พูดถึงย่านรามคำแหง ช่วงนี้ก็ต้องบอกว่าเพิ่งจะมีข่าวดีสำหรับย่านนี้ไปครับ กับการที่ทางภาครัฐสามารถตกลงได้แล้วว่าใครจะมาเป็นผู้ได้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีส้ม ทำให้มีกำหนดการที่ชัดเจนออกมาว่าในอีกประมาณ 3-4 ปี เราจะได้ใช้รถไฟฟ้าสีส้มกันแน่ๆ แล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่ติดขัดกันมาสักพักใหญ่
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อรถไฟฟ้าเปิดใช้งาน ก็จะทำให้ย่านรามคำแหงเชื่อมต่อไปในย่านต่างๆ และเดินทางได้สะดวกขึ้น ดังนั้นวันนี้เราเลยจะขอพาไปรู้จักกับคอนโดใหม่ในย่านราม อย่างโครงการ
“ดีคอนโด คาล์ม รามคำแหง 40”
คอนโดโครงการใหม่จาก “แสนสิริ” ที่รอบนี้มาในทำเลรามคำแหง จับทำเลตั้งอยู่ในซอยรามคำแหง 40 ที่มีจุดเด่นเป็นทำเลใกล้รถไฟฟ้า 650 เมตร แต่มาในราคาที่จับต้องได้มากกว่า เริ่ม 1.59 ล้านบาทครับ เหมาะกับทั้งกลุ่มคนทำงานในย่านและใครที่มองหาคอนโดในรถไฟฟ้าในราคาที่จับต้องได้
ที่นี่จะเป็นอย่างไร จะน่าสน วันนี้เราจะพามารู้จักโครงการนี้กันแบบเจาะลึกกันครับ
จุดเด่นโครงการ
Hideaway home
ยูนิตไม่เยอะ ได้ส่วนกลางครบ
ราคาจับต้องได้ เริ่ม 1.59 ล้านบาท
ใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีส้ม
650 เมตร หน้าปากซอยโครงการ
รามคำแหง
ย่านชุมชนเก่าแก่ของกรุงเทพฯ โซนตะวันออก ที่วันนี้รถไฟฟ้ากำลังจะมาถึง
ถ้าพูดถึงย่านรามคำแหง ต้องบอกเลยว่าย่านนี้เองก็เป็นอีกหนึ่งย่านที่มีความเป็นชุมชนที่เก่าแก่ของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกเลยครับ ถือว่าเป็นถนนสายเมนหลักของความเจริญในยุค 252x-253x เลยก็ว่าได้ จากการที่เมืองขยายตัวออกมา และตัวถนนรามคำแหงเองก็เชื่อมต่อโดยตรงกับถนนปรีดีพนมยงค์หรือซอยสุขุมวิท 71
ซึ่งฝั่งสุขุมวิท 71 หรือพระโขนงตรงนี้ ในอดีตก็ถือว่าเป็นย่านที่ค่อนข้างมีความเจริญพอสมควร จะมีห้างต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไทยไดมารู, ห้างเอเชี่ยน, ห้างเอดิสัน รวมไปถึงมีโรงหนังแบบ Standalone ที่นิยมเปิดกันในยุคนั้น มาเปิดย่านนี้หลายโรง น่าจะพอเห็นภาพความคึกคักของย่านพระโขนงในอดีตกันได้ (ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว)
โดยที่ย่านรามคำแหงที่ตัดตรงมาจากย่านพระโขนง ย่านนี้ก็จะได้รับอิทธิพลความเจริญต่างๆ ตามมาด้วยเช่นกัน เราจะเห็นว่าในยุค 252x-253x ย่านแถวๆ นี้จะมีการเติบโตขึ้นมาก รามคำแหงเองก็จะมีหมู่บ้านจัดสรรต่างๆ มาเปิด รวมถึงมีห้างที่มาตั้งในทำเลรามคำแหงในยุคนี้กันหลายห้าง อย่างเช่น The Mall รามคำแหง, ห้างเวลโก้ หรืออย่างห้างพาต้าก็เคยมาเปิดสาขาที่ถนนรามคำแหงด้วยเช่นเดียวกันครับ
อีกทั้งยังมีหน่วยงานราชการและมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่อย่างการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และมหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำให้ย่านรามเป็นอีกย่านที่มีคนอยู่กันอย่างคึกคัก ทั้งผู้คนที่อยู่อาศัยในย่านนี้ หรือผู้ที่อยู่ในย่านอื่นแต่ก็เข้ามาทำงานในย่านนี้ด้วยเช่นกัน ด้วยความเป็นแหล่งงานของย่านรามคำแหง
แต่สังเกตไหมครับว่า มีช่วงหนึ่งที่การเติบโตของรามคำแหงเหมือนจะเงียบๆ ไป…
ถ้าเราลองดูในช่วงหลังจากปี 2540 ไป ทำเลรามคำแหงก็ดูจะไม่ได้เติบโตแบบก้าวกระโดดสักเท่าไหร่ เหตุผลหนึ่งจากการวิเคราะห์ของทีมงาน ก็มองว่าปัจจัยนึงที่หนีไปไม่พ้นเลย คือการมาของรถไฟฟ้า BTS และ MRT ในยุคนั้นครับ ตอนนั้นประเทศไทยเพิ่งจะมีรถไฟฟ้าเป็นครั้งแรก การเจริญเติบโตของเมืองก็เลยถูก Shape ไปตามทิศทางที่รถไฟฟ้าวิ่งไป สังเกตว่าช่วง 2540-2550 เป็นยุคที่อ่อนนุชโตขึ้นมาก รัชดาก็เติบโตจากการมีรถไฟฟ้าใต้ดินเช่นกัน
ส่วนรามคำแหงช่วง 2540-2560 อาจจะดูไม่ได้โตแบบหวือหวามากนัก หากเทียบกับย่านอื่น แต่นั่นก็เป็นข้อดีของทำเลนี้เช่นกัน ที่ทำให้ย่านนี้ยังเป็นย่านที่ราคาจับต้องได้ ในทำเลที่ไม่ไกลเมือง ขณะที่ปัจจุบัน เราอาจจะเห็นหลายๆ ทำเลติดรถไฟฟ้าที่ราคาไปไกลแล้วครับ หรือไม่ถ้าจะหาคอนโดราคาเริ่มต้นเลข 1 บางทีก็ต้องถึงกับนั่งรถไฟฟ้าข้ามจังหวัดเลย
“ดังนั้นการที่ย่านนี้ยังไม่ถูกพัฒนาเสร็จสมบูรณ์เต็มที่ ก็เลยกลายเป็นข้อดีที่ทำให้ราคายังเข้าถึงได้ด้วยเช่นกัน”
แต่ก็ไม่ใช่ว่าย่านรามจะไม่มีอนาคตนะครับ เพราะตอนนี้อนาคตมารออยู่แล้ว กับรถไฟฟ้าสายสีส้มที่รอวันเปิดใช้งาน โดยตั้งแต่ช่วงปี 2560 เป็นต้นมา เราจะเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวต่างๆ เริ่มมีตึกใหม่ๆ มา ห้างต่างๆ เริ่มทยอยกัน Renovate หรืออย่างคอนโดนี่ก็เปิดกันพรึบตลอดสองข้างทางตั้งแต่ต้นถนนรามคำแหง
แล้วรถไฟฟ้าสายนี้สำคัญยังไง จะเปลี่ยนย่านรามคำแหงแค่ไหน เราลองมาทำความรู้จักรถไฟฟ้าสายนี้กันครับ
รถไฟฟ้าสายสีส้ม
รถไฟฟ้าสายใหม่ ที่ทำให้รามคำแหงกลับมาอีกครั้ง เชื่อมต่อตรงเข้าสู่ใจกลางเมือง
สำหรับรถไฟฟ้าสายสีส้ม ถือว่าเป็นรถไฟฟ้าสายหลักเส้นสำคัญเส้นนึงที่ยังขาดอยู่ของกรุงเทพมหานครครับ ด้วยเส้นทางของสายนี้ ที่จะวิ่งจากนอกเมืองทะลุเข้าไปใจกลางเมือง พาคนเข้าออกกรุงเทพจากทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งธน ถือเป็น Main line อีกเส้นของระบบรถไฟฟ้า ทำหน้าที่คล้ายกับรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว ที่ขนคนเข้าออกจากย่านรอบนอก เข้ามาสู่ใจกลางเมืองเช่นเดียวกัน
โดยเส้นทางของรถไฟฟ้าสายนี้ จะแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ส่วนครับ คือสายสีส้มตะวันออกและสายสีส้มตะวันตก
สายสีส้มตะวันออก : ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จแล้ว
เส้นทางของสายสีส้มตะวันออกจะเริ่มจากบริเวณแยกร่มเกล้า-มีนบุรี เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีชมพู วิ่งมาตามถนนรามคำแหงทั้งเส้น ตัดกับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่แยกลำสาลี ผ่านบริเวณหัวหมาก-กกท.-ม.รามคำแหง แล้วเลี้ยวไปตามถนนพระราม 9 ก่อนที่จะไปตัดถนนรัชดา ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมครับ
สายสีส้มตะวันตก : เซ็นสัญญาก่อสร้างแล้ว
สำหรับเส้นทางของสายสีส้มฝั่งตะวันตก จะเริ่มจากสถานีศูนย์วัฒนธรรม ทะลุผ่านประชาสงเคราะห์ไปออกดินแดง แล้วเลี้ยวเข้าราชปารภ มาตัดกับ BTS สายสุขุมวิทที่สถานีราชเทวีครับ หลังจากนั้นก็จะไปทางยมราช-หลานหลวง ผ่านย่านเมืองเก่าอย่างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย-สนามหลวง แล้วลอดใต้แม่น้ำ ผ่านโรงพยาบาลศิริราชและไปจบที่สถานีบางขุนนนท์ ที่ตัดกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน
จะเปิดเมื่อไหร่ ?
สำหรับกำหนดการเปิดให้บริการ ในฝั่งสายสีส้มตะวันออกที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เพิ่งมีการตกลงกันเรียบร้อยเรื่องของสัญญาผู้ให้บริการการเดินรถ โดยจะติดตั้งระบบและเปิดใช้ได้ในช่วงต้นปี 71 หรืออีกประมาณ 3 ปีกว่าครับ
ส่วนสายสีส้มฝั่งตะวันตกที่กำลังจะเริ่มก่อสร้าง ก็คาดว่าน่าจะได้ใช้บริการกันในช่วงปี 2573 ครับ
เปิดแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง ?
หลังจากที่รถไฟฟ้าสายสีส้มเปิดให้บริการในส่วนแรก ก็จะทำให้คนที่อยู่ในย่านรามคำแหง เดินทางเชื่อมต่อเข้าเมืองได้สะดวกขึ้น โดยจะสามารถไปเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินได้ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรม ซึ่งระยะจากต้นถนนรามคำแหง ไป MRT สายสีน้ำเงิน จริงๆ ก็ห่างกันแค่ 3 สถานีเท่านั้นเองครับ ก็จะเพิ่มความรวดเร็วในการเข้าเมืองสำหรับคนในย่านนี้พอสมควร ใกล้แหล่งงานในย่านรัชดา-พระราม 9 และอโศก-สุขุมวิท
แต่อีกไฮไลท์คือเมื่อสายนี้สร้างเสร็จเต็มรูปแบบ ก็จะเป็นสายที่วิ่งตรงเข้าไปถึงย่านกลางเมืองราชเทวี ที่ห่างเพียงแค่ 1 สถานีจากสยามเท่านั้น ถือว่ากลางเมืองมากๆ ครับ ทำให้จากย่านราม สามารถไปย่านสยาม-ประตูน้ำ ได้แบบเกือบที่จะตัดตรงเลย
และถ้าพูดถึงจำนวนสถานี ยกตัวอย่าง อย่างสถานี “รามคำแหง 40” ที่เป็นที่ตั้งโครงการ จะอยู่ห่างจากสถานีราชเทวีไป 11 สถานี เป็นจำนวนสถานีที่พอๆ กันกับจากราชเทวีไปเสนานิคม-ม.เกษตร หรือไปบางจาก-อ่อนนุชครับ ถือว่ายังเป็นโซนที่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองมาก ใช้เวลาเดินทางไม่นาน แต่เป็นย่านที่ราคาคอนโดตรงนี้ยังไม่สูงเกินไปนัก
ซึ่งการมาของรถไฟฟ้าสายสีส้มก็ไม่ได้สะดวกแค่กับชาวรามคำแหงอย่างเดียว แต่ยังมีหน้าที่ในการพาคนจากรถไฟฟ้าเส้นต่างๆ ที่อยู่รอบนอกอย่างคนจากรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่ย่านมีนบุรี รถไฟฟ้าสายสีเหลืองย่านลาดพร้าว-ศรีนครินทร์ มาเปลี่ยนสายเข้าสู่สายสีส้ม เพื่อตัดตรงเข้าสู่ใจกลางเมืองโดยที่ไม่ต้องนั่งอ้อมด้วยครับ
อินเตอร์เชนจ์ลำสาลี – บางกะปิ
ทั้ง Hub ของการเดินทาง และ Hub แหล่ง Lifestyle ของย่านรามคำแหง-บางกะปิ
ที่ตั้งของโครงการ dcondo calm รามคำแหง 40 จะอยู่ใกล้กับแยกลำสาลี ที่เป็นแยกใหญ่ของย่านนี้ด้วยครับ ในอดีตแยกลำสาลีอาจจะมีเชื่อเสียงในความเป็นสี่แยกที่เป็นจุดตัดของ 2 ถนนสายหลักในย่านนี้อย่างศรีนครินทร์และรามคำแหง
แต่ในอนาคตแยกนี้จะยิ่งเป็นจุดสำคัญมากยิ่งขึ้น ด้วยการที่เป็น Interchange ของรถไฟฟ้าถึง 3 สายด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่วิ่งอยู่บนถนนรามคำแหง รถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่วิ่งบนถนนศรีนครินทร์ และในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ที่มีเส้นทางจากแคราย-เกษตรนวมินทร์-แยกลำสาลี มาสิ้นสุดโครงการที่ตรงนี้อีก 1 สาย
ทำให้แยกตรงนี้เป็น Interchange ใหญ่ของย่าน ที่มีทางเลือกขึ้นรถไฟฟ้าไปได้หลายทาง ทั้งไปโซนราม, โซนลาดพร้าว, โซนศรีนครินทร์, โซนนวมินทร์, โซนมีนบุรี โดยที่จุดเด่นของโครงการจะอยู่ห่างจาก Interchange ลำสาลีเพียงแค่ 1 สถานีเท่านั้นครับ ถือว่าค่อนข้างใกล้เลย
ซึ่งนอกจากในเรื่องของรถไฟฟ้าแล้ว ในทางความเป็น Hub ของย่านนี้ก็จะอยู่ใกล้ๆ ตรงแยกนี้ด้วยเช่นเดียวกัน จากการที่มี The Mall บางกะปิมาตั้งอยู่ใกล้ๆ ทำให้ที่ตรงนี้เป็นแหล่ง Lifestyle ขนาดใหญ่ของย่าน แต่ The Mall ก็ไม่ได้มาแบบเดี่ยวๆ ครับ เพราะรอบข้างยังมีห้างต่างๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น Lotus’s ที่มีโรงหนังเมเจอร์, ตลาดบางกะปิ, ตะวันนา, Makro, N Mark Plaza (น้อมจิตร) และแฮปปี้แลนด์เซ็นเตอร์
โดยที่ด้านหลังของ The Mall บางกะปิจะมีถนนที่เชื่อมต่อกับฝั่งรามคำแหง และมีท่าเรือด่วนคลองแสนแสบอยู่ ทำให้ย่านตรงนี้ค่อนข้างจะมีความคึกคักมาก ทั้งคนที่มาพักผ่อน กินเที่ยว Shopping หรือเป็น hub สัญจรในการเดินทางแต่ละวัน
อนาคตของรามคำแหง จากการมาของรถไฟฟ้า
มีอีกหลายโปรเจค ที่เตรียมจะมา จากการขยายตัวของเมืองและการมาของรถไฟฟ้าสายใหม่
ตึกใหม่ในย่านนี้
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หลังจากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม ทำให้ย่านนี้มีโปรเจคตึกใหม่ๆ มาเปิดกันหลายที่เลยครับ ทั้งกลุ่มคอนโดต่างๆ รวมไปถึงอาคารสำนักงานใหม่ๆ ก็เริ่มเข้ามาในย่านรามคำแหง ไม่ว่าจะเป็นตึกโอสถสภา ที่มีดีไซน์ค่อนข้างโดดเด่น อยู่ใกล้กับกกท., หรือตึก Major Tower อาคารสำนักงานใหม่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับหัวมุมแยกรามคำแหง-พระราม 9 และตึกล่าสุดอย่าง Ramkhamheang Hills ของกลุ่ม UHG ที่เป็น Mixed-use มีพื้นที่ทั้งออฟฟิศและโรงแรมอยู่ในตึกนี้ครับ
การขยายถนนหัวหมาก (ช่วงรามคำแหง 24) หลัง ม.ราม
สำหรับถนนหัวหมากที่วิ่งขนานกับถนนรามคำแหง ในช่วงด้านหลังของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ถ้าใครเคยผ่าน จะเห็นว่าถนนตรงนี้เป็นคอขวด จาก 6 เลนกลายมาเป็น 2 เลนเล็กๆ ก่อนหน้านี้ทางกทม.มีแผนที่จะทำสะพานยกระดับข้าม แต่มีเสียงของชาวบ้านคัดค้าน จนปัจจุบันได้ข้อสรุปออกมาแล้วว่าเป็นการขยายถนนเป็น 4 เลนแทน ซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างการขยายถนนอยู่ครับ เมื่อแล้วเสร็จก็จะทำให้การเชื่อมต่อจากย่านรามคำแหงไปพระราม 9 – พัฒนาการ เดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น
The Mall รามคำแหง
ในด้านของ The Mall รามคำแหงเอง ที่เป็นห้างหลักของย่านนี้ ก็ชิงทุบไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน เพื่อเตรียมสร้างเป็นห้าง The Mall โฉมใหม่ ที่มีพื้นที่ใหญ่กว่าเดิม ต้อนรับการมาของรถไฟฟ้าสายใหม่ ซึ่งปัจจุบันแผนการเริ่มต้นก่อสร้างยังถูกเลื่อนมาอยู่ครับ มีข่าวลือว่าคาดว่าจะเริ่มสร้างได้ในช่วงเร็วๆ นี้ พร้อมกับตึกที่ปรับแบบดีไซน์ใหม่ (ในรูปด้านล่างยังเป็นแบบเก่านะครับ) ซึ่งถ้าเป็นตามนั้นก็น่าจะแล้วเสร็จช่วงไม่หนีจากที่รถไฟฟ้าสายสีส้มเปิดให้บริการมากครับ
ที่มารูป : Wasso.co.th
รถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล
สำหรับรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล จะเป็นสายที่วิ่งเชื่อมต่อระหว่างย่านแคราย-นนทบุรี ผ่านย่านงามวงศ์วาน, ม.เกษตร, ถนนเกษตร-นวมินทร์, ย่านเลียบด่วน, ย่านถนนนวมินทร์ แล้วมาสิ้นสุดที่ถนนรามคำแหง บริเวณแยกลำสาลีครับ เมื่อสร้างเสร็จก็จะทำให้คนที่อยู่ในย่านที่รถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลผ่าน เข้าเมืองและไปเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น
อย่างที่แยกลำสาลีที่ตัดกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม ก็เป็นอีกจุดนึงเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายนี้ครับ ทำให้คนในย่านรามสามารถไปย่านเลียบด่วน-ม.เกษตรได้ง่ายขึ้นเช่นกัน โดยที่สายนี้ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาเส้นทางเพิ่มเติม เพื่อที่จะทำควบคู่ไปกับทางด่วนขั้นที่ 3 บริเวณม.เกษตรครับ
National Sport Park
โปรเจคนี้ก็จะเป็นโปรเจคใหญ่ของทางกกท. ที่มีแผนจะปรับปรุงพื้นที่สนามกีฬาหัวหมากและราชมังให้ทันสมัยขึ้นครับ โดยตรงนี้มีพื้นที่กว่า 250 ไร่ ปัจจุบันเป็นศูนย์กีฬาต่างๆ รวมทั้งเป็นพื้นที่จัดงานกีฬาระดับนานาชาติและคอนเสิร์ต ซึ่งในอนาคตเตรียมปรับปรุงครั้งใหญ่ให้เป็น National Sports Park
แบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส ตั้งแต่ปี 2563 ไปจนถึงปี 2575 โดยคาดว่าจะใช้งบในการลงทุนกว่า 12,000 ล้านบาท โดยให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้ร่วมลงทุนครับ
อ่านข่าวเพิ่มเติม/ที่มารูป : ไทยรัฐ
ที่ตั้งโครงการ
ใจกลางย่านราม ใกล้รถไฟฟ้า แต่เขยิบเข้าซอยอีกนิด ในราคาที่ยังเอื้อมถึง
สำหรับที่ตั้งของโครงการ “dconco calm รามคำแหง 40” ก็จะตามชื่อเลยครับ ตั้งอยู่ในซอยรามคำแหง 40 ที่หน้าปากซอยจะเป็นที่ตั้งของรถไฟฟ้า MRT สายสีส้ม สถานีชื่อรามคำแหง 40 เช่นกัน
โดยตัวโครงการจะอยู่ถัดเข้ามาจากปากซอยประมาณ 650 เมตร เป็นระยะที่พอเดินได้ แต่ก็มีระยะหน่อยครับ ซึ่งตัวซอยรามคำแหง 40 จะเป็นซอยที่ถนนค่อนข้างกว้าง และสามารถทะลุไปออกถนนหัวหมากที่อยู่ด้านหลังได้ ทำให้นอกจากจะใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีส้มแล้ว ก็จะใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่สถานีศรีกรีฑาอีกด้วยครับ มีระยะห่างออกไปประมาณ 1.1 กิโลเมตร
ซึ่งด้วยระยะที่เข้าซอยมานิดนึง ที่นี่เลยมีจุดขายในเรื่องของความสงบ รวมไปถึงราคาที่จับต้องได้มากกว่า ในขณะที่คอนโดบนถนนเส้นรามคำแหงไปเริ่มกันที่ประมาณ 2 ล้าน แต่ที่นี่ยังอยู่ในเรทเริ่มต้นล้านกลางๆ ครับ
ซึ่งในระยะประมาณ 1 กิโลรอบโครงการ ก็จะใกล้กับรถไฟฟ้า 2 สาย ใกล้ท่าเรือคลองแสนแสบ ใกล้ The Mall บางกะปิและ Makro และมีโรงพยาบาลรามคำแหง ที่เป็นโรงพยาบาลใหญ่ของย่านนี้ตั้งอยู่ครับ
บรรยากาศซอยรามคำแหง 40
บรรยากาศของซอยรามคำแหง 40 ก็ถือว่าเป็นซอยนึงที่ค่อนข้างกว้างเลยทีเดียวครับ โดยเฉพาะปากซอยและท้ายซอยที่กว้างเกือบๆ จะเป็นถนน 4 เลน ส่วนช่วงกลางซอยที่เป็นถนนสองเลนสวนกันก็ยังกว้างพอให้จอดรถที่ริมถนนได้ โดยที่รถยังสวนกันได้ตามปกติ โดยที่ซอยนี้จะสลับกันจอดแบบวันคู่วันคี่คนละฝั่งครับ จุดดีอีกอย่างคือซอยนี้เป็นซอยที่มีฟุตบาททั้ง 2 ฝั่ง และกำลังมีการปรับปรุงฟุตบาทใหม่อยู่ด้วยครับ เดินค่อนข้างง่าย ไม่ต้องลงถนนเดินกับรถ
เมื่อเดินเข้ามาในซอยนี้ บรรยากาศข้างในก็จะมีร้านของกินต่างๆ เป็นระยะ เนื่องจากในซอยจะมีทั้งคอนโดมิเนียม, อพาร์ทเมนต์และโรงแรมตั้งอยู่ค่อนข้างเยอะ ดังนั้นร้านของกินต่างๆ ก็จะมีตลอดตามทางที่เดินเข้ามา อย่างก่อนถึงโครงการเราก็จะเจอกับเซเว่นที่อยู่ในซอยนี้ 2 สาขาเลยครับ และเป็นสาขาที่มีขนาดใหญ่ทั้งคู่
ส่วนที่ติดกับที่ตั้งโครงการจะเป็นอาคารฝักข้าวโพดที่เป็นคอนโดมิเนียมเช่นกัน ขนาดค่อนข้างใหญ่ ดังนั้นก็จะมีความคึกคักมีร้านค้าอยู่ใกล้ๆ ครับ
สิ่งอำนวยความสะดวก
ในมุมของสิ่งอำนวยความสะดวกใกล้เคียง อย่างที่บอกไปว่าจุดที่ใกล้ที่สุด จะเป็นโซนเดอะมอลล์บางกะปิ ที่อยู่ห่างจากโครงการประมาณกิโลนิดๆ ครับ ตรงนี้ก็จะมึห้างและตลาดรอบด้านหลายห้าง แต่ถ้าลองเขยิบออกมา บนเส้นถนนรามคำแหงเองก็มีห้างต่างๆ ค่อนข้างเยอะ ด้วยความเป็นแหล่งชุมชนดั้งเดิม อย่างเช่นช่วงต้นถนนจะมีทั้ง Foodland, The Mall รามคำแหง (ที่ตอนนี้ปิดเตรียมที่จะ สร้างใหม่), Major Hollywood และ Big C หัวหมาก นอกจากนี้ช่วงหน้ารามและกกท.ก็เป็นย่านที่ค่อนข้างคึกคักครับ มีตลาดต่างๆ อยู่ หรือถ้าทะลุไปถนนเส้นรอบข้างฝั่งพระราม 9 ก็จะมี The Nine หรือฝั่ง Town in Town ก็จะมีคอมมูนิตี้อย่าง The Scene และร้านต่างๆ รอบข้างค่อนข้างเยอะ หรือถ้าเราวิ่งตามถนนรามคำแหงฝั่งออกนอกเมืองก็จะมี Big C Extra, Go Wholesale และ Paseo Town อีก
ในด้านของแหล่งงานในย่านนี้ ก็จะมีแหล่งงานขนาดใหญ่ ทั้งสำหรับกลุ่มคนต่างๆ ที่ทำงานในห้างย่านบางกะปิ-รามคำแหง และที่นี่จะอยู่ใกล้โรงพยาบาลใหญ่อย่างรพ.รามคำแหงและรพ.สมิติเวชครับ ก็จะค่อนข้างสะดวกสำหรับบุคลากรที่ทำงานอยู่ใน 2 โรงพยาบาลนี้
นอกจากนี้บนเส้นรามเองก็จะมีอาคารสำนักงานต่างๆ อยู่แล้ว อย่างล่าสุดช่วงต้นถนนของรามคำแหงก็เพิ่งมี Major Tower พระราม 9 – รามคำแหงมาเปิด และในอนาคตก็จะมี Ramkhamhaeng Hills ที่เป็นอาคารออฟฟิศระดับ Grade A กำลังจะเสร็จอีกเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ก็จะใกล้กับแหล่งงานย่านสุขุมวิทช่วงพระโขนง-เอกมัย-ทองหล่อ และไม่ไกลจากแหล่งงานย่านรัชดา-พระราม 9 ครับ
การเดินทาง
ย่านที่สามารถเดินทางได้ทั้งจากรถ เรือ ราง
รถไฟฟ้า
สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ในปัจจุบัน ก่อนที่รถไฟฟ้าสายสีส้มจะเสร็จ โครงการก็จะใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีกรีฑาครับ มีระยะห่างอยู่ประมาณ 1.1 กิโลเมตร เส้นนี่สามารถไปย่านศรีนครินทร์-ซีคอน-บางนา-สำโรงได้ หรือจะนั่งอีกฝั่งไปย่านบางกะปิ-ลาดพร้าว-เชื่อมต่อเข้าเมืองที่รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินแยกรัชดา-ลาดพร้าวก็ได้เช่นกัน
แต่ในอนาคต รถไฟฟ้าสายสีส้มจะมาเปิดที่หน้าปากซอยรามคำแหง 40 เลยครับ ห่างจากโครงการ 650 เมตร ในช่วงแรกจะเปิดให้บริการถึงสถานีศูนย์วัฒนธรรมก่อน ตรงนี้ก็จะทำให้การเชื่อมต่อเมืองง่ายยิ่งขึ้น สามารถไปจุดต่างๆ บนถนนเส้นรามคำแหงได้ในระยะเวลาแค่แปปเดียว หรือถ้าไปเชื่อมต่อรัชดาก็แค่ 6 สถานี หรือประมาณไม่เกิน 20 นาทีครับ
และหลังจากนั้นเมื่อรถไฟฟ้าเสร็จทั้งสาย จากที่โครงการวิ่งเข้าใจกลางเมืองอย่างย่านราชเทวี ตรงนี้ก็จะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงถึง ด้วยระยะสถานี 11 สถานี ก็ถือว่าค่อนข้างใกล้ครับ และยังสามารถเชื่อมต่อย่านเมืองเก่า หรือข้ามไปฝั่งธนเพื่อไปย่านจรัญฯ-รพ.ศิริราชได้
เรือ
อีกทางเลือกการเดินทาง ที่ถือว่าเป็น Shortcut ของย่านรามคำแหงเลยก็ว่าได้ คือการเดินทางด้วยเรือด่วนคลองแสนแสบครับ ตรงนี้จะสามารถลัดตัดตรงเข้าสู่เมือง โดยที่ไม่ต้องเจอกับการจราจรรวมไปถึงรถติดต่างๆ ได้ ก็จะสะดวกสำหรับใครที่เดินทางเข้าใจกลางเมืองอย่างย่านอโศก, ราชประสงค์ หรือไปลงสะพานหัวช้างเพื่อไปสยามครับ ใช้เวลาไม่นานมัก โดยที่ท่าเรือที่ใกล้โครงการที่สุด จะเป็นท่าเรือเดอะมอลล์บางกะปิที่อยู่หลังเดอะมอลล์ครับ
รถยนต์
สำหรับใครที่ใช้รถยนต์ในการเดินทาง แน่นอนทำเลที่ตั้งก็จะอิงกับถนนรามคำแหงที่เป็นเส้นหลักของย่านนี้ครับ โดยจุดที่โครงการตั้งอยู่ที่เป็นซอยรามคำแหง 40 จะอยู่ระหว่างสะพานยกระดับทั้ง 2 สะพานพอดี คือถ้าเรามาจากในเมือง ก็สามารถขึ้นสะพานยกระดับด้านบน ข้ามโซนรถติดอย่างบริเวณหน้ารามและกกท. ผ่านแยกต่างๆ แล้วลงสะพาน กลับรถที่แยกลำสาลีแล้วเลี้ยวเข้าซอยได้เลย หรือถ้าตอนที่ออกจากโครงการเข้าเมือง ก็จะสามารถขึ้นสะพานต่างระดับยิงตรงยาวๆ เพื่อเข้าเมืองได้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีทางเลือกในการออกมาทางด้านหลัง ที่เชื่อมต่อกับถนนหัวหมากครับ ตรงนี้ก็จะเป็นอีกทางเลือกในการไปเชื่อมต่อถนนศรีนครินทร์ และใช้เป็นทางไปขึ้นทางด่วน นอกจากนี้ถ้าวิ่งไปตามถนนหัวหมากก็จะสามารถไปออกถนนถาวรธวัช ลอดใต้พระราม 9 แล้วไปเชื่อมต่อออกถนนพัฒนาการ-เพชรบุรีได้
ในส่วนของทางด่วน จะมีทางเลือกหลักๆ 2 ทางครับ คือถ้ามาจากในเมือง สามารถลงที่บริเวณถนนพระราม 9 ก่อนถึงแยกรามคำแหง แล้วเลี้ยวเข้าถนนรามคำแหงขึ้นสะพานต่างระดับตรงมาที่โครงการ กับอีกทาง คือลงทางลงถนนศรีนครินทร์ แล้วเลี้ยวเข้ามาทางถนนหัวหมากที่แยกศรีกรีฑา เข้าโครงการจากทางด้านหลังครับ ทางนี้ก็จะใกล้กว่า ก็อยู่ที่ว่าการจราจรในแต่ละวันเป็นแบบไหน มีทางเลือกให้ขึ้นทางด่วนได้ 2 ฝั่งครับ
ส่วนการเดินทางด้วยรถเมล์ รามคำแหงก็เป็นถนนอีกเส้นนึงที่เป็นถนนเก่าแก่และเป็นเส้นหลัก ดังนั้นก็จะมีรถเมล์หลายสายอยู่แล้วครับ
รูปแบบโครงการ dcondo calm
ไม่ไกลเมือง เข้าซอยมาหน่อย แต่ได้ความเงียบสงบที่มากกว่า ลดความวุ่นวาย
สำหรับแบรนด์ dcondo ก็เป็นแบรนด์ที่ราคาจับต้องได้ง่าย เริ่มต้นล้านกว่าๆ แต่ยังได้ Facilities ที่ครบครัน มีความเป็นกลิ่นอายของคอนโดสไตล์รีสอร์ท มีการออกแบบที่สวยงาม เช่นเดียวกับโครงการ “dcondo calm” ที่เราจะพาเพื่อนๆ มาดูวันนี้ด้วย
dcondo calm เขามีคอนเซปต์การออกแบบคือ Hide&Seek amoung Nature ด้วยความที่ทำเลโครงการไม่ได้อยู่ห่างจากในเมืองเลย ทั้งยังมีถนนเชื่อมต่อเข้าไปใจกลางเมืองได้หลากหลายเส้นทางด้วย เข้าซอยมาหน่อย แต่ได้ความเงียบสงบกว่า เหมือนเราได้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเมื่อเราเข้ามาในโครงการนี้ ตัวโครงการจะมาในโทนสีน้ำตาล ดูเงียบสงบเหมือนชื่อโครงการเลยครับ calm แต่ก็ไม่ลืมที่จะใส่สีสันอย่างสีส้มเข้ามาตัดกับสีน้ำตาล ให้ดูมีมิติและมีลูกเล่นมากยิ่งขึ้น
ที่นี่จะเป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น มีทั้งหมด 2 อาคารด้วยกัน ซึ่งทั้งสองอาคารจะเป็นรูปตัว L ที่ประกบกัน มองจากด้านบนแล้วจะเหมือนสี่เหลี่ยม ใจกลางโครงการเขาจะทำเป็นสระว่ายน้ำและสวนสีเขียว แต่ที่นี่จะขายแบบ Fully Fitted นะครับ คือได้ในส่วนของห้องน้ำกับเคาน์เตอร์ครัว ข้อดีคือเราสามารถแต่งห้องเองได้ตามไลฟ์สไตล์เลย
ข้อมูลโครงการ
ชื่อโครงการ | dcondo calm (ดีคอนโด คาล์ม) |
Developer : | แสนสิริ |
เนื้อที่โครงการ : | ประมาณ 3 ไร่ |
จำนวนห้องพักอาศัย : | 399 ยูนิต |
รูปแบบโครงการ : | Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร |
ลิฟต์ : | อาคารละ 2 ตัว |
ที่จอดรถ : | 35% |
ค่าส่วนกลาง : | 49 บาท/ตารางเมตร/เดือน |
ค่ากองทุน : | 500 บาท/ตารางเมตร |
Facility : | Main Lobby, Co-working Space, Vending Machines, Fitness, Mailboxes และ Laundry |
แบบห้อง : | 1 Bedroom ขนาด 24.50 – 30 ตารางเมตร 1 Bedroom Plus ขนาด 34 – 34.75 ตารางเมตร 2 Bedroom ขนาด 45.50 ตารางเมตร |
ราคา : | เริ่มต้น 1.59 ล้านบาท |
ราคาเฉลี่ย : | ประมาณ 68,500 บาท/ตารางเมตร |
สถานะโครงการ : | อยู่ระหว่างการเริ่มก่อสร้าง คาดว่าแล้วเสร็จช่วงปลายปี 2568 |
มาดูพื้นที่ส่วนกลาง
ได้สระว่ายน้ำและสวนสีเขียวขนาดใหญ่ใจกลางโครงการ
สำหรับ Facilities และพื้นที่ส่วนกลางของที่นี่ก็จะมีทั้ง Indoor และ Outdoor เลยครับ อย่างกิจกรรมในร่มก็จะมี Co-working Space, Fitness และ Vending Machines เวลาที่เราอยากหาไรกินรองท้อง แต่ไม่อยากเดินออกไปข้างนอกหรือไม่อยากสั่ง Delivery ตู้กดพวกนี้ก็ตอบโจทย์การอยู่ในคอนโดได้ดีเลย
ส่วนกิจกรรม Outdoor ก็จะมี Swimming Pool, Pool Deck&Seating, Greenery Meeting Point, Sansiri Backyard, Shading Pod, Embrace Garden, Relaxing Pavilion และ Tropical Court หลักๆ ก็เป็นสระว่ายน้ำกับสวนสีเขียวขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางโครงการฮะ
บรรยากาศรอบโครงการ
เริ่มจากหน้าโครงการ ด้านหน้าจะเป็นทางเข้าพร้อมกับป้อมรปภ.ครับ โดยที่เข้ามาจะเจอกับจุด Drop off ที่หน้า Main Lobby ของอาคาร A โดยที่พื้นที่ชั้น 1 ด้านนอกทั้งหมด จะจัดออกมาเป็นที่จอดรถ สามารถจอดได้ 35% ไม่รวมซ้อนคัน มีทั้งโซนที่อยู่ใต้ตึกแล้วก็โซนด้านนอก และมีจุดชาร์จสำหรับรถไฟฟ้า ซึ่งในที่จอดจะเป็นการเดินรถแบบ One Way เป็นส่วนใหญ่ ทำให้ในการใช้งานจริง ก็จะสามารถจอดซ้อนคันได้อีกค่อนข้างเยอะเลยทีเดียวครับ นอกจากนี้บริเวณรอบนอกของโครงการก็จะมีการปลูกต้นไม้ไว้เพื่อความร่มรื่นอีกด้วยครับ
Facility ด้านในอาคาร
Lobby
ตัว Lobby หลักของโครงการจะอยู่ที่อาคาร A ครับ จะมาในสีเอิร์ธโทน ดูสบายตาด้วยสีน้ำตาล ครีม ส้มอ่อน แต่เพิ่มโซฟาสีเขียวเข้าไป ดูเชื่อมกับด้านนอกที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้มากมาย ตัวเฟอร์นิเจอร์กับพรมเองก็มี Texture มีมิติ ทำให้ Lobby ดูมีลูกเล่นไม่น่าเบื่อแต่ก็ยังดูสงบผ่อนคลาย ตามคอนเซปต์ชื่อ Calm ของโครงการ
Co-working Space
ห้องนี้จะเป็นห้องที่ให้เราสามารถมานั่งทำงาน เปิดรับวิวกับพื้นที่สวนและสระว่ายน้ำส่วนกลาง งานดีไซน์จะเน้นไปที่เส้นสายความโค้ง ใช้สีส้มกับสีเหลืองเป็นหลัก ทำให้เรามีเอเนอจี้ในการทำงานหรือใช้ความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ มีพื้นที่ให้เลือกทั้งแบบนั่งคนเดียว หรือแบบกลุ่ม ทั้งยังมีวิวสวนด้านนอกให้มองด้วย ก็ค่อนข้างผ่อนคลาย ถึงจะไม่ได้มานั่งทำงาน ก็มานั่งเล่นชมวิวชิวๆ ได้ฮะ
Fitness
ห้องออกกำลังกายจะมีทั้ง Cardio และ Weight Training แน่นอนว่าต้องมาในโทนสีส้มเข้า Theme กับห้องอื่นๆ แน่นอน แต่การตกแต่งก็จะดู Active กว่า ซึ่งสีส้มเองก็จะช่วยให้เรามีเอเนอร์จี้ รู้สึกตื่นตัวเวลาออกกำลังกาย แล้วถ้าเพื่อนๆ ดูในรูปด้านล่างก็จะเห็นว่าเขาใช้กระจกรับวิวแบบเต็มผนังเลย ทำให้เรามองออกไปด้านนอกแล้วเห็นทั้งสวนกับสระว่ายน้ำได้อย่างเต็มๆ ตา
สระว่ายน้ำและสวนกลางโครงการ
Relaxing Pool
มาที่บริเวณไฮไลท์ของโครงการกับสวนและสระว่ายน้ำใจกลางโครงการขนาด 25×5 เมตร รายล้อมไปด้วยต้นไม้ ไม้พุ่ม และดอกไม้ต่างๆ เพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย และทำให้บรรยากาศรอบตัวเราผ่อนคลายเมื่อได้มาใช้พื้นที่ส่วนกลางตรงนี้ครับ ด้านข้างสระก็จะมี Daybed ให้เรานอนรับลมชิวๆ ด้วย
พื้นที่สวนสีเขียวแบบเล่นระดับ
เพื่อนๆ จะเห็นว่ารอบๆ สระว่ายน้ำจะมีพื้นที่สีเขียวเยอะเลยใช่มั๊ยครับ เขาจะแบ่งออกเป็นหลายโซนเลย มีทั้งโซนที่เป็น Pavilion ที่เป็นศาลาสีน้ำตาล โซน Embrace Garden เป็นที่นั่งแบบหลบมุมหน่อย มีต้นไม้บัง สำหรับคนชอบความเป็นส่วนตัว และโซน Greenery Meeting Point ที่มานั่งเล่นและนั่งทำงานได้
นอกจากนี้ยังมีสวนที่อยู่บนชั้น 2 ของอาคาร A บนห้อง Fitness ให้ขึ้นไปนั่งชมวิวด้วย พื้นที่สวนของที่นี่ ไม่ใช่แค่พักผ่อนได้อย่างเดียว เรายังสามารถเดินออกกำลังกายชิวๆ ได้ด้วยนะครับ
Sales Gallery ของโครงการ
อยู่ในซอยเดียวกับที่ตั้งของโครงการ ตัวอาคารสีน้ำตาลตัดกับส้ม มองเห็นง่าย
Sales Gallery กับที่ตั้งโครงการจริงจะอยู่คนละที่กันนะครับ แต่อยู่ในซอยเดียวกันเลย ห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร ก่อนถึงโครงการเล็กน้อย ตัว Sales Gallery เองก็จะมีห้องตัวอย่างให้ดูทั้งหมด 1 ห้องด้วยกัน จริงๆ ที่นี่เขาตั้งใจตกแต่งให้เป็น Theme เดียวกับโครงการเลยครับ ตัวผนังจะเป็นสีเรียบๆ แทรกด้วยระแนงสีส้มหลังเคาน์เตอร์ ส่วนพื้นก็เต็มไปด้วยลวดลาย ทั้งยังเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์อย่างโซฟา เก้าอี้ โต๊ะ และอุปกรณ์ต่างๆ ให้มีสีสันฉูดฉาด จะได้ดูไม่น่าเบื่อ แต่ก็ไม่ร้อนแรงจนเกินไป แล้วเรายังสามารถดู Mood&Tone ของโครงการผ่าน Sales Gallery นี้ได้ด้วย
จะมีตัวโมเดลโครงการให้ดูด้วยนะครับ เผื่อเราไปเลือกห้องก็จะได้ดูวิวคร่าวๆ ได้ว่าห้องเรามองออกไปด้านนอกจะเจอกับอะไรบ้าง
ด้านนอก Sales Gallery ก็จะมาในโทนน้ำตาลตัดกับส้ม เหมือนกับตัวอาคารจริงของโครงการเลย
แปลนอาคาร และ Layout ห้อง
แปลนแต่ละชั้นไม่ได้แตกต่างกันมาก แปลนห้องจะมีให้เลือกทั้งหมด 4 ไทป์หลัก
ที่นี่จะมีทั้งหมด 2 อาคารด้วยกัน เป็นตัว L ที่หันเข้าหากันฮะ ดังนั้นใจกลางโครงการก็จะเหลือพื้นที่โล่งๆ ที่เขาเอาไว้ทำพื้นที่ส่วนกลาง แน่นอนว่าชั้น 1 ก็จะเป็น Facilities ต่างๆ รวมไปถึงที่จอดรถของโครงการด้วย ส่วนชั้นอื่นๆ ของทั้ง 2 อาคารแปลนจะเหมือนกันทั้งหมดเลยครับ
อาคาร A (ตึกด้านหน้า) ชั้น 2 – 8
ชั้นพักอาศัยของที่นี่จะเริ่มต้นตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไป แต่ละชั้นก็จะเหมือนกันครับ อย่างอาคาร A แปลนอาคาร ตำแหน่งของห้องต่างๆ ก็จะเหมือนกันตั้งแต่ชั้น 2 – 8 เลย แต่ความพิเศษของชั้น 2 ที่แตกต่างจากชั้นอื่นๆ คือด้านนอกจะมีสวนสีเขียวให้ออกมาเดินเล่นได้ด้วย สามารถเดินออกมาจาก Life Lobby ของชั้น 2 ได้
ตึก A ชั้นนึงจะมีทั้งหมด 26 ห้อง ฝั่งด้านขวาจะหันเข้าวิวสวนและสระที่อยู่ด้านในของโครงการ ซึ่งถ้าเพื่อนๆ ดูแปลนก็จะเห็นว่าห้องที่ได้วิวสวนและสระ เป็นวิวด้านในของโครงการ ส่วนใหญ่จะเป็น 1 Bedroom Plus กับ 2 Bedroom ครับ อย่าง 2 Bedroom นี่ก็จะจัดวางในตำแหน่งที่ค่อนข้างดี เห็นวิวสระในแนวยาวเลย วิวห้องของจริงวิวน่าจะสวยครับ แต่นอกจากนี้ก็ยังมีห้อง 1 Bedroom และ 1 Bedroom Plus ที่ได้วิวสระเช่นกัน
ส่วนห้อง Type เริ่มต้นที่เป็นขนาด 24.25-24.75 ตร.ม. จะถูกจัดไว้ด้านนอกทั้งหมดครับ นอกจากนี้ก็จะมีห้อง 1 Bedroom และ 1 Bedroom Plus ที่เป็นวิวนอกอยู่ด้วยเช่นกัน
อาคาร B (ตึกด้านใน) ชั้น 2 – 8
อาคาร B ก็เช่นกันครับ ชั้น 2 – 8 แปลนจะเหมือนกันทั้งหมดเลย ชั้นนึงจะมีทั้งหมด 31 ยูนิต ตัวอาคารจะใหญ่กว่าเล็กน้อย การวางตำแหน่งมีความหลากหลายพอสมควรเลย เพราะห้องที่ได้วิวสระกับสวน มีทั้ง 2 Bedroom และ 1 Bedroom Plus ในขณะเดียวกันก็มี 1 Bedroom เยอะขึ้นด้วยครับ แต่องศาวิวอาจจะโดนอาคาร A บังเล็กน้อยในบางห้อง ส่วนห้อง 2 Bedroom ก็จะถูกวางตำแหน่งให้เห็นวิวสระในแนวยาวเช่นเดียวกับตึก A ครับ
วิวในทิศต่างๆ ของโครงการ
ภาพรวมทั้ง 2 อาคารวิวด้านนอกรอบข้างปัจจุบันจะเป็นทาวน์โฮมความสูง 2-3 ชั้นครับ ดังนั้นเกือบทุกด้านก็ยังจะค่อนข้างโปร่งโล่ง ไม่มีตึกมาติดกันในระยะประชิดครับ อย่างด้านซ้ายของโครงการจะเป็นบ้านทาวน์โฮมสูง 2 ชั้น ถ้าต้องการห้องวิวโล่งเลยชั้น 4 ก็น่าจะเลยระยะหลังคาเรียบร้อย ส่วนด้านหลังโครงการจะเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น ถ้าเอาวิวโปร่งแบบพ้นชัวร์ๆ ด้านหลังก็จะเป็นชั้น 5 เป็นต้นไป
ส่วนด้านซ้ายของโครงการจะเป็นอาคารฝักข้าวโพด ที่เป็นตึกแบบ High rise ตรงนี้มีระยะ Set back ห่างกันพอสมควรครับ รวมไปถึงด้านหน้าโครงการที่เป็นอาคารอพาร์ทเมนต์สูง 8 ชั้นเช่นกัน ตรงนี้ที่ดินของโครงการจะมีระยะถอยเข้ามาจากทางเข้าเช่นกัน ทำให้มีระยะห่างระหว่างตึกเยอะและมีถนนคั่นกลางอีก เลยค่อนข้างห่างจากตึกฝั่งตรงข้ามครับ
แปลนห้องที่มีให้เลือก
1 Bedroom
24.50 – 24.75 ตารางเมตร
ห้องนี้จะเป็นไทป์เริ่มต้นของโครงการ ด้านหน้าจะเป็นครัวแบบปิด มีประตูบานเลื่อนกระจกกั้น มีพื้นที่สำหรับตู้เก็บของเท้าและตู้เก็บของด้วย ด้านในจะเป็น Living Area ขนาดใหญ่ ที่เป็นทั้งมุมนั่งเล่น มุมเตียงนอน มุมแต่งตัว และมุมทำงาน ห้องน้ำก็จะเข้าจาก Living Area
1 Bedroom
29.25 – 30 ตารางเมตร
ไทป์นี้จะใหญ่ขึ้นมาหน่อย เป็นห้องหน้ากว้าง ที่ได้ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ระยะห่างระหว่างโซฟากับทีวีเยอะมาก วางโต๊ะกาแฟได้ตรงกลางได้สบายๆ ทั้งยังได้ครัวปิดที่มีมุมกินข้าวในตัวด้วย ส่วนห้องนอนจะเป็นประตูบานทึบ มีความเป็นส่วนตัว มาพร้อมกระจกบานใหญ่เลย
1 Bedroom Plus
34 – 34.75 ตารางเมตร
ห้องนี้จะเพิ่มเติมในส่วนของห้องอเนกประสงค์เข้ามาครับ เป็นห้องที่ได้ครัวเปิด มีมุมกินข้าวข้างๆ ถัดไปเป็นมุมนั่งเล่น แล้วด้านในสุดค่อยเป็นห้องอเนกประสงค์ ซึ่งทำเป็นห้องนอนเล็กได้ หรือจะทำเป็นห้องอะไรก็ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราฮะ ส่วนระเบียงจะไปอยู่ตรงห้องนอนแทน สามารถวางเตียงขนาด 6 ฟุต และตู้เสื้อผ้าแบบเต็มฝั่งได้
2 Bedroom
45.50 ตารางเมตร
ไทป์นี้จะเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดของโครงการครับ ด้านหน้าจะเป็นครัวเปิดที่ได้เคาน์เตอร์รูปตัว L ทำอาหารได้สบาย โต๊ะกินข้าววางแบบ 4 ที่นั่งได้ ห้องน้ำจะมี 2 ห้อง ถ้าเป็น Master Bedroom จะมีห้องน้ำส่วนตัว ซึ่งจริงๆ ทั้งสองห้องขนาดแทบไม่ต่างกันฮะ ส่วนมุมนั่งเล่นก็จะอยู่ตรงกลางระหว่างห้องนอนทั้งสอง และระเบียงจะอยู่ที่ห้องนอนเล็ก
ห้องตัวอย่าง 1 Bedroom ขนาด 29.25 – 29.75 ตารางเมตร
ห้องนั่งเล่นกว้างขวาง ได้ครัวปิด มีมุมกินข้าวในตัว ห้องนอนมาพร้อมกระจกบานใหญ่
ที่ Sales Gallery ของโครงการจะมีห้องตัวอย่างให้ดูทั้งหมด 1 ห้องด้วยกันนะครับ เป็น 1 Bedroom ขนาด 29.25 – 29.75 ตารางเมตรซึ่งเป็น Type ที่มีให้เลือกเยอะที่สุด
ถ้าเพื่อนๆ ดูแปลนข้างล่างก็จะเห็นว่าแต่ละห้องเขาแบ่งโซนกันชัดเจนเลย ด้านหน้าห้องจะเป็นมุมนั่งเล่นล้วนๆ ถัดไปจะเป็นครัวปิดที่กั้นด้วยประตูบานเลื่อนกระจก แสงจากระเบียงจะได้ส่องเข้ามาถึงห้องนั่งเล่น ห้องนอนจะอยู่ติดกับห้องครัว และห้องน้ำก็จะเข้าจากห้องนั่งเล่นครับ สำหรับห้องนี้ผมมองว่าเป็นห้องที่อยู่คนเดียวกำลังดีมากๆ มีพื้นที่ให้ได้ทำกิจกรรมเยอะ ไม่อึดอัด หรือถ้าอยู่ 2 คนก็ยังได้ครับ ยังมีพื้นที่แยกให้ได้อยู่ห่างกันบ้าง แม้จะอยู่ในห้องเดียวกัน
มุมนั่งเล่น : พื้นที่ Living ขนาดใหญ่ ระยะดูทีวีกว้าง วางโซฟาเข้ามุมได้
อย่างที่บอกฮะ ว่ามุมนั่งเล่นอยู่ด้านหน้า เปิดเข้ามาก็เจอเลย เพื่อนๆ สามารถวางโซฟาขนาด 2 ที่นั่ง จะวางแบบ L-shape หรือ I-shape แล้วเพิ่มเก้าอี้สตูลหรืออาร์มแชร์ต่างๆ เพิ่มก็ได้ หรือจริงๆ ถ้าไม่ได้วางตู้ข้างๆ อยากวางเป็นโซฟา 3 ที่นั่งเต็มทั้งฝั่งก็ได้เหมือนกันนะ แถมยังวางโต๊ะกาแฟได้แบบไม่เกะกะด้วย เพราะระยะห่างระหว่างโซฟากับชั้นวางทีวีเยอะมากๆ ครับ
สำหรับความสูงฝ้าเพดานที่นี่จะอยู่ที่ 2.50 เมตร แล้วถ้าเป็นห้องนั่งเล่นกับห้องนอนจะได้พื้นไม้ลามิเนตครับ
ฝั่งชั้นวางทีวีก็จะอยู่ติดกับห้องน้ำเลย ห้องตัวอย่างจะ Built-in ผนังกับชั้นวางของด้านบนมาให้ดู ค่อนข้างสวยเลยฮะ ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์มาก เพราะนอกจากจะวางของด้านบนได้แล้ว ก็ยังทำชั้นวางทีวีเพิ่ม หรือวางชั้นวางทีวีแบบลอยตัว หรือวางเป็นตู้เก็บรองเท้าได้หมด และแน่นอนว่าด้วยความที่ระยะห่างเยอะ ทำให้เราสามารถแขวนทีวีติดผนังจอใหญ่ได้ครับ
ห้องครัว : ครัวปิด ติดระเบียง ระบายอากาศง่าย
ห้องครัวจะได้เป็นครัวปิด เคาน์เตอร์ครัวทางโครงการจะให้เหมือนกับห้องตัวอย่างเลยนะครับ ด้านล่างเก็บของได้ ด้านบนไว้วางไมโครเวฟ มีช่องเก็บของเพิ่มเติม ส่วนเตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน และอ่างล้างจานจะเป็นของ TEKA พื้นห้องครัวจะเป็นกระเบื้องนะครับ เหมาะสำหรับการใช้งานในครัว ทำความสะอาดง่ายฮะ
ช่องเก็บของค่อนข้างเยอะเลย ด้านหลังอ่างล้างจานกับเตา เขาทำเสริมขึ้นมาให้เราสามารถวางอุปกรณ์ครัวและเครื่องปรุงต่างๆ เพิ่มเติมได้ครับ ทำให้เราไม่ต้องมาวางของรกหรือเกะกะด้านข้างเตา
มุมกินข้าว : พื้นที่ครัวกว้าง วางโต๊ะรับประทานอาหาร 2 ที่นั่งในนี้ได้เลย
มุมกินข้าวก็อยู่ในห้องครัว ตรงข้ามเคาน์เตอร์เลย ผมว่าการที่มีโต๊ะกินข้าวอยู่ในครัวค่อนข้างสะดวกต่อการใช้งาน เพราะเวลาที่เราทำอาหาร แล้วพื้นที่ตรงเคาน์เตอร์ไม่พอ เราก็ใช้โต๊ะกินข้าวเป็นที่วางของเพิ่มได้ หรือตอนที่เราทำอาหารเสร็จ หันมาก็วางกับข้าวต่างๆ ได้แล้ว ไม่ต้องเดินไปไหนไกล ทั้งยังช่วยให้กลิ่นหรือควันไม่เข้าไปรบกวนในห้องด้วย
ระเบียง : มีพื้นที่วางเครื่องซักผ้า และยังเหลือที่อีก
ระเบียงจะเป็นประตูบานเลื่อนกระจกแบบ 3 ตอน สามารถวางเครื่องซักผ้าด้านนอกได้ครับ มีปลั๊กเตรียมไว้ให้ ระเบียงค่อนข้างยาว ดังนั้นพื้นที่อีกฝั่งที่เราไม่ได้วางเครื่องซักผ้า สามารถปลูกต้นไม้หรือวางเก้าอี้เพื่อนั่งพักผ่อนได้
ห้องนอน : มาพร้อมกระจกบานใหญ่ รับวิวด้านนอก
ห้องนอนค่อนข้างกว้างครับ สามารถวางเตียงขนาด 6 ฟุตได้สบายๆ มีพื้นที่ข้างเตียงเหลืออีก ถ้าเพื่อนๆ มองในรูปก็จะเห็นว่าทางโครงการให้กระจกมาบานใหญ่จริงๆ สามารถเลื่อนเปิดเพื่อรับลมหรือระบายอากาศได้ ฝั่งตรงข้ามก็สามารถแขวนทีวีติดผนังได้ หรือเดี๋ยวนี้เขาชอบใช้โปรเจคเตอร์เล็กๆ กัน ก็เหมาะมากๆ ครับ เพราะผนังโล่งทั้งฝั่งอยู่แล้ว
ด้านข้าง Built-in หรือวางตู้เสื้อผ้าทั้งฝั่งได้เลยฮะ จะได้มีพื้นที่เก็บของมากขึ้น
ห้องน้ำ : ห้องน้ำฟังก์ชันครบ แยกส่วนเปียกส่วนแห้งพร้อมฉากกั้น
สำหรับห้องน้ำก็จะได้เหมือนกันทุกห้องเลยฮะ กำแพงด้านในจะมีใน Theme สีเขียวอ่อนๆ ส่วนด้านนอกจะเป็นกระเบื้องสี Polished Grey กับ Matt Gray สุขภัณฑ์ก็จะได้ทั้งชักโครก อ่างล้างหน้า กระจก ฉากกั้นอาบน้ำเป็นประตูกระจกบานเลื่อนของ GELATO ส่วนอุปกรณ์ต่างๆ อย่างพวกก็อกน้ำ ราว ที่ใส่กระดาษทิชชู่ ฝักบัวหรืออุปกรณ์ต่างๆ จะเป็นของ Englefield แต่สำหรับเครื่องทำน้ำอุ่นจะแล้วแต่โปรโมชั่นไปนะครับ
ด้านในห้องอาบน้ำก็จะมีชั้นวางของแบบเจาะผนังมาให้ด้วยฮะ แต่ถ้าเพื่อนๆ รู้สึกว่าแค่ชั้นเดียวยังไม่จุใจก็สามารถวางชั้นหรือติดตั้งชั้นเพิ่มได้นะ
สรุป
“ใจกลางย่านราม จุดเด่นคืออนาคตที่กำลังจะมาของย่านนี้ ในราคาที่ยังจับต้องได้”
สำหรับโครงการ dcondo calm รามคำแหง 40 ก็จะเป็นคอนโดมิเนียมบนทำเลถนนรามคำแหง ที่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าสายสีส้มสถานีรามคำแหง 40 มากครับ มีระยะเข้าซอยอยู่ที่ประมาณ 650 เมตร อาจจะไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่หรือติดสถานีรถไฟฟ้าไปซะทีเดียว แต่สิ่งที่ได้มาคือราคาที่ทำออกมาได้ถูกกว่า จับต้องได้มากกว่าพอสมควร อย่างห้องเริ่มต้นของโครงการจะเริ่มต้นที่ 1.59 ล้านบาท หรือเฉลี่ยทั้งโครงการก็อยู่ที่ประมาณ 68,500 บาท/ตร.ม. ในขณะที่คอนโดกลุ่มติดถนนรามคำแหงตอนต้นปัจจุบันส่วนใหญ่ก็จะไปเริ่มต้นประมาณ 2 ล้าน+ กันครับ
ซึ่งในภาพรวม ถ้าเทียบกับโซนต่างๆ รอบกรุงเทพ รามคำแหงเองยังเป็นย่านนึงที่ราคาคอนโดยังจับต้องได้ โดยที่ได้ทำเลที่ใกล้เมือง ยกตัวอย่าง อย่างสถานีรามคำแหง 40 ที่เป็นสถานีหน้าโครงการ ถ้าเข้าเมืองไปราชเทวี ก็นั่งตรงแค่ 11 ป้าย พอๆ กับราชเทวีไปเสนานิคม (รัชโยธิน) และราชเทวีไปบางจาก ซึ่งทำเลที่ว่ามาก็ถือว่าใกล้เมือง โดยที่ราคาฝั่งย่านรามคำแหงถือว่าต่ำกว่าอยู่ step นึงครับ
แล้วทำไมรามคำแหงยังราคาไม่ไปไกล?? น่าจะเป็นคำถามที่หลายๆ คนสงสัยตามมา ส่วนหนึ่งก็คือเพราะรถไฟฟ้าสายสีส้มมันยังไม่ได้เปิดนั่นแหล่ะครับ ทำให้การพัฒนาต่างๆ ของย่านนี้ยังโตไม่เต็มที่ มีโปรเจคที่มารอ แต่บางโปรเจคก็ยังอั้นๆ อยู่ รอความแน่นอนของการเปิดใช้งานรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่เพิ่งจะได้ข้อสรุปไปเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา
ดังนั้นการซื้อคอนโดในย่านนี้ เลยเป็นกึ่งๆ เหมือนกับการซื้ออนาคตที่กำลังจะมาถึง ในราคาที่ยังไม่ไปอนาคตมาก ซึ่งบางโซนที่พัฒนาเต็มที่และราคาอัพก็ไปเต็มที่ตาม
แล้วอนาคตชัดเจนแค่ไหน? ในปัจจุบันเราก็จะเห็นรถไฟฟ้าสายสีส้ม มีสถานีสร้างเสร็จเรียบร้อย แค่รอวางระบบการเดินรถและเปิดใช้งานในอีกในช่วง 3 ปีข้างหน้า, ตึกออฟฟิศต่างๆ ทยอยสร้างเสร็จแล้วเช่นกัน ดังนั้นหลายๆ ส่วนก็ค่อนข้างมีภาพชัดเจนแล้วว่ามาแน่ๆ เพียงแต่อาจจะต้องรอหน่อยครับ (ซึ่งโครงการก็ใช้เวลาก่อสร้างประมาณปีกว่าเช่นกัน ถึงวันเข้าอยู่จริง ก็น่าจะรออีกแค่ปีกว่าๆ ได้เริ่มใช้งานรถไฟฟ้าสายสีส้มครับ)
โดยที่ตัวรถไฟฟ้าสายสีส้ม จะมีจุดเด่นในเรื่องการเชื่อมต่อเข้าเมืองที่สะดวก สามารถไปเชื่อมต่อได้หลายสายทั้ง MRT สายสีน้ำเงินที่รัชดา BTS สายสีเขียวที่ราชเทวี เป็นเส้นทางผ่านเข้ากลางเมืองแบบตรงๆ สายสุดท้ายของกรุงเทพที่ยังเหลืออยู่ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ผ่ากลางย่านเศรษฐกิจจ๋าๆ อย่างสายสีเขียวที่ผ่ากลางเส้นสุขุมวิทตลอดสาย แต่ก็เป็นอีกสายนึงที่เข้ากลางเมืองง่าย นั่งต่อเดียวแทบจะถึงสยามเลยครับ และมีหน้าที่รับคนจากรถไฟฟ้าทั้งสีเหลือง สีชมพูเข้าเมืองด้วย อนาคตน่าจะเป็นอีกเส้นที่คนใช้งานกันคึกคักเลย
แต่สำหรับปัจจุบันก็ไม่ใช่ว่าไม่ใกล้รถไฟฟ้าเลยนะครับ ในปัจจุบันก็มีรถไฟฟ้าพร้อมใช้งาน อย่าง MRT สายสีเหลือง ที่วิ่งบนถนนศรีนครินทร์-ลาดพร้าว ตรงนี้จากโครงการไปสถานีที่ใกล้ที่สุดก็แค่ 1 กิโลนิดๆ เท่านั้นเองครับ เท่ากับว่าในอนาคตจะใกล้กับรถไฟฟ้า 2 สายเลย
นอกจากนี้ก็จะอยู่ไม่ไกลจาก The Mall บางกะปิ ที่เป็นห้างใหญ่ของย่าน เป็น Hub ในย่านนี้เลยก็ว่าได้ รอบข้างมีห้างต่างๆ อีกหลายห้างไม่ว่าจะเป็นตะวันนา, N Mark Plaza, Makro, Lotus’s และแฮปปี้แลนด์ รวมไปถึงด้านหลัง The Mall ก็จะมีท่าเรือด่วนคลองแสนแสบตั้งอยู่ด้วยครับ
ทำให้ในภาพรวม ที่นี่น่าจะเหมาะกับคน 2 กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกคือคนที่ทำงานในย่านนี้ ซึ่งในย่านรามคำแหง-บางกะปิเองก็มีแหล่งงานอยู่หลากหลาย มีคนทำงานเยอะ ไม่ว่าจะเป็นทั้งกลุ่มคนทำงานห้าง, ม.รามคำแหงและ ABAC, ออฟฟิศต่างๆ ในย่านนี้ รวมไปถึงกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น รพ.รามคำแหง, รพ.สมิติเวช, รพ.เวชธานี และอีกหลายๆ รพ.ใกล้เคียง ที่นี่ก็จะค่อนข้างเดินทางสะดวกสำหรับใครที่ทำงานหรือใช้ชีวิตอยู่ในละแวกนี้อยู่แล้วครับ
อีกกลุ่มที่สะดวกคือคนทำงานในเมือง กำลังมองหาที่พักในราคาที่หยิบจับเป็นเจ้าของได้ง่าย ราคาไม่สูงเกินไป แต่ยังได้ความสะดวกในการเข้าเมืองอยู่ ที่นี่ก็จะมาตอบโจทย์สำหรับคนที่มีงบล้านกลางๆ – 2 ล้านกว่าๆ แต่ไม่อยากอยู่คอนโดที่ไกลออกไปมากแบบปลายสายรถไฟฟ้าหรือข้ามจังหวัดครับ โดยที่การใช้รถไฟฟ้าก็จะใกล้กับทำเลรัชดา-พระราม 9, ดินแดง, ราชเทวี และเชื่อมต่อกับสายอื่นๆ ได้ แต่ถ้าใช้รถยนต์ ย่านนี่ก็จะไม่ไกลจากโซนสุขุมวิทฝั่งพระโขนง-เอกมัย-ทองหล่อมากด้วยครับ ด้วยความที่ถนนรามคำแหงตัดตรงเข้าหา และยังมีทางเลือกในการใช้งานทางด่วนใกล้ๆ โครงการ
ในส่วนของตัวโครงการ ก็จะเล่นกับ Concept ความเป็น Hideaway Home ที่หลีกหนีจากความวุ่นวายด้านนอก ด้วยที่ตั้งที่เขยิบเข้ามาเล็กน้อย ตัวโครงการมีขนาดไม่ใหญ่มากครับ ด้วยพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ จัดออกมาได้ 2 อาคาร รวม 399 ยูนิต ถือว่าเป็นโครงการที่ยูนิตไม่เยอะ แต่ก็มาพร้อมกับพื้นที่ส่วนกลางต่างๆ ที่มีมาครบ
ไม่ว่าจะเป็น Lobby, ห้อง Co-Working Space แยกต่างหากรับวิวสวน, ห้อง Fitness รวมไปถึงสระว่ายน้ำและสวนบริเวณกลางโครงการ ซึ่งแต่ละจุดก็ดีไซน์ออกมาได้ค่อนข้างดูดี ดูน่าใช้งาน ตามสไตล์คอนโดของแสนสิริ ที่จะมีดีเทลในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางต่างๆ
แบบห้องที่มีให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่ห้องเริ่มต้น 1 Bedroom ขนาดประมาณ 24 ตร.ม., 1 Bedroom ขนาดประมาณ 29 ตร.ม., 1 Bedroom Plus ขนาดประมาณ 34 ตร.ม. ไปจนถึง 2 Bedroom 2 Bathroom ตอบโจทย์ทั้งการอยู่แบบตัวคนเดียว หรืออยู่แบบเป็นครอบครัว โดยที่ฟังก์ชั่นของห้องแต่ละแบบก็จะเน้นตอบโจทย์คนละแบบกันไปครับ อย่างห้องเริ่มต้นก็จะเป็นฟังก์ชัน Open Space สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่การใช้สอยได้ ส่วนห้อง 1 Bedroom ที่ใหญ่ขึ้นมาแบบห้องตัวอย่างก็จะได้ความเป็นสัดส่วนมากยิ่งขึ้น มีครัวปิด, ห้องนอนปิด
ส่วนห้อง 1 Bedroom Plus ก็จะเหมาะกับคนต้องการพื้นที่ มีห้องสำหรับทำเป็นพื้นที่ทำงาน หรือใครมองไว้เผื่อขยับขยาย เริ่มต้นมีครอบครัว สามารถทำเป็นห้องนอนได้ ส่วน 2 Bedroom นี่ก็ทำมาสำหรับอยู่กันหลายคนแบบจริงจังเลย มีห้องน้ำแยกชัดเจน ไม่ต้องแย่งกันใช้งาน
โครงการจะขายแบบ Fully Fitted ครับ ไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ แถมให้ แต่ก็จะดีตรงที่เราสามารถตกแต่งต่างๆ ตามสไตล์เราได้เองเลย แต่โครงการก็ยังมีชุดสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ รวมไปถึงฉากกั้นกระจกติดตั้งมาให้เรียบร้อยนะครับ ส่วนชุดครัวก็ติดตั้งมาให้ครบ ทั้งเตาและชุดดูดควัน เหมือนกับที่เราเห็นในห้องตัวอย่างเลย ซึ่งตัวดูดควันจะเป็นระบบหมุนวนนะครับ ใครชอบทำอาการอาจจะต้องพิจรณาเป็นห้อง Type ครัวปิดติดระเบียง ก็น่าจะทำอาหารได้สะใจเอาอยู่เรื่องกลิ่นในห้องมากกว่า
โดยรวมก็ถือว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจ ได้ทำเลไม่ไกลเมืองใกล้รถไฟฟ้า ได้อนาคต ได้พื้นที่ส่วนกลางต่างๆ ครบ ได้แบรนด์แสนสิริ และมาในราคาจับต้องได้ ใครที่สนใจโครงการ “dconco calm รามคำแหง 40” ในวันที่ 3-4 สิงหาคมนี้ ที่ Sales Gallery จะมีงาน Presales ครั้งแรก ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกยูนิต* พร้อมจับสลากลุ้นรับรางวัลสูงสุด 150,000 บาท* เริ่มต้น 1.59 ล้าน*