ถ้าพูดถึงแหล่งงานที่มีคนทำงานอยู่กันเยอะๆ จะนึกถึงอะไรกันบ้างครับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นย่านออฟฟิศ, ศูนย์ราชการ, มหาลัยต่างๆ ไม่ก็นิคมอุตสาหกรรมใช่ไหมครับ วันนี้ LivingPop จะพาไปรู้จักกับคอนโดที่ติดย่านนิคมอุตสาหกรรม กับโครงการ
Atmoz Season Ladkrabang
ที่ด้านหลังที่ดินของโครงการเค้าแทบจะติดรั้วนิคมเลย ทำมาเอาใจคนที่ทำงานในย่านนี้โดยเฉพาะกับคอนโดราคาเบาๆ เริ่มต้น 1.39 ล้านบาท แต่ได้ส่วนกลางเยอะที่สุดในย่าน จัดมาเต็มที่ตามสไตล์ AssetWise ที่นี่จะเป็นอย่างไร เดี๋ยววันนี้เรามารู้จักที่นี่ก็ให้มากขึ้นกันครับ
จุดเด่นโครงการ
ใกล้แหล่งงานย่านนิคมอุตสาหกรรม
ส่วนกลางเยอะที่สุดในย่าน
ห้องมีให้เลือกหลายแบบ
ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
ไหนๆ ขอพูดถึงเทรนด์ของคอนโดในยุคปีสองปีนี้กันก่อนครับ ก่อนหน้านี้ เราจะเห็นคอนโดส่วนใหญ่ไปเปิดใจกลางเมืองเป็นหลัก เน้นทำเลติดรถไฟฟ้ากันใช่ไหมครับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นระดับกลางถึงระดับบนกันเลย แต่ถ้าใครสังเกต จะเห็นว่าเทรนด์คอนโดในช่วงสองสามปีนี้เปลี่ยนไปพอสมควร
เราจะเริ่มเห็นโครงการต่างๆ กระจายออกมาตามจุดรอบนอกของเมือง เป็นโซนที่มีผู้คน มีชุมชน มีแหล่งงาน อาจจะเป็นเมืองย่อยๆ แต่อาจจะยังขาดที่อยู่อาศัยที่เป็นแนวคอนโด ซึ่งกลุ่มทำเลเหล่านี้เลยกลายเป็นกลุ่มทำเลใหม่ที่ Developer หลายๆ เจ้า เริ่มเข้ามาเปิดโครงการกันครับ
ก็จะไปตอบโจทย์คนในพื้นที่ ที่บางคนก็ต้องการที่อยู่อาศัยของตัวเองที่ได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ต้องการออกจากย่านเดิมหรือบางคนก็ทำงานอยู่ในย่านนั้นอยู่แล้ว
อย่างปีที่ผ่านมาเอง AssetWise ก็ไปเปิดทำเลรอบนอกแบบนี้หลายที่ครับ เช่นที่มีนบุรีจับทำเลแหล่งงานใกล้ตลาดมีน, ที่ม.กรุงเทพ – ม.ธรรมศาสตร์จับกลุ่มนักศึกษาใกล้มหาลัย, ที่ดอนเมือง-ศรีสมานตรงข้าม Robinson และยังมีทำเลอื่นๆ ด้วย เช่น ที่รังสิตใกล้สายสีแดง, อ่อนนุช, บางแสน
สังเกตว่าแต่ละทำเล จะเจาะกลุ่มเฉพาะสำหรับคนย่านนั้นๆ ไปเลย ซึ่งยอดขายของแต่ละโครงการที่เปิดไปในปีที่ผ่านมาก็ค่อนข้างดีครับ มาปีนี้ AssetWise ก็ยังเน้นจับทำเลรอบนอกด้วยเช่นกัน อย่างหนึ่งในโครงการที่เปิดในต้นปีนี้อย่าง “Atmoz Season Ladkrabang” ก็ทำออกมาเจาะกลุ่มทำเลคนที่ทำงานในนิคมและคนที่มองหาที่อยู่อาศัยในย่านลาดกระบังโดยเฉพาะบนถนนฉลองกรุงครับ ซึ่งถนนฉลองกรุงเองก็เป็นเส้นหลักอีกเส้นของลาดกระบัง จากการเป็นถนนที่ผ่ากลางพระจอมเกล้าลาดกระบังและเป็นที่ตั้งของนิคมฯ ลาดกระบัง ทำให้ช่วงต้นถนนในระยะไม่กี่กิโลก็เป็นอีกหนึ่งย่านที่มีแหล่งงานขนาดใหญ่เยอะหลายจุด และมีการอยู่อาศัยกันหนาแน่นครับ
ย่านลาดกระบัง
รถไฟ – มหาลัย – อุตสาหกรรม – สนามบิน
ออกตัวก่อนเลยว่า ทีมงานเองก็เป็นคนนึงที่โตมากับย่านลาดกระบังเช่นกันครับ จากช่วงมหาลัยที่จบมาจากพระจอมเกล้าลาดกระบัง ก็เลยจะค่อนข้างคุ้นเคยกับย่านนี้พอสมควร ต้องบอกว่าย่านลาดกระบังเป็นย่านนึงที่มีการเปลี่ยนแปลงเยอะในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมาครับ
สำหรับลาดกระบัง จะเป็นย่านที่ขนาดค่อนข้างใหญ่เลยครับ ค่อนข้างมีความเป็นเมืองที่แยกออกมา ถึงจริงๆ แล้วเค้าจะยังอยู่ในกรุงเทพก็ตาม จนหลายคนแซวย่านนี้ว่าเป็นประเทศลาดกระบัง คือจะเป็นย่านที่มีความกระจุกตัวของความเจริญอยู่ในย่าน มีแหล่งงาน มีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่เยอะ โดยที่ไม่ได้อิงความเจริญจากกรุงเทพฝั่งในเมืองซักเท่าไหร่ (ส่วนนึงอาจจะมาจากระยะที่ห่างจากในเมืองประมาณนึงด้วยครับ)
ซึ่งถ้าย้อนกลับไป ลาดกระบังก็จะเป็นย่านที่มีแหล่งชุมชนอยู่มานานแล้วครับ อย่างโซนริมคลองประเวศบุรีรมย์ เราจะเห็นทั้งตลาดเก่า บ้านคน โดยเฉพาะย่านโซนตลาดหัวตะเข้ – ตลาดหลวงแพ่งที่เป็นย่านค้าขายเก่าริมคลอง
ซึ่งด้วยความที่ย่านนี้ไม่ไกลจากตัวเมืองกรุงเทพมาก และมีแนวเส้นทางการคมนาคมที่ค่อนข้างเอื้อให้กับกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งถนนมอเตอร์เวย์ตัดผ่าน มีเส้นทางรถไฟสายตะวันออกไปท่าเรือ มีศูนย์ขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้ในช่วง 20-40 กว่าปีก่อน เราก็จะเห็นโรงงานต่างๆ มาตั้งกันในย่านนี้ด้วยครับ อย่างนิคมลาดกระบังที่อยู่บนถนนฉลองกรุง ซึ่งเป็นถือว่าเป็นนิคมอุตสาหกรรมเพียงไม่กี่ที่ ที่มีทำเลอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และที่นี่ยังเป็นนิคมขนาดใหญ่และเป็นแหล่งงานสำคัญของย่านนี้อีกด้วยครับ
แต่อีกจุดเปลี่ยนที่ทำให้ย่านนี้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ก็หนีไม่พ้นการมาของสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เปลี่ยน Infrastructure ของย่านนี้ไปค่อนข้างมาก ด้วยความที่ทำเลที่ติดของสนามบินอยู่ติดย่านลาดกระบังเลย ดังนั้นย่านนี้เลยได้รับ Benefit แบบเต็มๆ ไม่ว่าจะการตัดถนน, ขยายมอเตอร์เวย์, การมีรถไฟฟ้า Airport Rail Link มาลงในย่าน รวมไปถึงการไหลเข้ามาของกลุ่มคนทำงานสนามบินที่มีตั้งแต่ระดับ Operation ไปจนถึงระดับบริหาร
ทำให้ย่านนี้เกิดเป็นย่านที่อยู่อาศัย มีทั้งหมู่บ้านต่างๆ มีห้างเล็กห้างใหญ่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ตามมา เป็นภาพที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ค่อนข้างชัดของย่านนี้เลยครับ
แหล่งงานย่านลาดกระบัง
ด้วยความเป็นเขตใหญ่ เลยจะมีความเจริญกระจายอยู่หลายจุดของลาดกระบัง
ด้วยความที่พื้นที่ของเขตลาดกระบังเค้าค่อนข้างใหญ่ครับ ดังนั้นความเจริญและแหล่งงานของย่านนี้เค้าจะไม่ได้อยู่ที่แค่จุดๆ เดียว แต่เราจะสังเกตได้ว่าเขตลาดกระบังเค้าจะมี Node ความเป็นแหล่งชุมชนกระจายกันครับ แบ่งออกได้เป็น 3 จุดใหญ่ๆ ได้แก่โซนโรบินสัน-พาซิโอ้, โซนหัวตะเข้-พระจอมเกล้า และ โซนนิคมลาดกระบัง แต่ละย่านก็จะมีจุดเด่นที่ต่างกันออกไปครับ
โซนโรบินสัน-พาซิโอ
แถบนี้จะอยู่บนถนนลาดกระบังที่ต่อมาจากสุขุมวิท 77 เป็นโซนที่เพิ่งมาโตในช่วงหลังนี่เองครับ จากการที่หมู่บ้านต่างๆ ทยอยมาเปิด ทั้งที่ตั้งอยู่บนถนนลาดกระบังเองและอยู่บนถนนเลียบวงแหวน ตรงนี้จะเป็นย่านที่ไม่ไกลจากสนามบินมากเดินทาง 10-15 นาที ดังนั้นก็จะมีคนทำงานสนามบินบางส่วนมาพักอยู่ในหมู่บ้าน/คอนโดในย่านนี้ จุดเด่นแถบตรงนี้คือจะเป็นแหล่งห้างใหญ่ของย่านนี้เลย มีห้างมาเปิดติดกันแบบประชิดทั้ง Robinson Lifestyle, Paseo ที่เป็น Community Mall ตัวบุกเบิกของย่านนี้, LittleWalk ที่มี Index Livingmall และ HomePro และ Makro Food Service ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งหลักของย่านนี้ รวมไปถึงบริเวณใกล้เคียงก็มาที่นี่กันครับ
โซนหัวตะเข้-พระจอมเกล้า
ย่านนี้จะเป็นโซนเก่าแก่ของลาดกระบังครับ มีตลาดดั้งเดิมอย่างตลาดหัวตะเข้ เข้าไปทางถนนฉลองกรุงเล็กน้อยก็จะเจอกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นมหาลัยใหญ่ที่มาตั้งอยู่ในย่านนี้ระหว่างสองฝั่งของทางรถไฟ ดังนั้นตรงนี้ก็จะเป็นอีกย่านที่ค่อนข้างคึกคัก เพราะนอกจากชุมชนเดิมแล้วก็จะมีนักศึกษาที่อยู่รอบๆ ในโซนนี้ ไม่ว่าจะเป็นหอพักในซอยเกกีที่ใกล้กับสถาบัน หรือข้างนอกตามถนนลาดกระบัง บริเวณซอยต่างๆ ก็มีหอพักด้วยเช่นเดียวกัน รวมไปถึงร้านอาหาร-ร้านค้าต่างๆ แถวนี้ก็เป็นอีกย่านที่ค่อนข้างคึกคัก
โซนฉลองกรุง – หน้านิคมฯ ลาดกระบัง
ถนนฉลองกรุงถือว่าเป็นอีกเส้นหลักของย่านนี้ครับ ซึ่งจากการที่ถ้ามาตามถนนฉลองกรุง จากพระจอมเกล้าลาดกระบัง ขึ้นสะพานข้ามมอเตอร์เวย์ถัดมาไม่ไกล ก็จะมาถึงกับอีกโซนนึงที่มีคนอยู่เยอะ อย่างโซนนิคมฯ ลาดกระบังครับ ถนนฉลองกรุงเลยถือว่าเป็นอีกเส้นหลักของย่านนี้ เชื่อมต่อสองโซนที่คนหนาแน่นทั้งโซนพระจอมและนิคม นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อไปออกสุวินทวงค์ที่เป็นกรุงเทพฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือได้ด้วยครับ
ซึ่งถ้าพูดถึงนิคมลาดกระบังที่นี่เป็นนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ดังนั้นก็จะมีคนอยู่อาศัยเยอะเช่นกัน หน้านิคมเองก็จะมี Community Mall อย่าง iPlace Park ที่มีร้านอย่าง The Pizza, KFC, Oishi Ramen และมี Tops ด้วย ถัดไปอีกฝั่งจะเป็น V Market ตรงนี้จะเป็นตลาด+Community Mall ของกินค่อนข้างเยอะมากๆ ราคาไม่แพงด้วยครับ และด้านในมี Supermaket ใหญ่อย่าง MaxValu ซึ่งนอกจากคนในนิคมเองที่มาใช้บริการแล้ว น้องๆ นักศึกษาจากฝั่งพระจอมเกล้าบางทีก็มาเดินเล่น/หาอะไรกินฝั่งนี้เช่นเดียวกัน
ซึ่งปัจจุบัน ด้วยความที่เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ ย่านนี้ก็จะเป็นอีกจุดของลาดกระบังที่คอนโดต่างๆ เริ่มทยอยกันมาเปิด เป็นตัวเลือกที่พักอาศัยอีกแบบ จากก่อนหน้านี้ที่ส่วนใหญ่จะมีแค่หอพักเป็นหลัก ไม่ก็จะเป็นหมู่บ้านไปเลย
นิคมฯ ลาดกระบัง นิคมที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพ
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าที่นี่ยังอยู่ในกรุงเทพฯ อยู่นะครับ และที่นี่ถือว่าเป็นนิคมที่ใหญ่ที่สุดของกทม.เลย ก่อตั้งมาตั้งแต่ช่วงปี 2521 จนถึงปัจจุบันก็ 40 กว่าปีได้แล้ว ด้วยพื้นที่ 2,500 ไร่ กว่า 260 โรงงาน ซึ่งมีคนงานที่ทำงานอยู่ในนิคมประมาณ 3 หมื่นคนด้วยกัน ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย
โรงงานที่ชื่อบริษัทน่าจะคุ้นหูหน่อย ก็อย่างเช่น Honda (ฝั่งผลิตจักรยานยนต์), Johnson & Johnson เจ้าของแบรนด์แป้ง-ครีมอาบน้ำ-แชมพู, Mitsubishi Heavy Industry ทำเครื่องใช้ไฟฟ้า, Isuzu Engine Manufacturing, CPRAM ธุรกิจอาหารในกลุ่ม CP, โรงงานประกอบรถ Subaru และนอกจากนี้ยังมีโรงงานขนาดใหญ่อื่นๆ อีกเยอะพอสมควร
ด้วยตัวเลขขนาดนี้ บวกกับทั้งความเป็นชุมชนด้านหน้านิคม เลยทำให้ตรงนี้เป็นอีกย่านนึงของลาดกระบังที่มีความน่าสนใจ และมี Developer มาเปิดโครงการกันครับ เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เราทำภาพมาให้ดูครับว่าโรงงานไหนอยู่ในนิคมนี้บ้าง
ที่ตั้งโครงการ
หน้านิคมฯ ลาดกระบัง ใกล้แหล่งชุมชน – ตลาด – Community Mall
จากที่เล่ามาจะเห็นว่าย่านนี้เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่มาก เราเลยจะเห็นว่าเริ่มมี Developer มาเปิดคอนโดกันในย่านนี้ แต่ก็ต้องบอกว่าถ้าเทียบกับจำนวนคนทำงานในนิคมฯ คอนโดในย่านนี้ก็ถือว่ายังมีไม่เยอะมากครับ จากที่ทีมงานนับมาน่าจะมีแค่ 3 โครงการเท่านั้นเอง (รวม Atmoz ตัวนี้แล้วด้วยนะ)
ที่ตั้งของโครงการ จะอยู่บริเวณหน้านิคมลาดกระบังเลยครับ อาจจะไม่ถึงกับติดกับทางเข้านิคม อยู่ถัดออกมาประมาณ 900 เมตร จริงๆ ก็ไม่ไกลมากครับ ก็มีทั้งข้อดีข้อเสียคือไม่ต้องไปวุ่นวายกับความจอแจรถติดช่วงเลิกงานบริเวณหน้าทางเข้าที่รถค่อนข้างหนาแน่น แต่ก็อาจจะห่างจากร้านค้า/ตลาด/ห้างที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้านิดนึง
ที่ตั้งของโครงการจะอยู่ระหว่าง 2 ทางเข้าครับ คือในตอนเช้าถ้าออกมาจากโครงการเราไม่ต้องกลับรถ สามารถไปเข้านิคมทางด้านหลังที่อยู่ริมคลองได้ ส่วนขากลับก็ออกมาทางหน้านิคม วนเข้าโครงการเป็นวงกลมได้
ตัวที่ตั้งของโครงการแทบจะติดกับถนนฉลองกรุงเลย คือทาง AssetWise ได้ที่ดินขนาดใหญ่ที่เป็นผืนยาวครับ ด้านหลังเกือบไปติดกับรั้วของนิคมเลย โดยจะแบ่งส่วนนึงมาทำโครงการแรกเป็น Atmoz Season Ladkrabang ที่เรามารีวิววันนี้ครับ
โดยเค้าจะมีถนนอยู่ทางริมซ้ายมือของที่ดิน ใช้สำหรับเข้าออกทั้งโครงการนี้ และใช้ร่วมกับพื้นที่โครงการในอนาคต โดยตัวที่ตั้งโครงการ Atmoz Season Ladkrabang จะอยู่ด้านหน้าถัดมาจากพื้นที่ Sales Gallery ครับ (ตัว Sales Gallery จะเป็นพื้นที่นอกโครงการนะครับ ขนาดไม่ใหญ่มาก)
จุดเด่นของทำเลที่ตั้งโครงการ นอกจากจะใกล้กับทางเข้านิคมลาดกระบัง ที่เป็นแหล่งงานหลัก และเป็นจุดขายของที่นี่ ที่นี่ก็จะไม่ไกลจากพระจอมเกล้าลาดกระบังด้วยครับ ถัดออกไปแค่ประมาณ 4-5 กิโลก็จะถึงสถาบันแล้ว สามารถใช้บริการรถสองแถว ต่อเดียวเข้าถึงกลางสถาบันได้เลย (เพราะถนนเค้าผ่ากลาง 55555)
นอกจากนี้ใครที่ทำงานสนามบิน ที่นี่ก็สามารถเดินทางไปได้ไม่ไกลมาก มีระยะห่างแยกทางเข้าสนามบินประมาณ 6 กิโล หรือถ้าไปถึงสนามบินเลยก็ประมาณ 10 กิโลครับ
การเดินทาง
นอกจากใกล้นิคมฯ ก็ยังใกล้ถนนเส้นหลักอย่าง Motorway เชื่อมต่อได้หลายทาง
ที่ตั้งของโครงการนอกจากจะใกล้กับย่านนิคมอย่างที่เล่าไป ต้องบอกว่าตัวนิคมเองเค้าก็ใกล้กับเส้นทางขนส่งหลักอื่นๆ เช่นกันครับ ตามสไตล์ของนิคมที่ดูเรื่องของ Logistic ดังนั้นตัวทำเลนี้ก็เลยจะได้ข้อดีในเรื่องของความใกล้มอเตอร์เวย์ 2 สายแถมมาด้วย คือสาย 7 ที่เข้าเมืองฝั่งพระราม 9 และไปชลบุรี-ระยอง ส่วนสาย 9 ก็จะเป็นสายที่ไปเชื่อมต่อย่านบางนา-รวมถึงออกโซนรามอินทรา-ลำลูกกา-บางปะอิน
ส่วนถนนฉลองกรุง เส้นนี้ก็จะสามารถไปเชื่อมต่อกับถนนลาดกระบัง ไปโซนสนามบินได้ และย่านนี้เพิ่งมีถนนตัดใหม่อีกเส้นที่วิ่งมาถึงอย่างถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า (กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่) มาสิ้นสุดอยู่ที่ถนนฉลองกรุง ช่วงใกล้กับนิคมเลย สามารถใช้ถนนเส้นนี้วิ่งตรงเข้าสู่เมืองย่านกรุงเทพกรีฑา, ศรีนครินทร์, พระราม 9, รามคำแหงได้เลยครับ
ในด้านการเดินทางโดยขนส่งสาธารณะ บริเวณหน้าทางเข้านิคมตรงนี้ก็จะเป็นจุดจอดของรถสองแถว-รถเมล์อยู่ครับ สามารถใช้เพื่อไปโซนหัวตะเข้-โซนอื่นๆ ได้ อย่างโซนหัวตะเข้/พระจอมเกล้าก็จะมีสถานีรถไฟและมีรถสองแถวเพื่อไป Airport Rail Link สถานีลาดกระบังได้
รูปแบบโครงการ
คอนโด Low Rise 3 อาคาร พร้อมส่วนกลาง 43 กิจกรรมรอบโครงการ
สำหรับโครงการ Atmoz Season Ladkrabang จะเป็นโครงการคอนโดแบบ Low Rise ครับ ซึ่งจะอยู่ในกลุ่มระดับราคาไม่สูงมาก เริ่ม 1.39 ล้านบาทครับ จับกลุ่มคนทำงานในย่านนี้เป็นหลัก ราคาก็อยู่ในระดับที่ไม่ได้สูงมากจนเกินไปสำหรับการตัดสินใจซื้อ/ปล่อยเช่าของคนย่านนี้
ซึ่งถ้าเทียบกับโครงการรอบข้างที่นี่ก็อาจจะราคาสูงกว่าอยู่นิดหน่อย แต่ก็จะได้จุดเด่นอยู่ที่ส่วนกลางที่จัดมาให้แบบเต็มสุดๆ ถึง 43 กิจกรรม เรียกได้ว่าที่นี่เยอะที่สุดในย่านลาดกระบังแล้วครับ รวมไปถึง Spec ในห้องที่ให้ของมาครบแบบ Fully Furnished ครับ โดยตัวโครงการที่นี่จะเป็นแนวลึกเข้าไป แบ่งออกเป็น 3 อาคาร พื้นที่ดินโครงการขนาดประมาณ 5 ไร่ จัดออกมาได้เป็นห้องพักอาศัย 706 unit ก็ถือว่าเป็นโครงการไซส์ขนาดกลางๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่ไปครับ
ข้อมูลโครงการ
ชื่อโครงการ : | Atmoz Season Ladkrabang (แอทโมซ ซีซั่น ลาดกระบัง) |
Developer : | บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) |
เนื้อที่โครงการ : | 5-3-48.20 ไร่ |
จำนวนห้องพักอาศัย : | – อาคาร A มีทั้งหมด 229 ยูนิต – อาคาร B มีทั้งหมด 248 ยูนิต – อาคาร C มีทั้งหมด 229 ยูนิต รวมทั้งหมด 706 ยูนิต |
รูปแบบโครงการ : | Low Rise 8 ชั้น 3 อาคาร |
ลิฟต์ : | อาคารละ 2 ตัว |
ที่จอดรถ : | 34% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) |
ค่าส่วนกลาง : | 45 บาท/ตารางเมตร/เดือน |
ค่ากองทุน : | 450 บาท/ตารางเมตร |
Facility : | อาคาร A Lobby, Laundry, Mail Room, Outdoor Lounge, Artic Gym, Bike Simulator, Health Center, Moonlight Pool และ Stella Pavilion อาคาร B Lobby, Library Lounge, Laundry, Mail Room, Meeting Room, Podcast Room, Co-Working Area, Semi-private Booth, Photo Studio, Musician Studio, E-sport, Amphitheater, Bar, Co-Living, Game Room และ Theater Room อาคาร C Lobby, Laundry, Mail Room, Outdoor Lounge, Vending Machine, Co-Kitchen&Living (Chef’s Table), Everest Beginner, Sky Slider, Lollipop Kid’s Club (Play and Learn Corner), Flamingo Pavilion, Palm Beach Pool, Kid’s Pool, Jacuzzi, Sunset Slider และ Sunrise Spiral Outdoor Stretching Space, Co-Living Outdoor Lobby, Co-Working Space Outdoor, Relaxing Area Hammock, Reflexology Rejuvenize, Edible Garden and Social Space |
แบบห้อง : | 1 Bedroom ขนาด 23.2 – 24.2 ตารางเมตร 1 Bedroom Exclusive ขนาด 26.3 – 27.8 ตารางเมตร 1 Bedroom Extra ขนาด 28.2 – 28.7 ตารางเมตร 1 Bedroom Plus ขนาด 34.4 – 34.9 ตารางเมตร |
ราคา : | เริ่มต้น 1.39 ล้านบาท |
ราคาเฉลี่ย : | ประมาณ 62,000 บาท/ตารางเมตร |
สถานะโครงการ : | กำลังก่อสร้าง |
Concept การออกแบบ
มาพร้อมแนวคิด “สีสันของชีวิตที่แตกต่าง” ส่วนกลางกระจายอยู่ทุกอาคารทั้ง Indoor และ Outdoor
ทีนี้ก่อนจะไปดูห้อง ขอมาพูดถึง Concept ของที่นี่กันก่อนครับ โครงการ “Atmoz Season ลาดกระบัง” จะมีทั้งหมด 3 อาคารด้วยกันครับ แต่ละอาคารก็จะเรียงต่อกันเป็นแนวลึก คอนเซปต์ของที่นี่ตามชื่อโครงการเลย Atmoz Season เป็นสีสันของชีวิตที่แตกต่าง ทั้ง 3 อาคารเขาก็จะออกแบบด้วยการแบ่งแต่ละอาคารเป็นฤดูกาลต่างๆ ซึ่งดีไซน์และฟีลลิ่งการตกแต่งก็จะฉีกกันไปเลย อย่างอาคาร A ก็จะมาในฤดูหนาวหรือ Winter โทนสีที่ใช้ก็จะเป็นโทนเย็น อย่างฟ้าอ่อน ขาว น้ำเงิน และม่วง ส่วนอาคาร B เป็นฤดูใบไม้ผลิหรือ Spring เป็นอาคารที่มีสีสันหลากหลาย ดูสดใส รวมไปถึงการออกแบบและตกแต่งก็มาในสไตล์โมเดิร์น สุดท้ายกับอาคาร C มาในฤดูร้อนหรือ Summer อาคารนี้จะเป็นโทนร้อน จะใช้พวกสีส้ม น้ำเงิน เหลืองสด และ Cobalt Blue
Summer – Spring – Winter
ความน่าสนใจของโครงการคือเขาให้พื้นที่สีเขียวมามากถึง 2,000 ตารางเมตรเลยครับ เพื่อให้ลูกบ้านได้รู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น เราจะลงมาทำกิจกรรมต่างๆ ที่สวนก็ได้ หรือเอาไว้ชมวิวจากหน้าต่างและระเบียงห้องก็ได้เช่นกัน ในส่วนของการออกแบบภายในก็มีกิจกรรมให้ทำเยอะ แต่ละพื้นที่มีขนาดใหญ่ มีหลากหลายฟังก์ชันการใช้งานให้ลูกบ้านได้เลือก
ก็เรียกได้ว่าทางโครงการเองก็ให้ความสำคัญทั้ง Facilities ด้านในอาคาร และก็ไม่ลืมที่จะใช้พื้นที่ด้านนอกอาคารให้กลายเป็นพื้นที่ที่สามารถใช้สอยได้ ไม่ปล่อยให้เปล่าประโยชน์ฮะ
การจัดวางผังอาคาร
อย่างที่บอกไปเมื่อกี้ฮะว่าที่นี่จะมีทั้งหมด 3 อาคารด้วยกัน ซึ่งเป็นที่ดินตอนลึก ดังนั้นการวางผังก็จะเป็นรูป I Shape วางเรียงกันยาวตั้งแต่ด้านหน้าไปจนถึงด้านใน โดยทางโครงการเองก็ได้คำนึงถึงทิศเหนือ-ใต้ ที่จะทำให้ห้องพักอาศัยของเราได้รับแสงและลมธรรมชาติ ไม่มีการบังมุมมองกันและกัน ทั้งยังได้วิวพื้นที่สีเขียวกว่า 2,000 ตารางเมตรด้วย
ในส่วนของชั้น 1 ส่วนใหญ่ด้านนอกจะเป็นพื้นที่จอดรถกับพื้นที่สีเขียวแทบทั้งหมดเลยครับ ส่วนด้านในอาคาร A กับ C จะมี Lobby, Laundry และ Mail Room ที่ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ไม่ได้อลังการเท่ากับอาคาร B ที่อยู่ตรงกลางครับ แล้วโซนที่เป็นพื้นที่สีเขียวหรือโซน Outdoor ต่างๆ ก็จะอยู่ตรงกับอาคาร B เป็นส่วนใหญ่ ทำให้อาคาร B ฝั่งสวน เป็นฝั่งที่เห็นวิวพื้นที่สีเขียวเยอะที่สุดก็ว่าได้ครับ
ส่วนชั้น 2 อาคาร B ก็มีพื้นที่ส่วนกลางเยอะที่สุดเช่นกัน แต่เน้นเป็นกิจกรรมที่อยู่ในร่มครับ ส่วนด้านอาคาร A และอาคาร C ก็จะได้ส่วนกลางที่เป็นกิจกรรมทั้งในร่มและกลางแจ้งเลย เพราะเขามีทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนสต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าวันนี้เพื่อนๆ อยากจะทำกิจกรรมอะไรฮะ สระว่ายน้ำที่นี่จะได้ 2 สระ แยกอยู่ 2 อาคาร A/C หน้าหลังเลย สามารถไปเลือกใช้กันได้
สำหรับอาคาร A จะอยู่ด้านหน้าสุดของโครงการ อาคาร B อยู่ตรงกลาง และอาคาร C อยู่ด้านในสุด แบบห้องที่มีเยอะที่สุดในโครงการจะเป็น 1 Bedroom กับ 1 Bedroom Exclusive ส่วนห้องที่มีน้อยที่สุดก็จะเป็น 1 Bedroom Plus ครับ ถ้าเพื่อนๆ สังเกตแปลนของแต่ละอาคารก็จะเห็นได้ชัดเลยว่าห้อง 1 Bedroom Plus จะอยู่ที่มุมอาคาร เป็นห้องที่ทำเลดีแล้วก็ได้วิวที่ดีด้วยฮะ เพราะจะได้วิวส่วนกลางตามแนวยาวของโครงการ
กดเลื่อนดูผังแต่ละอาคารได้นะครับ
พื้นที่ส่วนกลาง อาคาร A
ตีม Winter เน้นกิจกรรมที่ใช้ร่างกายเป็นหลัก
อาคาร A เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ส่วนกลางแห่งการออกกำลังกายครับ คือนอกจากจะมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่แล้ว ยังมีฟิตเนสที่อยู่ติดกับสระด้วย ทั้งยังมี Bike Simulator แยกออกมาสำหรับคนที่อยากจะปั่นจักรยานกับเพื่อน
Lobby A
Lobby มาในโทนสีฟ้าตามสไตล์วินเทอร์ เป็นที่นั่งพักคอยก่อนเข้าสู่โซนที่พักอาศัย ขนาดอาจจะไม่ได้ใหญ่มากครับ
Outdoor Lounge
เป็นพื้นที่นั่งเล่นอีกหนึ่งจุดในอาคาร จะตั้งอยู่บนชั้น 2 ของตัวตึก เดินขึ้นบันไดวนจากชั้นล่างมาได้เลย ห้องนี้จะเป็นแบบ Semi-outdoor ครับ
Moonlight Pool & Stella Pavilion
เป็นสระแบบว่ายจริงจังครับ สามารถออกกำลังกายได้ แช่น้ำชิวๆ ได้ จากรูปเพื่อนๆ จะเห็นว่ามีเกาะต้นไม้ด้วย เขาพยายามเพิ่มพื้นที่สีเขียวรอบๆ สระเลยครับ สระของเราจะได้ร่มรื่น และแอบมีกิมมิคเล็กๆ ของความเป็นตีม Winter คือเค้าจะเลือกพันธุ์ไม้ที่ดูโทนออกมาเป็นเมืองหนาว มีความต่างของเฉดสีเขียวต้นไม้อยู่ครับ และด้านข้างจะเป็นศาลาริมน้ำ เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจที่ได้บรรยากาศของสระว่ายน้ำ ดีไซน์ตรงนี้ก็จะล้อไปดีไซน์ตัวพื้นที่รอบๆ ครับ
Arctic Gym
ฟิตเนสอุปกรณ์ครบ ได้วิวสระว่ายน้ำ ดีไซน์ก็ยังมาในตีม Winter เช่นเดียวกัน กับการเล่นสีโทนเย็นอย่างสีฟ้า
Bike Simulator
ตรงนี้จะเป็นอีกส่วนกลางที่แตกต่างจากที่อื่น คือมีห้องสำหรับ Bike Simulator แยกออกมาจากฟิตเนสเลยครับ ก็จะได้ฟีลในการออกกำลังกายไปอีกแบบ
พื้นที่ส่วนกลาง อาคาร B
ตีม Spring สีสันสดใส เป็นพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันทั้งหมด โดยจะแบ่งออกเป็นโซนๆ
สำหรับอาคาร B พื้นที่ส่วนกลางจะอยู่ในอาคารทั้งหมดเลยครับ เป็นส่วนกลางที่มีการใช้งานที่ค่อนข้างหลากหลายและแปลกใหม่พอสมควร โดยจะเชื่อมต่อตั้งแต่ Lobby ที่ชั้น 1 เลยนะ สามารถขึ้นบันไดมาที่ชั้น 2 ได้เลย ก็จะเจอกับโซน Library Lounge ก่อน แล้วก็จะเจอกับ Podcast Room ที่เราสามารถมานั่งทำรายการ นั่งอัดเสียง หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความเงียบได้ที่ห้องนี้เลย ส่วนฝั่งตรงข้ามกันก็เป็นห้องประชุมต่างๆ ฮะ จะอยู่ติดกับ Co-Working Space เลย นอกจากนี้เขายังมีมุมสำหรับคอเกมเมอร์อย่างโซน E-sport ด้วย ตรงข้ามกันเป็น Photo Studio เอาไว้ถ่ายรูป ถ่ายงานได้ ข้างๆ เป็น Musician Studio เป็นห้องซ้อมดนตรีฮะ
ใครไม่อยากนั่งทำงานที่ Co-Working Space จะมานั่งที่ Amphitheater แทนก็ได้ เขาทำเป็นที่นั่งแบบขั้นบันไดเอาไว้ หรือถ้าเหนื่อย อยากจะพักหาอะไรดื่มก็มีบาร์ให้บริการกับลูกบ้านด้วย แต่ถ้าอยากจะผ่อนคลายกว่านั้น เขามีโซน Game Room มาเล่นกับเพื่อนได้ชิวๆ เลย แต่ถ้าใครอยากจะดูหนังเขาก็มีห้อง Cinema มาพร้อมทีวี เครื่องเสียง และโซฟาแบบจัดเต็มเลยนะ
Lobby B
สีสันสดใสกันตั้งแต่ Lobby เลย ออกจะพาสเทลหน่อยๆ ไม่ฉูดฉาดครับ ตึกนี้จะได้ Lobby ใหญ่เป็นพิเศษ พร้อมเพดานสูงสองชั้น การใช้งานก็จะเป็นพื้นที่มานั่งใช้งานได้ด้วย เพิ่มเติมจากการนั่งพักคอยปกติครับ
Cinema
ใครอยากดูหนังแบบได้ฟีลโรงหนัง มีห้องดีๆ เสียงดีๆ ที่นี่ก็มีห้องดูหนังชิวๆ ให้เปลี่ยนบรรยากาศจากในห้องของเรามาใช้พื้นที่ส่วนกลางฮะ
Co-Working Area
พื้นที่นี้จะอยู่ที่ชั้น 2 ที่เป็นชั้น Main Facility ของตึกนี้ครับโดยส่วนกลางจะเชื่อมต่อเป็นพื้นที่เดียวกันทั้งหมด แต่ก็จะแบ่งออกเป็นโซนๆ อย่างโซนนี้ก็จะเป็น Co-Working Area มีหลายมุมให้เลือกฮะ
Game Room
ห้องนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่เชื่อมต่อกันกับ Co-Working โดยจะทำออกมาเป็น Game Room ให้ลูกบ้านมาใช้งาน/พักผ่อน
Podcast Room
ห้องนี้เป็นอีกส่วนกลางนึงที่แปลกหน่อย เอาใจสาย Content Creator ครับ กับการทำห้องออกมาสำหรับทำ Podcast โดยเฉพาะ สามารถใช้งานอัดเสียงรวมไปถึงใช้ถ่ายงานได้ ตกแต่งออกมาดูดีเลยครับ
Meeting Room
ใกล้ๆ กับ Co-Working นอกจากนั่งทำงานปกติแล้ว ยังมีพื้นที่ห้องประชุมสำหรับใครที่อยากทำงานเป็นส่วนตัว หรือใช้ห้องเพื่อพูดคุยทำงานเป็นกลุ่ม โดยจะมีห้องประชุมให้ 2 ห้องด้วยกันครับ
Amphitheater
เป็นมุมนั่งเล่นที่เขาตั้งใจทำเป็นขั้นบันไดฮะ เอาจริงที่นี่มีมุมน่ามานั่งทำงานเยอะมากๆ
Bar
ตรงข้ามกับ Amphitheater เป็นเคาน์เตอร์บาร์ครับ มีมุมตู้ Vending Machine อยู่ด้วย
พื้นที่ส่วนกลาง อาคาร C
ตีม Summer มีกิจกรรมให้เด็กๆ ได้ทำเยอะมาก
อาคาร C ผมว่าเป็นอาคารที่เด็กๆ น่าจะชอบครับ เพราะเขามี Lollipop Kid’s Club ที่ให้น้องๆ สามารถมาวิ่งเล่น ลงสไลเดอร์ อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมร่วมกับเด็กคนอื่นๆ ได้ นอกจากนี้ยังมี Rock Climbing เอาไว้ซ้อมปีนหน้าผาได้ด้วยนะ หรือเราจะเข้ามาใช้ห้อง Co-Kitchen&Living ก็มาทำอาหารนั่งกินกันจริงจังได้ แต่ถ้าไม่ได้ทำอาหาร อยากจะมานั่งทำงาน เปลี่ยนบรรยากาศก็ได้เหมือนกัน
ส่วนสระว่ายน้ำของอาคารนี้เรียกว่า Palm Beach Pool ครับ เขาจะรวมทั้ง Kids Pool, Jacuzzi, Sunset Slider ที่อยู่ในสระเด็ก สามารถสไลเดอร์ลงสระได้เลย รวมไปถึงรอบๆ สระก็ยังมีพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ และ Flamingo Pavilion ด้วย
Lobby C
Lobby อาคาร C จะต่างจากอาคาร A อย่างสิ้นเชิงฮะถึงแม้ว่าขนาดจะพอๆ กัน เพราะว่าที่นี่มาในโทนของซัมเมอร์ ก็จะมีความจัดจ้านมากกว่าในเรื่องของสีสัน
Mail Room
ห้อง Mail Room แต่ละอาคารก็จะแยกกัน ดีไซน์ก็ยังคงจัดจ้านตามมา
Lollipop Kid’s Club
เป็นห้องสำหรับเด็กๆ มีทั้งมุมนั่งเล่น มุมของเล่น และพื้นที่สำหรับการเรียนรู้ต่างๆ ที่ตั้งห้องนี้จะอยู่ริมสระว่ายน้ำครับ
Co-Kitchen&Living
ห้องนี้สามารถมาทำอาหารแล้วนั่งกินกันแบบจริงจังได้เลยนะครับ อยู่ริมสระเช่นเดียวกัน เผื่อใครใช้จัดปาร์ตี้ แต่ในช่วงปกติก็สามารถใช้มานั่งทำงานได้ครับ
Palm Beach Pool & Flamingo Pavilion
สระว่ายน้ำที่อาคาร C จะมีทั้งสระเด็กและสระผู้ใหญ่ ความต่างจากสระที่ตึก A คือสระนี้จะมีรูปร่างที่มีความ Free Form มากขึ้น เน้นเล่นน้ำ-พักผ่อนครับ สำหรับสระเด็กเขามีสไลเดอร์มาให้เล่นด้วยนะ หรือจะมาเฝ้าลูก มานั่งพักผ่อน ข้างๆ สระว่ายน้ำเองก็มีพื้นที่ให้ได้นั่งเล่นเหมือนกัน
พื้นที่ส่วนกลาง Outdoor
มีพื้นที่สีเขียวกว่า 2,000 ตารางเมตร ให้ได้พักผ่อนหย่อนใจ
พื้นที่ Outdoor ทั้งหมดจะอยู่ด้านนอกอาคาร B ครับ เป็นข้อดีของห้องที่อาคารนี้เลยที่ได้วิวสวน ที่นี่เขาก็จะมีตั้งแต่มุมนั่งเล่นชิวๆ มุมนั่งทำงานจริงจัง มีปลั๊กไฟให้ มุมนอนเล่น รวมไปถึงทางเดินท่ามกลางธรรมชาติต่างๆ ก็น่าจะร่มรื่นฮะ
Co-Living Outdoor Lobby
เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจในสวน มีการเพิ่มลูกเล่นด้วยสีสันของระแนงต่างๆ ดูมีชีวิตชีวาและมีความเป็นส่วนตัวไปพร้อมกันครับ
Co-Working Space Outdoor
เป็นพื้นที่ที่ให้เราได้นั่งทำงานท่ามกลางสวนและพื้นที่สีเขียวฮะ สามารถมานั่งทำงานแบบจริงจังได้เลยนะ เพราะเขามีปลั๊กไฟ และช่อง usb ต่างๆ มาให้ด้วย
Backyard Hammock
พื้นที่นั่งชิว สามารถมานอนดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือได้ อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ในสวนครับ ตอนเย็นๆ บรรยากาศน่าจะดีทีเดียว
Outdoor Stretching Gym
นอกจากใช้เป็นพื้นที่มานั่งเล่น ทำงานแล้ว ก็ยังสามารถมาใช้เป็นพื้นที่ออกกำลังกายแบบกลางแจ้งได้ด้วยฮะ มีทำโซนออกกำลังกายเล็กๆ เอาไว้
มาดูห้องตัวอย่างกัน
จะมีให้ดูทั้งหมด 3 ไทป์ 3 สไตล์ด้วยกัน
ห้องพักอาศัยที่ทางโครงการแต่งมาให้แบบ Fully Furnished ทีมั้งเฟอร์นิเจอร์แบบ Built-in และลอยตัว ทำให้เราประหยัดงบในเรื่องของการแต่งห้องได้ครับ ขนาดห้องของที่นี่หลักๆ จะมีทั้งหมด 4 แบบหลักๆ ด้วยกัน
- 1 Bedroom ขนาด 23.2 – 24.2 ตารางเมตร
- 1 Bedroom Exclusive ขนาด 26.4 – 27.8 ตารางเมตร
- 1 Bedroom Extra ขนาด 28.70 ตารางเมตร
- 1 Bedroom Plus ขนาด 34.4 – 34.9 ตารางเมตร
Sales Gallery ของที่นี่จะอยู่บนพื้นที่ด้านหน้าของที่ตั้งโครงการครับ ตอนนี้เปิดให้เข้าชมแล้ว ส่วนตัวโครงการอยู่ในช่วง Pre-Sales ยังไม่เริ่มก่อสร้างครับ ห้องตัวอย่างที่ผมจะพาเพื่อนๆ ไปดูมีทั้งหมด 3 ห้อง แต่ละไทป์ขนาดและแปลนห้องก็จะแตกต่างกันไปนะ ที่นี่จะขายแบบ Fullly Furnished ก็จะได้ทั้งชุดครัว Built-in มีเตาไฟฟ้า เครื่องดูดควันและอ่างล้างจานติดตั้งมาให้ ส่วนห้องน้ำก็มีสุขภัณฑ์มาให้ครบ สำหรับเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวที่ได้จะมีชั้นวางทีวี โซฟา โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ ตู้เสื้อผ้า และฐานเตียง
ห้องตัวอย่างจะเริ่มจากห้องเล็กก่อนแล้วจะขยับขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นะครับ
1 Bedroom ขนาด 23.50 ตารางเมตร
ห้องนี้เป็นขนาดเริ่มต้นของโครงการครับ ขนาดห้องอาจจะไม่ได้ดูใหญ่ แต่มีการจัดสรรพื้นที่ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี สิ่งที่แตกต่างจากห้องไซส์นี้ทั่วไปคือห้องนี้ได้เป็นแบบหน้ากว้างกว่าห้องแบบตอนลึกทั่วไปครับ ทำให้มีพื้นที่แสงเข้าห้องได้เยอะ รวมไปถึงมีพื้นที่มากพอที่จะยกครัว ห้องน้ำ และระเบียงไปไว้ปีกซ้ายทั้งหมด ทำให้โซน Living มีพื้นที่กว้างขวาง ห้องนี้ก็จะเหมาะกับการอยู่คนเดียวฮะ เน้นหยิบจับของง่าย ไม่ต้องเดินไกล ข้อดีคือทำความสะอาดง่าย ไม่ต้องดูแลเยอะ แถมยังได้ครัวแบบปิดติดระเบียงด้วย ก็ทำให้เราหายห่วงเรื่องกลิ่นและควันในการทำอาหารได้
ซึ่งถ้าเป็นห้องหน้าลึก เข้ามาเจอครัวกับห้องน้ำก่อน
มาดูห้องตัวอย่างจริงกันบ้าง ห้องนี้เป็นห้องขนาดกำลังเหมาะกับการอยู่คนเดียว ด้วยความที่พื้นที่ห้องอาจจะไม่ได้ใหญ่มาก โซน Living และโซนห้องนอนเค้าก็จะเชื่อมต่อกันเลย ให้ห้องดูโปร่ง จุดเด่นอย่างที่บอกคือห้องนี้เขาย้ายห้องครัวไปไว้ติดกับระเบียงด้านหลังแทน แถมมีประตูบานเลื่อนเปิดปิดให้ด้วย ข้อดีคือเราจะได้พื้นที่ Living เต็มๆ ทำอาหารก็ไม่ต้องกลัวว่ากลิ่นหรือควันจะเข้ามาข้างใน ทำให้โซนนี้ค่อนข้างกว้างเลย ส่วนห้องน้ำก็จะเข้าทางห้องครัว ทำให้พื้นที่วางทีวีเรามีขนาดใหญ่ฮะ ที่สำคัญคือจากรูปเพื่อนๆ จะเห็นว่าห้องไม่ได้มืดทึบเลย เพราะได้หน้าต่างบานใหญ่ แสงจากด้านนอกก็ส่องเข้ามาด้านในเต็มๆ
ชั้นวางทีวีกับโซฟาที่โครงการให้จะเป็นอีกแบบนึงนะครับ เดี๋ยวผมจะมีรูปให้ดูด้วยว่าหน้าตาแบบไหนในหัวข้อของการเจาะ Spec ห้องนะ แต่ก็อย่างที่เห็นในรูปครับ ถ้าหากว่าเพื่อนๆ ชอบทีวีจอใหญ่ๆ ละก็ สามารถซื้อได้ พื้นที่ด้านข้างยังเหลืออีกเยอะเลย แต่ก็อย่าลืมดูให้เหมาะสมกับระยะห่างของโซฟาด้วยนะครับ เวลาดูทีวีจะได้ไม่เสียสายตา
ติดกับโซฟาก็เป็นมุมกินข้าวเล็กๆ นั่งได้ประมาณ 2 ที่ฮะ
เตียงนอนที่ทางโครงการให้หน้าตาเหมือนในรูปเลย มีช่องเก็บของด้านล่างด้วย จะเห็นว่าทางโครงการให้หน้าต่างมาค่อนข้างใหญ่เลยครับ เปิดรับลมระบายอากาศในห้องได้ด้วย
ชุดครัวที่เพื่อนๆ เห็นจะเป็นมาตรฐานของโครงการเลยครับ คือมีชุดครัว ด้านล่างมีตู้เก็บของ มีที่วางไมโครเวฟ และลิ้นชักต่างๆ ส่วนด้านบนมีชั้นวางของและตู้เก็บของด้วย นอกจากนี้ยังติดตั้งเตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน (ระบบหมุนเวียน) และอ่างล้างจานมาให้แล้วนะครับ ข้อดีของครัวที่ผมเห็นเลยนะ คือลิ้นชักวางของฮะ คือปกติถ้าเป็นคอนโดทั่วไป ก็จะเป็นลิ้นชักใส่ของหรือตู้ไปเลย แต่เจ้าเคาน์เตอร์ตัวนี้มีลิ้นชักที่ดึงออกมาเพื่อวางของได้ ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่เหมาะกับการใช้ในพื้นที่ที่มีจำกัดอย่างคอนโดมากๆ ฮะ
เพื่อนๆ ลองดูในรูปทางขวามือก็ได้ จะเห็นชัดเลยว่าเรามีพื้นที่เตรียมอาหารมากขึ้น ไม่ได้เป็นเคาน์เตอร์เดียวแล้วจบ ก็เป็นจุดที่ผมชอบครับ
ในส่วนของห้องน้ำก็ให้สุขภัณฑ์มาครบ อ่างล้างหน้าจะไม่มีตู้เก็บของ แต่เราสามารถซื้อมาวางเพิ่มเองได้ฮะ ส่วนกระจกเปิดออกมา ด้านในจะเป็นชั้นวางของนะ ส่วนห้องอาบน้ำมีประตูบานเลื่อนกระจกติดตั้งมาให้ ด้านในมีชั้นวางของแบบเจาะผนังที่ใหญ่มาก เราสามารถวางชั้นวางของเพิ่มได้อีก 3 – 4 ชั้นเลย
1 Bedroom ขนาด 27.10 ตารางเมตร
ห้องนี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย อยู่คนเดียวก็ได้สองคนก็ไม่อึดอัด ห้องนี้จะแบ่งสัดส่วนชัดเจนขึ้น ห้องนอนมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ไม่ใช่ประตูบานเลื่อน แต่เป็นประตูสวิงกั้นผนังทึบ บวกกับห้องน้ำที่เข้าออกได้สองทาง ดังนั้นเวลามีแขกมา ห้องนอนของเราก็จะค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวมากๆ ถ้าดูแปลนห้องก็จะเห็นว่ามีโซนสำหรับ Walk-in Closet ด้วย เวลาอาบน้ำเสร็จก็สามารถออกมาแต่งตัวแต่งหน้าได้เลย ส่วนครัวยังได้แบบครัวปิดติดระเบียงเช่นกัน
ห้องนี้พื้นที่ Living จะกว้าง ได้ครัวปิดเหมือนเดิม เป็นประตูบานเลื่อน แต่ประตูห้องนอนที่อยู่ติดกันจะเป็นบานทึบ ส่วนห้องน้ำเข้าออกได้ 2 ทาง แอบบอกนิดนึงว่าคอนเซปต์การออกแบบตกแต่งของห้องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากแอนนาเสือฮะ การแต่งห้องก็จะดูผู้หญิงๆ หน่อย
มุมนั่งเล่นวางโซฟาขนาด 2 ที่นั่งได้
มุมกินข้าวจะใหญ่กว่าห้องก่อนหน้าฮะ ซึ่งเราจะวางโต๊ะสองที่นั่งเหมือนห้องตัวอย่างก็ได้ หรือจะวางโต๊ะยาวให้ชิดกับผนังไปเลยก็ได้เช่นกัน ส่วนห้องครัวหน้าตาเหมือนกับห้องก่อนหน้าเด๊ะเลย ข้อดีของการที่ครัวอยู่ติดระเบียง คือสามารถระบายกลิ่นและควันได้ดี
มาดูห้องนอนกันต่อฮะ ห้องนอนอย่างที่บอกว่าได้ประตูบานทึบ ก็จะเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี แถมห้องน้ำก็เข้าจากห้องนั่งเล่นได้เลย ดังนั้นเวลาเพื่อนมาแทบไม่ได้เข้าไปในห้องนอนของเราฮะ
ห้องนอนกว้างกว่าห้องนั่งเล่นอีกนะ เราสามารถวางเตียงขนาดใหญ่ได้สบายๆ เลย ติดกันก็เป็นโต๊ะเครื่องแป้งกับตู้เสื้อผ้าที่ทางโครงการ Built-in มาให้เรียบร้อย เป็นมุมแต่งตัวแต่งหน้าหลังออกมาจากห้องน้ำได้เลย
1 Bedroom Plus ขนาด 34.90 ตารางเมตร
ห้องนี้เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในโครงการครับ ตอนที่ได้เดินเข้าไปในห้องตัวอย่าง สิ่งแรกที่รู้สึกได้เลยคือความกว้าง ค่อนข้างจะโปร่ง ด้วยการวาง Layout ที่ไม่ทำให้ห้องดูอึดอัด มีช่องแสงผ่านเข้ามาได้หลายทาง สิ่งที่ห้องนี้แตกต่างจากห้องอื่นๆ คือมีห้องอเนกประสงค์เพิ่มเข้ามา ห้องไม่เล็กนะครับ ใช้เป็นห้องนอนที่สองได้ หรือจะทำเป็นห้องทำงาน ห้องอื่นๆ ตามไลฟ์สไตล์ได้เลย ส่วนครัวเองก็กว้างขึ้น ได้เคาน์เตอร์รูปตัว L เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย สามารถวางเครื่องซักผ้าได้ด้วย สุดท้ายห้องนอนใหญ่มากครับ วางเตียงขนาดใหญ่ได้สบายๆ มีพื้นที่ข้างเตียงและปลายเตียงเหลือเยอะ ถ้าใครที่มีของเยอะวางตู้เพิ่มได้เลย แต่ถ้ายังมองภาพไม่ออกว่ามันกว้างยังไง เดี๋ยวมีห้องตัวอย่างมาให้ดูด้วยฮะ
อย่างที่บอกไปว่าห้องนี้เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดของโครงการ อยู่กันสองคนได้สบายๆ เลย ความสูงของเพดานจะอยู่ที่ 2.4 เมตรนะฮะ
ห้องนั่งเล่นรวมกับมุมกินข้าว ก็สามารถทำสองกิจกรรมไปพร้อมกันได้ ไม่ว่าจะกินข้าวไปดูทีวีไป หรือถ้าเพื่อนๆ มาก็นั่งได้ทั้งโซฟา และโต๊ะกินข้าว เพราะพื้นที่ทั้งหมดเชื่อมต่อกันอยู่ แล้วส่วนใหญ่ห้องไทป์นี้จะอยู่มุมของอาคารครับ เขาจะได้หน้าต่างด้านข้างเพิ่มด้วย ก็คือได้แสงจากทั้งห้องนั่งเล่นและห้องอเนกประสงค์นั่นเอง
ในส่วนของชั้นวางทีวีก็วางจอขนาดใหญ่ได้สบายๆ ดูได้ไปถึงโต๊ะกินข้าวเลย
จะบอกว่าห้องอเนกประสงค์กว้างนะครับ ไม่เล็กเลย อยู่ติดกับระเบียง ห้องตัวอย่างเขาทำเป็นห้องทำงานให้ดูเป็นไอเดีย ซึ่งเราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการเลย
ห้องครัวรูปตัว L ฮะ สามารถวางเครื่องซักผ้าได้เลยนะ ไม่ต้องยกเอาไปไว้ที่ระเบียง แต่ว่าเคาน์เตอร์ครัวห้องนี้ไม่มีลิ้นชักเก็บของเหมือนกับ 2 ห้องก่อนหน้านะครับ จะเป็นตู้กับชั้นวางของหมดเลย ไมโครเวฟก็เปลี่ยนไปวางด้านบนแทน ก็ได้พื้นที่เก็บของด้านบนเพิ่ม มีที่วางของบนเคาน์เตอร์มากขึ้น
ข้อดีอีกอย่างของครัวที่นี่คือตรงตู้เย็นด้านบนเขาปล่อยโล่งไม่ได้ Built-in ตู้เก็บของมาให้ ทำให้เราสามารถวางตู้เย็นสูงแค่ไหนก็ได้ฮะ คือตอนผมซื้อคอนโดแล้วไปเดินดูตู้เย็น มีเงื่อนไขเรื่องความสูงหนักมาก ซึ่งอันที่ชอบส่วนใหญ่ไม่สามารถวางที่ห้องได้ ทำให้ต้องทำใจเอาอันที่ไม่ได้ชอบที่สุดมาแทนฮะ 555
ห้องน้ำทุกห้องก็จะเหมือนกัน แต่ห้องนี้แตกต่างตรงที่ชั้นวางของเขาเจาะเป็นยาวๆ ไปเลย ไม่ได้ทำเป็นช่องสูงๆ ซึ่งไม่ค่อยเห็นที่ไหนทำแบบนี้นะ ค่อนข้างสะดวกในเรื่องการวางของฮะ จะวางแบบไม่ซื้อชั้นเพิ่มก็ได้ หรือจะซื้อชั้นเพิ่มของได้ทั้ง 2 ฝั่งเลยนะ
จะบอกว่าห้องนอนกว้างมากฮะ เขาทำเป็น Daybed เต็มฝั่งกระจกให้ดูด้วย กลิ้งไปไม่มีตกแน่นอน พื้นที่ปลายเตียงเหลือเยอะมาก เราจะวางทีวี วางตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของได้อีกเยอะเลย ไม่เกะกะทางเดินแน่นอน แล้วหน้าต่างก็คือแทบจะเต็มผนังละฮะ ใหญ่มากกก
ข้างเตียงก็วางได้ทั้งโต๊ะข้างเตียง โต๊ะเครื่องแป้ง และตู้เสื้อผ้า
ห้องตัวอย่างทั้งสามห้องก็จะประมาณนี้ครับ ผมว่าห้องแต่ละแบบฟังก์ชันการใช้งานก็แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์และความต้องการว่าเพื่อนๆ อยากได้ห้องแบบไหน จะอยู่กันกี่คน ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากเท่าไหร่ แต่ถ้าได้ดูห้องด้วยตัวเองแล้วก็จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นฮะ
เจาะลึก Spec ห้อง
ราคาล้านกว่าๆ แต่ให้ของครบแบบพร้อมอยู่!!!
ดูห้องตัวอย่างกันไปแล้ว เดี๋ยวเรามากันบ้างฮะว่าที่นี่ให้เฟอร์นิเจอร์ Built-in, เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว และมี Spec ยังไงบ้าง
ห้องน้ำ
สำหรับห้องน้ำสิ่งที่ได้ก็จะมีอ่างล้างหน้าและชักโครกของ COTTO ห้องอาบน้ำมีประตูบานเลื่อนกระจกติดตั้งมาให้
ตัวกระจกถ้าเปิดออกมาก็จะเป็นชั้นวาของด้านในครับ เอาไว้วางไม่ให้ด้านนอกดูเกะกะได้ ส่วนฝักบัวจะเป็นของ American Standard มีชั้นวางของแบบเจาะผนังขนาดใหญ่ให้ พื้นที่ห้องน้ำก็สามารถเพิ่มชั้นหรือตู้เก็บของได้อีกฮะ