้ ก็จะค่อนข้างโดดเด่นทีเดียวเมื่อสร้างเสร็จ

ขนาดพื้นที่ของโครงการไม่ใหญ่มากครับ 2 ไร่ ติดถนนใหญ่พญาไท จัดออกมาได้เป็นห้องทั้งหมด 383 ยูนิต มีให้เลือกทั้งห้อง Simplex และ Loft ตั้งแต่ 1 Bedroom ไปจนถึง 3 Bedroom ครับ ระดับราคาของที่นี่ก็จะประมาณ 245,000 บาทต่อตารางเมตร (รวมพื้นที่ชั้นลอยของห้อง Loft) ราคาอยู่ในช่วง 8.99-30 ล้านบาทครับ

ข้อมูลโครงการ

ชื่อโครงการ :SHUSH Ratchathewi (ชูช์ ราชเทวี)
Developer :บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน)
เนื้อที่โครงการ :1-3-70 ไร่
จำนวนห้องพักอาศัย : 383 ยูนิต
รูปแบบโครงการ :High Rise 32 ชั้น 1 อาคาร และมีชั้นใต้ดิน 5 ชั้น
ลิฟต์ :ลิฟต์โดยสาร 3 ตัว และเซอร์วิสลิฟต์ 1 ตัว
ที่จอดรถ : เป็นที่จอดรถอัตโนมัติจำนวน 222 คัน (58%)
ค่าส่วนกลาง :84 บาท/ตารางเมตร/เดือน
ค่ากองทุน :800 บาท/ตารางเมตร
Facility :The Galleria Lobby, The Reflect Amphitheater, The Study Lounge, The Executive Room, The Relaxing Lounge, The Social Lounge, The Entertainment Room, The Lumina Pool และ The Active Club, Garden
แบบห้อง : Loft
1 Bedroom ขนาด 28.50 – 28.75 ตารางเมตร (พื้นที่ใช้สอย 40.75 – 41.25 ตารางเมตร)
1 Bedroom ขนาด 34.25 – 35.50 ตารางเมตร (พื้นที่ใช้สอย 49.00 – 50.50 ตารางเมตร)
2 Bedroom ขนาด 41.75 – 46.75 ตารางเมตร
(พื้นที่ใช้สอย 62.75 – 75.96 ตารางเมตร)

Simplex
1 Bedroom ขนาด 31.25 – 57.25 ตารางเมตร
2 Bedroom 1 Bathroom ขนาด 60 ตารางเมตร
2 Bedroom 2 Bathroom ขนาด 70.25 – 89.50 ตารางเมตร
3 Bedroom 3 Bathroom ขนาด 97 – 117.25 ตารางเมตร
ราคา :เริ่มต้น 8.99 ล้านบาท
ราคาเฉลี่ย : ประมาณ 245,000 บาท/ตารางเมตร
สถานะโครงการ :กำลังก่อสร้าง

ส่วนกลางดีไซน์จัดเต็ม

ไฮไลท์อยู่ที่ชั้น 24-25 ที่เป็นชั้นของสระว่ายน้ำ ได้วิวเมืองจากมุมสูง และมี Facility ต่างๆ มาครบ

มาดูในส่วนของพื้นที่ส่วนกลางกันบ้างครับ จุดเด่นของบ้าน/คอนโดแสนสิริในหลายๆ โครงการก็จะอยู่ที่งานตกแต่งส่วนกลางที่ทำออกมาได้ค่อนมีสไตล์ เชื่อว่าหลายๆ คนก็น่าจะเชื่อมมือแสนสิริในงาน Interior ครับ สำหรับที่ SHUSH ก็จัดงานดีไซน์มาให้ค่อนข้างเต็มที่เหมือนกัน เหมือนอัดอั้นไม่ได้ทำโครงการคอนโดในระดับนี้มานาน 555555

“Museum of Art, Gallery of Life”

สำหรับพื้นที่ส่วนกลางของ SHUSH จะมาในคอนเซปต์ที่เหมือนเข้าไปในพิพิธภัณฑ์งาน Art ครับ คือตัวสไตล์งานออกแบบส่วนกลางทั้งหมดจะมาในแนว Art Deco ที่มีความ Modern เล่นกับ Shape และ Form ขอบและซุ้มโค้ง ตัดกับวัสดุที่มีความแวววาวสะท้อนแสง และมีหินอ่อนอยู่ในหลายๆ ส่วนของการตกแต่ง เป็นสไตล์ที่ใครเคยเห็นบ้าน BuGaan ของแสนสิริ ที่นี่ก็จะเป็นสไตล์คล้ายๆ กันครับ มีความ Retro หน่อยๆ ผสมกับความ Luxury

ซึ่งความเป็น Museum ก็จะอยู่ใน Lobby ของโครงการนี้นี่แหละครับ ที่ทางแสนสิริจะนำ Art Piece และเฟอร์นิเจอร์จากศิลปินชื่อดังต่างๆ ทั่วโลก นำเข้ามาใช้ตกแต่งในส่วนของ Lobby ซึ่งเดี๋ยวเราเล่าอีกทีครับว่าแต่ละชิ้นมีอะไรบ้าง

พื้นที่ส่วนกลางชั้น 1

เริ่มจากสวนหน้าโครงการ เบรกความวุ่นวายจากภายนอก ก่อนเข้ามาถึง Lobby เพดานสูงขนาดใหญ่

Main Garden

ถ้าเราเดินเข้ามาในโครงการจะเจอกับสวนสีเขียวก่อนเลย สวนนี้อยู่ติดถนนก็จริง แต่ก็มีกำแพงของโครงการกั้นเอาไว้ฮะ นอกจากจะมีต้นไม้ใหญ่ๆ แล้ว เขายังทำที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจเพิ่มเข้ามาให้ด้วย


The Galleria Lobby

ด้วยคอนเซปต์ของโครงการเขาตั้งใจให้ที่นี่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ดังนั้นรายละเอียดต่างๆ ใน Lobby จะค่อนข้างมีงานศิลป์ หรือเฟอร์นิเจอร์ Rare Item ที่มาจากศิลปินชื่อดังระดับโลกครับ อย่างโซฟาที่เขาจะใช้ บอกเลยว่าไม่ธรรมดา เพราะมันเป็นโซฟาที่ถูกบันทึกใน Guinness Book of Record ด้วยว่าเป็นโซฟาที่ยาวที่สุดในโลก เพราะว่าตัวโมดูลาร์ของโซฟาเนี่ย สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบ หรือต่อเพิ่มเติมได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มาจากแบรนด์ De Sede ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ฮะ

หรืออาร์มแชร์ที่เห็นด้านหลังโซฟาจะเป็น Elda Armchair by Joe Colombo นักออกแบบชื่อดังจากอิตาลี โครงเป็น Fiber Glass ที่หุ้มด้วยหนัง อาร์มแชร์ตัวนี้มีชื่อเสียงมากครับ เคยอยู่ในหนังอย่าง James Bond และ The Hunger Games ด้วย และเห็น Panal รูป 4 ชิ้นที่อยู่บนผนังไหมครับ ตัวนี้จะเป็น Wall art ขนาดใหญ่โดย Francois Cante-Pacos จากประเทศฝรั่งเศส ถูกสร้างในปี 1975 และมีชิ้นเดียวในโลก แสนสิริบอกว่าราคาอยู่ที่ราว 3 ล้านบาทเลยครับ

ส่วน Roger DESSERPRIT เป็น Sculpture ที่ทำจากปูนปลาสเตอร์สูง 3 เมตร จากศิลปินชื่อดัง มีความหายากและมีน้อยชิ้นในโลกฮะ ทั้งงาน Wall Panel และ Sculpture ตัวนี้จะตั้งอยู่ที่ Sales Gallery ของโครงการด้วยครับ แวะไปชมกันก่อนได้

เคาน์เตอร์ของ Concierge ก็จะเป็นหินทั้งก้อนที่เขาเอามาแกะเป็นเคาน์เตอร์ ด้านหลังเป็นผนังสีทองทำให้ตรงเคาน์เตอร์นี้ดูส่องสว่างสุดๆ ส่วน Chandelier จะทำมาจากแก้วพันกว่าชิ้น มีสีสันต่างๆ สลับไปมา ซึ่งจะมีตัวอย่างใน Sales Gallery เหมือนกัน แต่ของจริงจะมีจำนวนชิ้นเยอะกว่ามากนะ

ที่ผมพูดมาทั้งหมดเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นครับ เพื่อนๆ พอมองเห็นภาพความเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมงานศิลปะ และเฟอร์นิเจอร์จากศิลปินชื่อดังของที่นี่กันบ้างรึยังฮะ ก็เป็นอะไรที่ดูเป็นแสนสิริมากๆ สำหรับการทำคอนโดมิเนียมที่เป็นงานคราฟท์แบบนี้

พื้นที่ส่วนกลางชั้น 3

เป็นสวนที่เชื่อมต่อกับชั้น 1 สะท้อนแสงเสมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ

The Reflection Amphitheater

สวนสีเขียวนี้อยู่ที่ชั้น 3 จะมีที่นั่งแบบขั้นบันไดให้เราชมวิวเมืองด้านนอก หรือแม้แต่วิวสวนที่ด้านล่างด้วย ความพิเศษของโซนนี้ เพื่อนๆ เห็นแผ่นสีเงินที่เพดานด้านบนเลยไปจนเป็น Facade มั๊ยฮะ ตรงนี้เขาตั้งใจให้สะท้อนแสงเล่นกับต้นไม้ด้านล่าง มันจะสะท้อนขึ้นมา เหมือนกับว่าด้านบนมีต้นไม้เหมือนกัน เป็นส่วนที่ทำให้สวนชั้น 1 กับชั้น 3 ดูเชื่อมต่อกันนั่นเอง

พื้นที่ส่วนกลางชั้น 24

เป็นชั้นที่มี Facilities เยอะที่สุด รวมทุกกิจกรรมไว้ในชั้นเดียว

The Relaxing Lounge

แน่นอนว่าความเป็นแสนสิริก็จะคงคอนเซปต์ให้สุด แม้กระทั่งพื้นที่ส่วนกลาง พื้นที่นี่เขาใช้ Grand Antique Old Bear Marble เป็นหินอ่อนจากฝรั่งเศสที่ราคาค่อนข้างสูงครับ ทางแสนสิริเขาเคลมว่ายังไม่เคยมีโครงการไหนในไทยใช้หินอ่อนชนิดนี้นะครับ ห้องนี้จะเป็นห้องที่เน้นนั่งพักผ่อน เปิดรับวิวสวนด้านนอกและวิวเมือง


The Study Lounge

เนื่องจากโครงการอยู่ในโซนแหล่งงานและใกล้สถานศึกษา เลยจัดพื้นที่ห้องนี้เป็นพื้นที่ทำงาน มาคนเดียวหรือมาเป็นกลุ่มก็ได้ เขาจะมีห้องแยก Private Pod 3 ห้องด้วยกันสำหรับใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรือถ้าอยากประชุมงานกับเพื่อนก็มีโต๊ะขนาดใหญ่ให้ แต่ถ้าทำงานจนเหนื่อย อยากจะเปลี่ยนอิริยาบถ ตรงกลางก็มีโซฟาให้นอนเล่นได้ด้วย ห้องนี้จะได้วิวจาก 2 ฝั่งครับ

และสำหรับใครที่อยากประชุมแบบเป็นส่วนตัว ทางโครงการก็มีการจัดพื้นที่ Executive Room ที่เป็นห้องประชุมแบบจริงจังให้อีก 2 ห้องเช่นกัน ในห้องนี้ก็จะได้ระบบสำหรับการประชุมหรือคุยงานที่จัดเต็มครับ ใช้ระบบ Conference ของ Cisco เน้นความเสถียร มีกล้องความละเอียด 4K และ Interactive Display เป็นจอที่สามารถสัมผัสและจดบันทึกได้ และทั้ง 2 ห้องนี้จะสามารถ Combine รวมกันได้ ถ้าต้องการใช้เป็นห้องใหญ่ครับ


The Social Lounge

ห้องนี้จะเป็นห้องพักผ่อนอีกจุดหนึ่งของโครงการครับ อยู่ที่ด้านมุมของอาคารเหมือนกัน แต่ฟังก์ชั่นของห้องนี้คือสามารถใช้เป็นเหมือนพื้นที่พบปะสังสรรค์ได้ ออกแบบมาให้สามารถจัดงานเลี้ยงแบบปิด มีพื้นที่สำหรับเตรียมอาหารด้านหลังด้วย เผื่อมีการเรียก Catering มา (สามารถให้ Concierge ของโครงการช่วยจัดหาได้)


The Entertainment Room

ห้องนี้ก็จะเป็นห้องแบบที่อาจจะเริ่มมีเรื่องของเสียงเข้ามา ดังนั้นห้องนี้จะถูกออกแบบมาให้เก็บเสียงเป็นพิเศษครับ เป็นห้องที่เรามาเล่นเกม มาพักผ่อน ชมภาพยนตร์ มาปลดปล่อย มาเล่นพูลกับเพื่อนได้ ตัวห้องจะมีจอขนาดใหญ่และระบบเสียงรอบทิศ Dolby Atmos มาให้ด้วย ก็ถือว่าชั้นนี้มีห้องให้ลูกบ้านได้พักผ่อนเยอะ ซึ่งแต่ละห้องจะมีบรรยากาศและการตกแต่งที่แตกต่างกันไป สามารถใช้งานได้แบบไม่เบื่อฮะ

พื้นที่ส่วนกลางชั้น 25

เน้นกิจกรรม Active ออกกำลังกายได้ทั้งในน้ำและบนบก

The Lumina Pool

สระว่ายน้ำของที่นี่จะยาว 25 เมตร กว้าง 4.5 เมตร มีทั้งโซนที่เป็น Semi-outdoor และ Outdoor ถ้าดูรูป Perspective ก็จะเห็นว่าการออกแบบมีการใช้เส้นสายที่โค้ง เว้า เหมือนกับสายลม พื้นกับผนังสระว่ายน้ำใช้กระเบื้อง Porcelain เวลากลางคืนที่เราเปิดไฟ แสงจะส่องกระทบกับพื้นสระว่ายน้ำ และหินที่ใช้ตกแต่งบริเวณสระว่ายน้ำจะเป็นหิน Limestone จะดูเรียบๆ แต่ก็จะมีดีเทลอยู่ครับ เป็นหินชนิดเดียวกับที่แสนสิริใช้ตกแต่งอาคารของโครงการ 98 Wireless ครับ


The Active Club

ในส่วนของห้องออกกำลังกายที่นี่เขาจัดเต็มด้วยอุปกรณ์จาก Technogym เกือบทั้งหมด เป็นแบรนด์ที่สายฟิตเนสน่าจะรู้จักกันดี ราคาค่อนข้างสูงครับ มีทั้งเครื่องสำหรับ Cardio และ Weight Training โดยตัวเวทจะให้เป็นเครื่อง Kinesis Personal และ Plurima Multistation Wall ที่เป็นเครื่องที่รวมการออกกำลังกายหลายฟังก์ชั่นเข้ามาไว้ในตัวเดียวครับ นอกจากนี้ยังมีห้องแยกสำหรับ Yoga หรือ Pilates ด้วย

พื้นที่ส่วนกลางชั้น 32

เป็นสวนสีเขียวให้ได้พักผ่อนหย่อนใจตั้งแต่ชั้น 32 ไปจนถึงชั้นดาดฟ้าเลย

สำหรับพื้นที่ชั้น 32 ที่เป็นดาดฟ้า ทางโครงการจะทำออกมาเป็นสวนด้วยครับ ให้ขึ้นมาดูวิวจากชั้นบนสุดกันได้ ซึ่งถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นชั้น 32 แต่อย่าลืมว่าเป็นห้องเพดานสูงไปค่อนโครงการ ดังนั้นชั้นนี้ก็น่าจะพอๆ กับชั้น 40 กว่าเลยครับ เป็นชั้นที่อยู่เลยจาก Spring Tower ตึกข้างๆ ไปพอสมควร และน่าจะสูงเลยตึกรอบๆ เกือบทั้งหมด วิวก็น่าจะค่อนข้างเปิดโล่งพอสมควรเลย ชั้นนี้นอกจากสวนสวยงามแล้ว จะมีพื้นที่ของ Sansiri Backyard เป็นที่ปลูกผักสวนครัว ให้ลูกบ้านสามารถนำไปใช้ทำอาหารได้ด้วยครับ

ดีเทลต่างๆ ในโครงการ

นอกจากตัวพื้นที่ส่วนกลางที่ให้มา การใช้งานแต่ละจุดก็จะมีดีเทลซ่อนอยู่ครับ

พาไปดูส่วนกลางว่ามีอะไรบ้างกันเรียบร้อยแล้ว จริงๆ ที่นี่ยังมี Detail อีกหลายเรื่องที่ซ่อนอยู่เกี่ยวกับการอยู่อาศัยและการบริการในโครงการ เดี๋ยวขอเล่าสั้นๆ ก่อนที่เราจะไปพูดถึงตัวห้องพักกันครับ

ที่จอดรถ Automatic Parking

เรื่องแรกที่จอดรถของที่นี่เป็นแบบ Automatic Parking ครับ ระบบนี้ก็จะมีข้อดีในเรื่องของการประหยัดพื้นที่ และให้โครงการมีพื้นที่ขายมากขึ้น ซึ่งในยุคหลังคอนโดทำเลใจกลางเมืองก็เปลี่ยนมาใช้รูปแบบนี้กันส่วนใหญ่ครับ แต่ถ้าเทียบกับที่จอดแบบ Conventional แบบปกติ หลายคนก็อาจจะยังกังวลกับที่จอดรถแบบนี้ ทางแสนสิริเลยค่อนข้างที่จะใส่ใจ Detail ตรงนี้มาพอสมควร

อย่างแรกคือที่นี่จะเป็นระบบ Automatic Parking แบบไม่ใช้ถาดหรือ Pallet ครับ ซึ่งปกติระบบถาดจะเป็นการให้รถขับเข้าไปในถาด แล้วนำถาดที่มีรถไปจอดในช่องที่เตรียมไว้ ปัญหาที่เจอคือบางทีรถอาจจะใหญ่กว่าถาด 

ที่นี่เลยจะใช้เป็นระบบไร้ถาด แต่ใช้ตัว Robot ที่ยกจากล้อรถไปจอดบนพื้นที่เตรียมไว้แทนครับ ซึ่งแสนสิริเล่าให้เราฟังว่าระบบนี้ยังไม่ค่อยมีใครใช้สำหรับคอนโดในไทย และแสนสิริก็เลือกแบรนด์ Space Value ที่เป็นบริษัท Top 5 ในเรื่องของการทำ Automatic Parking ในญี่ปุ่นด้วยครับ รวมถึงมีรับประกันระบบจากบริษัทผู้ผลิต 10 ปี ลูกบ้านที่กังวลในเรื่องของค่า Maintenance ก็น่าจะพอเบาใจได้บ้างครับ

แล้วระบบนี้รถอะไรจอดได้บ้าง?? แสนสิริก็บอกว่าที่จอดตัวนี้จะรองรับรถได้เกือบทั้งหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นรถยอดฮิตของกลุ่มครอบครัวอย่าง Alphard, Vellfire หรือ Lexus LM ตัวใหม่ รวมไปถึงรถแบบ Supercar ก็รองรับเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น Ferrari 458, Ferrari Roma, Lamborghini Huracan หรือ Lamborghini Aventador ซึ่งสำหรับรถที่มีความยาวฐานล้อระดับ 3 เมตรกว่าอย่าง Roll-Royce Wraith ตัวนี้ก็รองรับเช่นกันครับ โดยใน Spec จะรับรถได้ฐานล้อยาวสุด 3350mm ความกว้างฐานล้อ 1,960mm

โดยมีที่จอดทั้งหมด 58% 216 ช่อง เป็นช่องสำหรับรถ Sedan 141 ช่อง และช่องสำหรับรถ SUV 75 ช่องครับ ใช้เวลาเอารถเข้าประมาณ 2 นาที ส่วนออกประมาณ 3 นาที มีช่องสำหรับเอารถเข้าออก 3 ช่องด้วยกัน นอกจากนี้รอบอาคารก็จะมีจอดแบบปกติอีก 6 ช่องด้วยกัน ตัวที่จอดจะถูกจัดไว้ที่ชั้นใต้ดินของอาคารครับ คั่นด้วยชั้น Lobby และชั้น 2 ที่เป็นงานระบบ ก็จะมีระยะห่างออกจากชั้นพักอาศัยที่เริ่มต้นที่ชั้น 3 พอสมควรครับ เรื่องเสียงระหว่างการทำงานก็ไม่น่าจะมีปัญหา


EV Charger 20+2 ตำแหน่ง

สำหรับคอนโดระดับราคาประมาณนี้ เมื่อโครงการสร้างเสร็จในอีก 3 ปีข้างหน้า คาดว่าก็น่าจะมีลูกบ้านหลายคนที่ใช้รถไฟฟ้าครับ ทางโครงการเลยเลือกใช้ Automate Parking แบบที่สามารถเสียบชาร์จรถได้ 

โดยจะเป็นการให้เราเสียบปลั๊กชาร์จเข้ากับตัวรถก่อน หลังจากนั้นระบบก็จะเอารถไปชาร์จในช่องจอดที่สามารถชาร์จรถได้ครับ โดยที่โครงการเตรียมช่องจอดที่สามารถชาร์จรถไฟฟ้าได้จำนวน 20 คันด้วยกัน โดยที่ชาร์จตัวนี้จะเป็นการชาร์จแบบ AC ไฟ 7 กิโลวัตต์ เน้นการจอดทิ้งไว้แล้วชาร์จ ซึ่งระบบจะสามารถสลับที่จอดรถให้เมื่อชาร์จเสร็จด้วยครับ ให้ช่องจอดว่างสำหรับชาร์จคันต่อไปได้เลย ไม่ต้องรอเอารถออก

แต่นอกจากนี้โครงการก็จะมีที่ชาร์จแบบ DC Fast Charge ให้ด้วยอีก 2 จุดเช่นเดียวกัน สามารถชาร์จไฟได้สูงสุด 120 กิโลวัตต์ เป็นที่จอดอยู่ใต้อาคาร สามารถชาร์จรถไฟฟ้าได้เร็วภายในไม่ถึงชั่วโมงครับ


Locker & Mailroom

ที่นี่จะไม่มีห้อง Mailroom ครับ แต่ตัว Mailbox จะถูกกระจายไปอยู่ตามแต่ละชั้นทำให้ Mailbox ของที่นี่จะเรียกว่า Private Storage เป็นตู้ที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ สามารถใส่จดหมาย พัสดุหรือนำเสื้อผ้าที่ส่งซักมาแขวนได้

และตัวโครงการจะทำพื้นที่สำหรับรองรับ Food Delivery แต่จะพิเศษตรงที่มี Hot&Cold Locker ไว้สำหรับเก็บอาหารเผื่อเรายังไม่สะดวกลงไปรับครับ โดยตู้ Warm สามารถเก็บความร้อน 30-50 องศาได้ระยะเวลาประมาณ 30-60 นาที ส่วนตู้ Cold สามารถเก็บความเย็น 2-8 องศาได้นาน 24 ชั่วโมง


ระบบน้ำ Hydro Smart

ในเรื่องของระบบน้ำภายในโครงการ จะมีระบบ Hydrosmart ที่ใช้สนามแม่เหล็กในการทำให้โมเลกุลของน้ำแตกตัวลดตะกอนต่างๆ รวมถึงคราบตะกรันที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราใช้อุปกรณ์ต่างๆ ทั้งก๊อกน้ำและฝักบัวครับ ซึ่งน้ำที่ผ่านระบบนี้จะถูกใช้ทั้งในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางรวมถึงสระว่ายน้ำ

และสำหรับสระว่ายน้ำของที่นี่ก็จะใช้เป็นระบบ Ozone เพื่อลดการใช้สารเคมี ไม่เกิดการระคายเคืองตา รวมถึงไม่คันตามผิวหนังหรือมีเหนียวตัวหลังจากลงสระครับ


Concierge Service

ที่ Lobby ของโครงการจะมีบริการ Concierge Service อยู่ที่เคาน์เตอร์บริเวณทางเข้าครับ มีบริการต่างๆ ให้กับลูกบ้านให้สามารถติดต่อได้เช่นบริการซักรีด ซึ่งเมื่อส่งซักเรียบร้อยก็จะนำชุดส่งคืนที่ Private Storage ของแต่ละห้อง, บริการทำความสะอาด, บริการจัดหาบริษัทหรือร้านรับจัดเลี้ยง มาจัดงานที่พื้นที่ส่วนกลางของโครงการได้ และบริการนำพัสดุขึ้นไปเก็บไว้ที่ Private Storage

ตรงนี้จะมีเจ้าหน้าที่อยู่ 8 โมงเช้าถึง 2 ทุ่มครับ


กระจก 3 ชั้น แบบ Insulated

สำหรับกระจกที่อยู่ภายนอกอาคารทั้งหมด จะใช้เป็นกระจก Insulated ครับ โดยภายนอกจะเป็นกระจกลามิเนต 2 ชั้นประกบกัน แผ่นกระจกชิ้นในจะมีการเคลือบผิว Low-E เพื่อลดความร้อน โดยที่ก่อนจะถึงกระจกชั้นที่ 3 จะมีช่องอากาศคั่นกลาง เพื่อลดความร้อนจากภายนอก ที่จะส่งผ่านเข้าถึงภายในห้องครับ

ตัวชุดกระจกตัวนี้ก็จะมีความหนาประมาณเกือบ 4 เซนติเมตร สามารถดูตัวอย่างได้ที่ Sales Gallery ครับ


วิวโดยรอบของโครงการ

รอบข้างบางทิศอาจจะใกล้กับตึกข้างๆ บ้าง ด้านหลังจะเป็นวิวที่เปิดสุด

ทีนี้มาดูในส่วนของห้องในโครงการกันบ้างครับ เริ่มจากวิวของแต่ละด้าน ในส่วนของวิวรอบโครงการ ก็ต้องยอมรับว่าพอที่นี่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ดังนั้นวิวโดยรอบบางทิศก็อาจจะติดตึกข้างๆ บ้างเป็นธรรมดาครับ โดยแต่ละด้านจะเป็นดังนี้ (ภาพที่เอามาประกอบจะเป็นภาพจากตำแหน่งชั้น 19 ของโครงการ สามารถดูภาพชั้นอื่นเพิ่มเติมได้จากในเว็บของโครงการนะครับ)

ด้านทิศตะวันออก

ทิศนี้จะหันไปทางถนนพญาไท ฝั่งตรงข้ามจะมีคอนโดวิลล่าราชเทวีที่สูงพอกันครับ ระยะตรงนี้มีระยะพอประมาณจากการที่มีถนนคั่น ไม่ถึงกับติดครับ 

ด้านทิศเหนือ

ทิศนี้จะเป็นทิศที่หันไปทางแยกพญาไทและอนุสาวรีย์ชัยฯ ตรงนี้ที่ดินของโครงการจะติดกับซอยเสนากิจที่เป็นซอยขนาดเล็ก ถัดออกไปตอนนี้จะเป็นตึกแถวครับ ส่วนอีก Block ที่เป็นที่ว่าง เดิมจะสร้างเป็นคอนโดแต่เท่าที่ได้ยินคือ EIA ไม่ผ่าน เลยเปลี่ยนมาเป็นสร้างโรงแรมแบบ Lowrise แทนครับ ส่วนถัดไปอีก Block ก็จะเป็นคอนโดบ้านปทุมวัน สูงถึงประมาณชั้น 20 ของโครงการ

ด้านทิศใต้

ทิศนี้จะหันไปหาแยกราชเทวี ฝั่งนี้ก็ต้องบอกตรงๆ ว่าค่อนข้างเป็นวิว Block ครับ หันเข้าหาตึก Spring Tower ซึ่งจะสูงพอๆ กับชั้น 24 ที่เป็นชั้นส่วนกลางของโครงการ ห้องฝั่งนี้ก็จะเป็นฝั่งที่ราคาเบากว่าทิศอื่นในโครงการ และโครงการจะเลือกเอาห้องขนาดเล็กมาวางไว้ครับ

ด้านทิศตะวันตก

ทิศนี้จะเป็นทิศที่เปิดโล่งที่สุดของโครงการครับ วิวค่อนข้างสวยเลย หันไปทางด้านหลัง ในระยะจะเห็นแค่คอนโด Park Origin แต่มีระยะห่างกันพอสมควร (เว้นแต่ว่าในอนาคตมีโครงการฝั่งถนนเพชรบุรี แล้วซื้อที่ลึกเข้ามา ก็อาจจะบังทิศหลังบางมุมได้ครับ) แต่ปัจจุบันก็ยังค่อนข้างโล่ง เนื่องจากด้านหลังจะเป็นบ้านแนวราบเป็นส่วนใหญ่ครับ 

วิวทิศนี้มองออกไปไกลหน่อยจะเห็นสวนใหม่ที่เป็นพื้นที่เดิมของสนามม้านางเลิ้งด้วยนะครับ

ซึ่งที่นี่ห้องจะมีทั้งทิศที่มองออกไปตรงๆ และห้องที่อยู่มุมตึกทั้ง 4 ด้าน ก็จะเป็นมุมแบบผสมกันระหว่าง 2 ทิศครับ ซึ่งห้องมุมของที่นี่ก็จะค่อนข้างได้เปรียบตรงที่จะไปพอดีกับวิวที่เปิดโล่งกว่าซะเป็นส่วนใหญ่

มีห้องแบบไหนให้เลือกบ้าง?

ห้องของที่นี่ก็ทำออกมาค่อนข้างหลายแบบครับ ส่วนใหญ่จะเป็นห้องที่มีขนาดพื้นที่ค่อนข้างเยอะ

สำหรับห้องของ SHUSH จะมีให้เลือกค่อนข้างหลากหลายมากๆ ครับ ทั้ง Simplex และห้อง Loft มี 1 Bedroom ไปจนถึง 3 Bedroom ขนาดร้อยกว่าตารางเมตร เราลองมาดูกันครับว่าที่นี่เค้าวางห้องยังไงกันบ้าง (แปลนที่หยิบมาจะเป็นแบบห้องหลักๆ นะครับ แต่ละ Type ถ้าอยู่คนละตำแหน่งอาจจะมีเรื่องของตำแหน่งเสากับขนาดที่แตกต่างกันเล็กน้อย)

ห้อง Loft ชั้น 3-22

ห้องพักของที่โครงการจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 3 เป็นต้นไปครับ โดยที่จอดรถจะอยู่ชั้นใต้ดิน คั่นด้วยชั้นส่วน Lobby และงานระบบ ขนาดพื้นที่ของห้อง Loft ก็จะนับแค่ชั้นล่างนะครับ ยังไม่รวมชั้นบนที่จะมีพื้นที่เพิ่มเติมมาอีก 10-15 ตารางเมตร

1 Bedroom 28.50-28.75 ตารางเมตร

(พื้นที่ใช้สอย 40.75 – 41.25 ตารางเมตร)

(กดที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่)

การวางผังห้องจะวางห้อง 28.5 ตารางเมตรที่เป็นห้องเล็กสุดอยู่ทิศใต้ที่หันไปทาง Spring Tower ครับ เป็นห้อง Loft แปลนค่อนข้างมาตรฐาน เปิดเข้ามาเจอครัวกับห้องน้ำ มีห้องนอนอยู่ชั้นบน ส่วนติดหน้าต่างเปิดโล่งเพดานสูงครับ ห้อง Type นี้จะเป็นห้องที่ราคาเบาที่สุดของโครงการ


1 Bedroom 34.25-35.50 ตารางเมตร

(พื้นที่ใช้สอย 49.00 – 50.50 ตารางเมตร)

(กดที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่)

ส่วนห้อง 34-35 ตารางเมตรจะอยู่ทิศตะวันตกและทิศเหนือครับ แปลนห้องจะคล้ายกับห้องขนาด 28 ตารางเมตร แต่จะได้หน้ากว้างของห้องที่มากขึ้น มีพื้นที่วางโต๊ะรับประทานอาหารหลังโซฟา ได้ห้องนอนกว้างขึ้น ห้อง Type นี้จะเป็น Type ที่มีเยอะที่สุดในโครงการครับ


2 Bedroom ห้องมุม 42.75-45.75 ตารางเมตร

(พื้นที่ใช้สอย 62.75 – 69.50 ตารางเมตร)

(กดที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่)

ห้อง Type นี้จะจัดไว้ที่มุมของทั้ง 4 ด้านของอาคารครับ เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีก Step นึง มีพื้นที่ 46 ตารางเมตรโดยที่ยังไม่รวมชั้นบน ทำให้ห้องนี้ทำเป็น 2 ห้องนอนได้ ได้ห้องนั่งเล่นหน้ากว้าง สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือจะได้ห้องน้ำอยู่ที่ห้องนอนด้านบนด้วย พื้นที่เปิดโล่ง Double Volume อาจจะไม่ได้กว้างเท่าห้อง 35 ตารางเมตร แต่จะได้ห้องนอนชั้นล่างเพิ่มมาอีกห้องเลยครับ


2 Bedroom หน้าลึก 45.75-46.75 ตารางเมตร

(พื้นที่ใช้สอย 74.71 – 75.96 ตารางเมตร)

(กดที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่)

ห้อง Type นี้จะอยู่ทิศที่หันไปด้านหน้าโครงการชั้นละ 2 ห้อง มีตั้งแต่ชั้น 5-22 ครับ ห้องนี้จะเป็นห้องแบบตอนลึกครับ จุดเด่นคือเป็นห้อง 2 Bed ที่ชั้นบนมีพื้นที่ Walkin-Closet ขนาดใหญ่เลย ห้องนี้จะได้ห้องน้ำที่ชั้นบนด้วยเช่นกัน



ห้อง Simplex ชั้น 23-24

ชั้น 23 นี้จะเป็นอยู่ก่อนถึง Main Facility ที่ชั้น 24 ครับ จะเป็นห้อง Simplex ที่ค่อนข้างใหญ่หน่อย ทั้งชั้นมี 11 ห้อง เริ่มต้นที่ 43-47.75 ตารางเมตร และมีห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 57.25 ตารางเมตร ส่วนห้องใหญ่สุดจะเป็น 2 Bedroom ขนาดประมาณ 70-71 ตารางเมตร 3 ห้องครับ เกือบทั้งหมดจะเป็นห้องหน้ากว้าง ชั้นนี้จะมีพื้นที่ Pocket Garden ด้วยครับ

(กดที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่)

สำหรับชั้น 24 ที่เป็นชั้น Facility ก็จะมีห้องพัก 3 ห้องด้วยกัน เป็นห้อง 1 Bedroom ขนาด 43 ตารางเมตร 2 ห้อง และห้อง 2 Bedroom 1 ห้อง แปลนห้องแบบเดียวกับชั้น 23 ครับ

(กดที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่)


ห้อง Simplex ชั้น 26-31

เหนือชั้นส่วนกลางขึ้นมาก็จะเป็นชั้นของห้อง Simplex ล้วนๆ ครับ แปลนแต่ละชั้นค่อนข้างคล้ายกัน มีชั้นละ 6 ห้องเท่านั้น ยกเว้นชั้น 30 ที่มีบางส่วนกลายเป็น Pocket Garden มี 5 ห้อง และชั้น 31 ที่เป็นชั้นบนสุดชั้นนี้จะมีห้องพิเศษเป็น 3 Bedroom ทำให้ชั้นนี้เหลือแค่ 4 ห้องครับ

(กดที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่)

1 Bedroom 31.25-32.25 ตารางเมตร

ห้องนี้จะอยู่ที่ชั้น 26-31 ของโครงการ ชั้นละ 1 ห้องครับ เท่ากับว่าทั้งโครงการมีห้อง Type นี้แค่ 6 ห้อง ซึ่งห้องนี้จะเป็นห้องที่ขนาดเล็กสุดของโครงการ (ถ้านับพื้นที่ใช้สอยชั้นบนของห้อง Loft) แต่ด้วยความที่ห้อง Type นี้จะอยู่ในตำแหน่งชั้นสูงทั้งหมด วิวพ้นจากตึก Spring Tower แล้ว ถึงพื้นที่จะน้อยกว่า แต่ราคาของห้อง Loft 28 ตารางเมตรเลยจะเริ่มต้นถูกกว่าครับ

อ่อ ห้องนี้ที่ชั้น 30 และ 31 จะได้เป็นห้องมุม ผนังอีกฝั่งไม่ติดกับใครด้วยครับ


2 Bedroom 60-89.5 ตารางเมตร

อีก 5 ห้องที่เหลือของแต่ละชั้นจะเป็นห้อง 2 Bedroom ทั้งหมดเลยครับ เป็นห้องมุมไปแล้ว 4 ห้องครับ ซึ่ง 2 Bedroom แบบ Simplex ของโครงการนี้ก็จะค่อนข้างกว้างเลยครับ มีหลายห้องที่อยู่ระดับ 70-80 กว่าตารางเมตร จะมีบางห้องที่มีห้องน้ำติดหน้าต่าง และมีอ่างอาบน้ำชมวิวมาให้ครับ

(กดที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่)


3 Bedroom 114.5 – 117.25 ตารางเมตร

สำหรับห้อง 3 Bedroom จะเป็นห้องที่ค่อนข้างพิเศษของโครงการ ทั้งตึกมีแค่ 3 ห้องอยู่ที่ชั้นบนสุดครับ ห้องนี้นอกจากพื้นที่จะเยอะแล้ว จะมี Detail ในห้องบางอย่างที่เพิ่มเติมให้ อย่างชุดครัวจะได้ตู้เย็นบิวด์อินมาด้วยครับ รวมถึงได้ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำเช่นกัน

(กดที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่)


มาดูห้องตัวอย่าง

ตัวโครงการจะเปิด Presales ครั้งแรกในวันที่ 4-5 พฤศจิกายน 2566 นี้ครับ โดยทำ Sales Gallery เอาไว้บนที่ตั้งจริงของโครงการ บรรยากาศภายใน Sales Gallery ก็จะจำลองฟีลลิ่งมาจากตัวโครงการจริงเลย รวมถึงมี Art Piece บางชิ้นที่จะถูกติดตั้งไว้ในโครงการ นำเอามาโชว์ไว้ที่ Sales Gallery ก่อนด้วย ตอนนี้เปิดให้เข้าชมห้องตัวอย่างเป็นที่เรียบร้อยครับ ส่วนตึกโครงการตอนนี้เริ่มก่อสร้างเป็นที่เรียบร้อย

โดยที่ห้องตัวของที่โครงการทำไว้จะมีทั้งหมด 2 ห้องด้วยกันครับ เป็นห้องไซส์ 1 Bedroom ขนาด 35.00 – 35.50 ตารางเมตร และห้อง 2 Bedroom ขนาด 41.75 – 43.25 ตารางเมตร เดี๋ยวเราพาไปดูห้องตัวอย่างทั้ง 2 ห้องกันครับ

1 Bedroom ขนาด 35.00 – 35.50 ตร.ม.

(พื้นที่ใช้สอย 49.00 – 50.50 ตร.ม.)

เป็นห้องที่โซน Living ขนาดใหญ่ ได้ครัวปิด มีห้องนอนอยู่ชั้นบน

ห้องตัวอย่างของที่นี่จะมีทั้งหมด 2 ห้องด้วยกันนะครับ เป็นห้องแบบ Loft ทั้งคู่เลย โดยห้องแรกที่ผมจะพาไปดูเป็น 1 Bedroom ขนาด 35.00 – 35.50 ตารางเมตร (พื้นที่ใช้สอยรวมชั้นบน 49.00 – 50.50 ตารางเมตร) ห้องนี้จะได้โซน Living ที่กว้าง ดึงข้อดีของความเป็นห้อง Loft ออกมาได้ดีพอสมควร จากแปลนจะเห็นว่าเปิดประตูเข้ามาจะเจอครัวก่อนเลย เป็นครัวปิดที่มีประตูบานเลื่อนกระจกกั้นเอาไว้ ซึ่งโซนครัวเองก็ไม่ได้แคบนะ เคาน์เตอร์ทำอาหารจริงจังได้ มีตู้เก็บของให้เยอะทั้งฝั่งเคาน์เตอร์ครัวและฝั่งตู้เย็น อีกทั้งยัง Built-in ตู้เก็บรองเท้ามาให้เรียบร้อยแล้วด้วย

ส่วนโซน Living ก็จะรวมทั้งมุมนั่งเล่น มุมกินข้าวและมุมทำงานมาไว้ด้วยกันเลย เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมส่วนใหญ่ในห้อง ส่วนห้องน้ำก็จะอยู่ด้านล่าง ด้านบนจะเป็นห้องนอน มีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ และมีมุมสำหรับโต๊ะเครื่องแป้งด้วยฮะ

เปิดเข้ามาเจอครัวแบบรูปด้านล่างเลย ฝั่งขวาจะเป็นเคาน์เตอร์ครัว ส่วนฝั่งซ้ายเป็นที่วางตู้เย็นกับตู้เก็บรองเท้า

ครัวที่นี่มีพื้นที่ค่อนข้างเยอะ เคาน์เตอร์ครัวเก็บของได้ มีลิ้นชักสำหรับใส่ของจุกจิกมาให้ด้วย ตู้เก็บของด้านบนทำเป็นกระจกลอนแก้ว สวยไปอีกแบบฮะ ไม่ค่อยเห็นที่ไหนใช้เท่าไหร่นะ ส่วนใหญ่ก็จะปิดทึบกันไปเลยมากกว่า ในส่วนของตู้เก็บรองเท้าเขาทำเป็นชั้นวางรองเท้าที่หมุนได้แบบ 360 องศา เราจะหมุนกลับไปมาหารองเท้ายังไงก็ได้ ชั้นก็ปรับระดับได้ ผมว่าค่อนข้างตอบโจทย์คนที่มีรองเท้าเยอะมากๆ แต่ไม่มีที่เก็บ หรือบางทีแขกมาห้องก็ไม่มีที่ไว้รองเท้า ชั้นนี้ก็จะทำให้แขกไม่ต้องวางรองเท้าด้านนอกฮะ ใส่ด้านในได้ ดูไม่รกสายตาดี

ส่วนโซน Living จะอยู่ตรงกลางห้องเลย สามารถวางโซฟาขนาดใหญ่ได้ฮะ ถ้าวางโต๊ะกาแฟแบบเล็กๆ หน่อย ก็จะไม่เกะกะทางเดิน วางของได้แถมสวยด้วย ตรงห้องนั่งเล่นจะได้เพดานสูง 4.5 เมตร ทำให้ห้องดูโปร่งมากๆ ฮะ แล้วกระจกหน้าต่างให้มาแบบเต็มๆ ทั้งผนังตั้งแต่พื้นยาวไปถึงเพดานเลย

ฝั่งตรงข้ามโซฟาวางเป็นชั้นวางทีวี จะ Built-in ชั้นแบบในห้องตัวอย่าง หรือวางแค่ทีวีอย่างเดียวก็เก๋ฮะ

มุมกินข้าววางติดกับโซฟาได้เลย แล้วแต่ว่าเราจะวางโต๊ะทรงไหน วางแบบไหนก็ได้ พื้นที่ยืดหยุ่นอยู่นะ

มุมทำงานอยู่ริมหน้าต่างเลย ได้วิวเมือง จริงๆ มุมนี้เราสามารถปรับเปลี่ยนเป็นมุมอื่นๆ ได้นะครับ ถ้าเพื่อนๆ ไม่ได้อยากได้มุมทำงาน จะทำเป็น Daybed เพิ่มมุมพักผ่อนให้กับห้องก็ได้เหมือนกัน

ห้องน้ำด้านล่างก็จะได้เหมือนกับห้องตัวอย่างเลยฮะ ชักโครกเป็นแบบ Washlet ของ Toto ด้วย กระจกก็มีให้ 2 ชั้น คือชั้นที่ติดกับผนัง กับกระจกด้านหน้าที่มีไฟในตัว ถ้าใครอาบน้ำอุ่น แล้วกระจกชอบเป็นฝ้าประจำ ตัวกระจกด้านหน้าเองเขาก็มีระบบไล่ฝ้ามาให้ด้วย กดปุ่มจากบนกระจกได้เลย เปิดไฟแต่งหน้าได้ ไล่ฝ้าได้ ส่วนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าก็เป็นแบบลิ้นชัก ไม่ได้เป็นประตูบานพับ ด้านในแบ่งช่องเก็บของมาให้ ห้องอาบน้ำมีประตูกระจก และ Rain Shower ติดตั้งมาให้ด้วย ห้องน้ำที่นี่ด้วยความที่พื้นกับผนังสีมาในโทนสีสว่าง ขาวๆ คลีนๆ แล้ว เขาเลยเลือกใช้วัสดุต่างๆ ในห้องน้ำทั้งก๊อก, ฝักบัว, Rain Shower ของ Kohler เป็นสีดำ เพื่อให้ดูสวยและทันสมัยมากยิ่งขึ้นครับ

ตู้เก็บของใต้บันไดทางโครงการจะ Built-in มาให้เลยนะครับ แต่ห้องใต้บันไดก็จะแตกต่างกันไปตามขนาดของห้องด้วย สำหรับห้องนี้ก็จะมีชั้นวาง และพื้นที่ด้านข้าง เผื่อเราจะไว้กระเป๋าเดินทาง ของใช้จุกจิกต่างๆ ก็จะไม่ไปเกะกะพื้นที่ในห้อง ไม่ทำให้ห้องรกด้วย

ระเบียงที่นี่จะสูง 4.5 เมตรเหมือนกัน ส่วนที่เป็นคอมเพรสเซอร์แอร์เขาจะทำเป็นห้องระแนงไปเลย เพื่อความสวยงาม สามารถวางเครื่องซักผ้าได้ มีปลั๊กมาให้เรียบร้อย พื้นที่ระเบียงจะเป็นแนวยาวฮะ ไม่ได้กว้างมาก

มาต่อกันที่ห้องนอน เป็นห้องนอนที่ค่อนข้างใหญ่เลยแหละ วางเตียงขนาด 6 ฟุตได้ชิวๆ วางโต๊ะข้างเตียงได้ทั้งสองฝั่ง ห้องนอนชั้นบนที่นี่จะออกแบบมามีกระจกกั้นเป็นห้องให้เลย เพื่อคามเป็นส่วนตัว หน้าต่างกระจกที่เขาติดตั้งมาให้จะมีบานกระทุ้งอยู่ 2 จุดด้วย เผื่อเราอยากเปิดระบายอากาศให้ถ่ายเท ข้อดีคือถ้าอยู่หลายคนด้านล่างเปิดทีวีหรือมีเสียง ด้านบนก็ยังเป็นส่วนตัวอยู่ครับ รวมถึงแอร์ก็จะเปลืองน้อยกว่า และใครที่ขี้รำคาญเสียงจากถนนภายนอก พอห้องนอนปิดแบบนี้ก็จะเหมือนมีหน้าต่างสองชั้น กันเสียงจากรอบนอกไปได้น่าจะหายห่วงครับ

ตู้เสื้อผ้าทางโครงการจะ Built-in มาให้เรียบร้อย เป็นหน้าบานกระจก ด้านในมีตู้เซฟติดตั้งมาให้ด้วยนะ เป็นตู้เซฟแบบไม่ตะโกน ไม่กระโตกกระตาก ถ้าเพื่อนๆ กดรหัสแล้วลิ้นชักก็จะเปิดออกมาแบบกว้างๆ ได้นะ ถ้าไม่ได้กดรหัสเราก็จะเปิดได้แค่นี้ฮะ ด้านนอกห้องนอนตรงที่ขึ้นบันไดมาจะเจอกับมุมโต๊ะเครื่องแป้ง ทางโครงการเขาแต่งเป็นไอเดียให้เป็นมุมแต่งหน้า เพื่อนๆ สามารถเปลี่ยนเป็นมุมอื่นได้นะ

แอร์ที่นี่จะใช้ของ Samsung เป็นรุ่น WindFree แบบ 4 ทิศทาง (รูปด้านล่างทางซ้ายมือ) ข้อดีของการใช้แอร์แบบนี้คือเขาจะปล่อยลมเย็นออกมา แต่ไม่ปะทะตัวเรา สามารถรักษาความเย็นให้อยู่ในระดับที่ต้องการได้ บานสวิงมีขนาดใหญ่ ทำให้ลมเย็นจากแอร์กระจายออกไปได้กว้างขึ้นฮะ แอร์รุ่นนี้จะติดในห้องนั่งเล่น แต่ถ้าเป็นห้องนอนเขาจะใช้แอร์รุ่น WindFree เหมือนกัน แต่เป็นแบบ 1 ทิศทาง ตัวเครื่องจะแนบไปกับเพดานด้านบนเลย ไม่เป็นแบบติดผนังดูเทอะทะแล้วฮะ

2 Bedroom 2 Bathroom ขนาด 41.75 – 43.25 ตร.ม.

(พื้นที่ใช้สอย 62.75 – 69.50 ตร.ม.)

เป็น 2 ห้องนอนที่ได้ 2 ห้องน้ำด้วย สะดวกกับคนที่อยู่ชั้นบนไม่ต้องเดินลงมาเข้าห้องน้ำด้านล่าง

ห้องนี้ด้วยความที่เขาเอาบันไดมาไว้ด้านหน้า ดังนั้นมุมที่ติดหน้าต่างก็จะเป็นโซน Living ทั้งหมดเลย แต่ตรงโถงทางเข้าก็จะมีตูเก็บรองเท้าด้วยนะครับ เป็นห้องที่ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว เพราะด้านนอกจะไม่เห็นว่าคนในห้องกำลังทำกิจกรรมอะไรอยู่ ใจกลางห้องจะเป็นโซน Living ทั้งหมด ห้องนี้จะเป็นครัวเปิดนะครับ ส่วนมุมที่เป็นห้องนอนเล็กจะได้ประตูบานเลื่อนกระจก ห้องน้ำด้านล่างก็เข้าออกได้สองทาง ส่วนชั้นบนจะเป็นห้องนอนใหญ่ มีห้องน้ำในตัว

ถ้าเพื่อนๆ เดินเข้ามาในห้องก็จะเจอโถงสูงๆ แบบนี้เลย ฝั่งซ้ายจะเป็นตู้เก็บรองเท้า

อย่างที่บอกไปฮะว่าชั้นหมุนได้ 360 องศา แต่ละชั้นก็ปรับตามขนาดรองเท้าของเราได้ อันนี้มีให้ทุกห้องนะครับ

มุมบันไดก็จะมีราวจับมาให้ด้วย สำหรับตัววัสดุพื้นของขั้นบันไดและพื้นห้องส่วนที่เป็น Livingroom/Bedroom จะเป็นพื้นไม้ Engineering Wood ครับ

ถัดจากบันไดมาก็จะเป็นโซน Living เลย โซน Double volume อาจจะเล็กกว่าห้องเมื่อสักครู่เล็กน้อย แต่ได้ห้องนอนเพิ่มมาอีก 1 ห้องเลยครับ ด้วยความที่ไอเดียการตกแต่งห้องนี้เขาทำเป็น 1 ห้องนอน แล้วเอาห้องนอนเล็กทำเป็นมุมกินข้าว มุมทำงาน หรือมุมพักผ่อนแทน ดังนั้นตรงกลางห้องก็จะเป็นมุมนั่งเล่นล้วนๆ เลย วางโซฟาขนาดใหญ่แล้ว ยังวางอาร์มแชร์ได้อีก ช่องแสงที่ได้ก็จะมาจากประตูบานเลื่อนขนาดใหญ่ฮะ